กกต.มีมติตั้งอนุกรรมการสอบคุณสมบัติ “พนิช” ให้แล้วเสร็จใน 30 วัน ส่วน “เผดิมชัย” ที่ถูกศาลสั่งล้มละลายต้องพ้นสภาพ ส.ส.หรือไม่ รอวินิจฉัย 27 ม.ค. หลัง “อภิชาต” กลับจากต่างประเทศ
นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ซึ่งทำหน้าที่ประธานการประชุมแทนนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ที่เดินทางไปต่างประเทศ กล่าวภายหลังการประชุม กกต.ว่า ที่ประชุม กกต.รับทราบกรณีกระทรวงการต่างประเทศรายงานข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่า ทางการประเทศกัมพูชาได้จับกุม 7 คนไทยจริง ซึ่งรวมถึงนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ และต่อมาศาลกัมพูชาได้มีคำพิพากษาจำคุก 5 คนไทย โดยรอลงอาญา กกต.จึงเห็นว่าอาจมีปัญหาเกี่ยวกับสมาชิกภาพความเป็น ส.ส.ของนายพนิช ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (5) (11) ที่ระบุว่า สมาชิกภาพความเป็น ส.ส.สิ้นสุดลงเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุก หรือต้องคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ที่ประชุมจึงมีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนเพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงข้อกฎหมายว่า เหตุให้ต้องสิ้นสมาชิกภาพนั้น หมายรวมถึงต้องคำพิพากษาศาลในต่างประเทศด้วยหรือไม่ โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จใน 30 วัน และให้เสนอต่อ กกต.เพื่อพิจารณา หากที่สุด กกต.เห็นว่าต้องสิ้นสภาพความเป็น ส.ส.ก็ต้องส่งเรื่องไปที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
ส่วนกรณีที่นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคเพื่อไทย ต้องคำพิพากษาศาลล้มละลายกลางให้เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งอาจทำให้ต้องสิ้นสภาพความเป็น ส.ส.เช่นเดียวกันว่า ขณะนี้อนุกรรมการสืบสวนสอบสวนได้เสนอรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงต่อ กกต.แล้ว ซึ่งที่ประชุม กกต.อาจจะมีการพิจารณาภายหลังจากที่นายอภิชาตเดินทางกลับจากประเทศแล้ว ในการประชุมวันที่ 27 ม.ค.นี้ โดยถ้าหากสำนวนมีความชัดเจนก็น่าจะสามารถลงมติวินิจฉัยได้ทันที แต่ถ้า กกต.วินิจฉัยว่าเป็นเหตุต้องสิ้นสภาพความเป็น ส.ส. ก็ต้องส่งเรื่องไปที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
นายประพันธ์กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เป็นเรื่องรัฐสภา กกต.ไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่ว่ามติที่ออกมาระบบการเลือกตั้งจะยังคงเป็นเขตใหญ่ 3 เบอร์ หรือเปลี่ยนแปลงเป็นเขตเดียวเบอร์เดียว โดยมีจำนวน ส.ส.เขต 375 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน ก็ต้องมีการแบ่งเขตใหม่ กกต.ก็ได้เตรียมการไว้หมดแล้ว โดยเรามีจำนวนประชากรจากทั้งประเทศเตรียมไว้พร้อม
“ไม่ว่าสูตรไหนก็มีข้อดีและข้อเสียทั้งสิ้น ที่มีการมองว่าเป็นการแก้ไขเพื่อเอื้อประโยชน์การเมือง ก็เป็นมุมมองแต่ละฝ่าย คนที่มองว่าควรเป็นเขตเดียวเบอร์เดียวก็มองว่า ส.ส.จะได้ดูแลประชาชนได้ทั่วถึงขึ้น ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เพิ่มขึ้นก็จะทำให้พรรคเล็กมีโอกาสมี ส.ส.ในระบบบัญชีเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เพราะถ้าหากยังคงเป็นสัดส่วนแบบ 8 กลุ่มจังหวัด และการใช้หลักเกณฑ์ร้อยละ 5 ในการคำนวน ส.ส.สัดส่วน ก็จะทำให้พรรคเล็กไม่มีโอกาสได้ ส.ส.ในส่วนนี้เลย ดังนั้น ไม่ว่าจะใช้สูตรใด กกต.ไม่มีปัญหา ถ้ารัฐสภาสามารถลงมติในวาระ 2 ภายใน 2 วันนี้ และวุฒิสภาพิจารณาในวาระที่ 3 ได้ทันเวลาก่อนที่ ส.ว.สรรหาจะครบวาระในวันที่ 18 ก.พ.นี้ ส่วนกฎหมายลูกเข้าใจว่าน่าจะมีบทเฉพาะกาล ในช่วงที่ยังแก้ไขกฎหมายไม่แล้วเสร็จ โดย กกต.สามารถออกระเบียบในการดำเนินการจัดการเลือกตั้งได้ ซึ่งก็จะทำได้เร็วไม่มีปัญหา อย่างที่พูดกันว่าจะยุบสภาในช่วงเดือน พ.ค.นี้นั้น รับรองว่า กกต.ทำทันอยู่แล้ว” นายประพันธ์กล่าว
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่อยากขอให้เคลื่อนไหวกันอยู่ในกรอบ อย่าใช้ความุรนแรง เพราะเวลานี้บรรยากาศทางการเมืองเข้าใจว่า ทุกคนมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งอยู่แล้ว เพราะรู้ว่าเป็นทางออกของการแก้ไขปัญหา ใครมีปัญหาอะไรก็ใช้เสียงประชาชนเป็นเครื่องตัดสิน ส่วนตัวจึงเห็นว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรรุนแรง ส่วนที่ว่าจะมีการปฏิวัตินั้นคิดว่าคงไม่มี เพราะทั้ง 2 ฝ่ายก็หลีกเลี่ยงที่จะปะทะกัน