“เทพมนตรี” ซัดทูตไทยประจำกัมพูชาแย่มาก หนุนแผนที่ 1 ต่อ 200,000 และบอกว่าพระวิหารเป็นของกัมพูชาทั้งหมด ยันมีเอกสารบันทึกการกระทำทั้งหมด แต่ตอนนี้ “วีระ-ราตรี” ยังอยู่ในคุกเลยไม่ใช่เวลาไล่เบี้ยกัน จี้ช่วยคนไทยเต็มที่แล้วจะเก็บเอกสารนี้เป็นความลับ พร้อมหวัง “พนิช” จะยืนหยัดอย่างลูกผู้ชายว่าถูกจับในดินแดนไทย แนะถ้าอยู่ ปชป.ไม่ได้ก็อย่าอยู่เลย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังการเสวนา “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดย “อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม”
วันนี้ (22 ม.ค.) นายเทพมนตรี ลิมปพยอม กล่าวบนเวทีเสวนา “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวี จากศาลา 60 พรรษา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี โดยกล่าวว่าต้องคุยกันเรื่องคำแปลคำพิพากษาศาลโลก ข้อที่สำคัญที่สุดคือข้อแรกและ การที่ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศจ้างจ้างนักวิชาการ 7.1 ล้านกลุ่มนี้ ก็เพื่อพยายามเปลี่ยนคำพิพากษาศาลโลกใหม่ โดยจะแปลเป็นภาษาไทย และเผยแพร่ในทั่วๆไป
การแปลความหมายคำว่า “พระวิหารตั้งอยู่บนพื้นที่” กับ “ตั้งอยู่ในอาณาเขต” มันให้ความหมายแตกต่างกัน ถ้าอยู่ในพื้นที่จะตรงกับที่ภาษาอังกฤษในวันที่ศาลโลกตัดสิน โดยระบุว่า “พื้นที่ภายใต้อธิปไตยกัมพูชา” ซึ่งตอนนั้นมีคณะทนายความที่ประกอบไปด้วย หม่อมเจ้าวงษ์มหิป ชยางกูร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก และได้มีการปรึกษากับศาสตราจารย์อังรี โรแลง ประเด็นนี้สำคัญที่สุดที่มันจะโยงใยให้เห็นถึงกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ ที่พยายามจะยัดเยียดพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้เป็นของกัมพูชา เพื่อหวังว่าจะได้ไม่ต้องไปรบกัน และหวังกลบเกลื่อนที่ตัวเองเคยไปเพ็ดทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งเรื่องข้อสงวนสิทธิปราสาทพระวิหาร และเรื่องที่ว่าบริเวณปราสาทพระวิหารควรเป็นของกัมพูชาตามคำวินิจฉัยโลก ซึ่งประเด็นนี้นายกฯเห็นขัดแย้งกับกระทรวงต่างประเทศ
นายเทพมนตรีกล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าตอนที่นายอภิสิทธิ์เป็นฝ่ายค้าน ท่านเชื่อตามข้อมูลของ ศ.ดร.สมปอง ตนจึงเห็นขัดแย้งกับนักวิการที่ไปรับจ้าง 7.1 ล้านบาทในข้อนี้ ซึ่งคิดว่าสำคัญที่สุด เพราะอีกไม่นานจะมีการเผยแพร่เอกสารนี้จากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งทำให้พวกเราต้องเหนื่อย เพราะกระทรวงการต่างประเทศมีองคาพยพพร้อมเพรียงเพื่อจะกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองเมื่อปี 51
“ประเด็นที่ 2 คือ การที่นายอัครพงษ์ ค่ำคูณ ซึ่งเป็นหนึ่งในนักวิชาการคณะที่รับจ้าง 7.1 ล้าน ได้พูดถึงการประชุมของในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่พูดถึงการยกดินแดนมลายู และก็พยายามให้เหตุผลว่ารัชกาลที่ 5 ยอมเสียดินแดนเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน แต่ความจริงแล้วพระองค์ต้องการไปต่อรองให้เราต้องได้มากที่สุด ซึ่งผมเห็นว่าเอานายอัครพงษ์ทำแบบนี้ไม่บังควร” นายเทพมนตรีกล่าว
นายเทพมนตรียังกล่าวอีกว่า นักวิชาการกลุ่มนี้พยายามจะยกมาบางช่วงเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ ในทำนองว่าเห็นมั๊ยพระองค์ท่านยังต้องเอาแหลมมลายูแลกเปลี่ยนเลย พอเห็นว่าจะเสียประโยชน์แล้วเลยแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราอ่านหทั้งหมดพระองค์พยายามจะให้เสียดินแดนน้อยที่สุด แล้วก็เรียกร้องสิทธิจากอังกฤษให้ได้มากที่สุด
นายเทพมนตรีกล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่กระทรวงการต่างประเทศหมกเม็ดและให้เอกสารแก่นักวิชาการกลุ่มนี้ไป คือ เอ็มโอยู 44 มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย และนาย สก อาน ได้วางกรอบกว้างๆ เกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไทยกับกัมพูชา ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งเชื่อกันว่ามีน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมากมายมหาศาล โดยธนาคารโลกประเมินว่า อาจมีน้ำมันปิโตรเลียมถึง 2 พันล้านบาร์เรล และก๊าซธรรมชาติ 10 ล้านล้านคิวบิกฟุต ดังนั้นจึงกำหนดให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นจีดีเอ
ข้อมูลแบบนี้เอาออกมาเพื่ออะไร ออกมาเพื่อให้นักการเมืองผู้หิวโซจะได้รุมกินโต๊ะกินงาบทรัพยากรใช่มั๊ย ความลับหลายความลับตนไม่อยากเผยแพร่ แต่กระทรวงการต่างประเทศทำแบบนี้มันเกิดเกมต่อรองทางการเมืองของพรรคต่างๆ
“เอกสารของคณะกรรมการ 7.1 ล้านบาท กำลังจะเผยแพร่และมีหลายข้อความเช่นที่นายอัครพงษ์ ค่ำคูณ พยายามจะเผยแพร่ว่า บรรพบุรุษ ของพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งตอนนั้นชื่อว่าหม่อมชาติอุดมเดช ซึ่งเป็นหนึ่งในประธานฝ่ายไทยที่ไปทำปักปันเขตแดนกับแบร์นาร์ด แต่อัครพงษ์พยายามโยงใยว่า หลังจากนั้นท่านดำรงตำแหน่งสูงขึ้นและเป็นบรรพบุรุษของพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มันหมายความว่า ต้องการจะสร้างแรงกดดันในสังคม เพราะถ้าใครบอกว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ถูกต้อง ก็จะเป็นการดูถูกบรรพบุรุษ นักวิชาการกลุ่มนี้ใช้วิธีการนี้มันไม่แฟร์” นายเทพมนตรีกล่าว
นายเทพมนตรีกล่าวอีกว่า ตนมีเอกสารสำคัญอยากให้นายกฯพิจารณาอย่างถ่องแท้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว กองกำลังบูรพาได้รายงานไว้ด้วย เป็นรายงานชิ้นใหม่ระบุว่า หลักเขตที่ 46 และ 48 ตำบลโนนหมากมุ่น กิ่งอำเภอโคกสูง ถูกราษฎรกัมพูชาบ้านโชคชัย จังหวัดบันเตียนเมียนเจย ประมาณ 200 คน บุกรุกเข้ามาปลูกที่อยู่อาศัยในเขตไทย ห่างจากชายแดนประมาณ 300 เมตร คิดเป็น 400 ไร่ และหลักเขตที่ 48 ถูกทำลายด้วย ซึ่งนั่นก็คือพื้นที่ที่กำลังมีปัญหา บ้านโจกเจียก็คือค่ายอพยพหนองจาน ที่นายกษิตไม่เคยไป แต่เดาเอาจากแผนที่ บ้านโจกเจียที่คุณบอกมันก็คือค่ายอพยพหนองจาน ซึ่งก็อยู่บนดินแดนไทย
เมื่อนายกฯ เอาเอกสารที่พยายามผลักดันที่ประชุมเจบีซี นายกฯ เปิดเอกสารหน้าที่ 2 ข้อ 5.6 ระบุว่า กรมสนธิและสัญญาและกฎหมายพูดว่า หลักเขตตรงนั้นยังอยู่ในขั้นตอนการหาหลักที่แท้จริง วาร์ คิม ฮง ก็เขียนไว้ด้วยว่าเราจะไม่ใช้กำลังทหารและอาวุธ ทำไมข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ไม่เอาเอกสารนี้ไปช่วยพี่น้องทั้ง 7 คน ล่ะ รวมทั้งเอกสารของกองกำลังบูรพาด้วย
นายเทพมนตรียังกล่าวอีกว่า มีคนที่ไปเยี่ยม 7 คนไทย บอกว่าท่านทูตประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย หยิบแผนที่ซังกะบ๊วยของกษิต เอาไปถามว่าล้ำเขตแดนมั้ย แล้วใครจะไปรู้ 7 คนนั้นอยู่ในคุก ที่นายประศาสน์พูด ตนมีหลักฐาน แต่ตอนนี้นายวีระ และราตรี ยังอยู่ในคุก เลยไม่ใช่เวลานี้ที่จะมาไล่เบี้ยกัน
เอกอัครราชทูตไทย-กัมพูชา คุณพูดอะไรทุกอย่างในกรรมาธิการวุฒิฯ ไม่ว่าจะในแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ไม่ว่าจะเป็นปราสาทพระวิหาร คุณบอกว่าล้วนแต่เป็นของกัมพูชาหมดเลย ตนมีเอกสารหมดว่าไปให้การอะไรใครที่ไหน เวลาไหนไว้
“จะบอกท่านทูตว่าให้ช่วยเหลือคนไทยเต็มที่ แล้วผมจะไม่เอาเอกสารนี้มาแฉ จะยอมปิดเป็นเอกสารลับ เพราะมันพูดถึงการทำงานของท่านได้เลยนะ เสียดายที่ต้องมารบกับคนไทยด้วยกันเอง มันประหลาดมาก” นายเทพมนตรีกล่าว
นายเทพมนตรีกล่าวว่า คิดว่านายพนิชรู้ว่าตัวเองถูกจับในดินแดนไทย และหวังว่าจะยืนหยัดอย่างลูกผู้ชาย ถ้าพรรคนี้อยู่ไม่ได้อย่าไปอยู่เลย รู้หรือเปล่าว่าคุณถูกจับวันที่ 29 พลพรรคประชาธิปัตย์ดาหน้าออกมาด่าพนิชหมดเลย ขนาดนายศิริโชคยังไม่รู้เลยว่าก่อนที่จังหวัดสระแก้วจะมีชื่อว่าสระแก้ว ใช้ชื่อเรียกว่าจังหวัดปราจีน นายศิริโชคก็ไม่สงสัยเลยว่าปราจีนไปโผล่อะไรที่สระแก้ว ไม่สืบเสาะหาข้อมูลก่อน ดันไปหาว่านายพนิชโกหกอีกว่าไปจังหวัดปราจีน ตนรู้สึกบื่อหน่ายและรำคาญกับพรรคนี้เต็มทน เพราะพูดมาหลายรอบแล้ว