xs
xsm
sm
md
lg

“เทพมนตรี” เตือนสติ “มาร์ค” ลืมยังเคยบอกจะทวงคืนเขาวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม
“เทพมนตรี” ระบุ ก.ต่างประเทศตีความศาลโลกเข้าข้างเขมร ทำให้เมินสั่งทหารเคลื่อนไหว ย้ำมีเอ็มโอยู 43 เท่ากับประเคนพื้นที่ให้เขมร พร้อมเตือนสติ “มาร์ค” ถึงเวลาหรือยังที่บอกจะทวงคืนเขาวิหารสมัยเป็นฝ่ายค้าน


 คลิกที่นี่ เพื่อฟังการเสวนา โดย “อ.เทพมนตรี ลิมปพยอม”  

นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระ กล่าวในรายการ “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ซึ่งเป็นถ่ายทอด จากมหาวิทยาลัยเจ้าพระยา จ.นครสวรรค์ ว่าแผนที่ระว่างดงรักที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกว่าตนจะไม่ใช่นั้น แต่กัมพูชาได้ยึดถือใช้แผนที่นี้มาตลอด ตนเคยเตือนไปหลายครั้งว่า ทั้งภูมะเขือ และสัตตาโสม เป็นพื้นที่ที่กัมพูชาต้องการ ดูได้จากตอนนี้เขมรเอาเสาจานเรด้าเข้าติดตั้งแล้ว แสดงว่าเขมรกำลังบรรลุผลถ้าทหารไทยยังสนุกในเรื่องจัดงานวันเด็กอยู่ อย่างกรณีแม่ทัพภาค 2 ให้สัมภาษณ์ว่า “ไทยยังไม่เสียดินแดน” ซึ่งไม่รู้ว่าท่านรู้จักเป้ยตานีหรือป่าว เพราะตั้งแต่ที่ท่านดำรงค์ตำแหน่งไม่เคยเห็นไปถึงเป้ยตานีเลย

คำพิพากษาศาลโลกตัดสินให้เฉพาะตัวเขาวิหารเป็นของกัมพูชา แต่มีนักวิชาการพยายามรวบ ให้คนเข้าใจว่าศาลชี้ขาดอำนาจอธิปไตย ทั้งในเรื่องดินแดนและตัวปราสาทเขาวิหารด้วย เมื่อศาลโลกตัดสิน เราก็ยอมตามในฐานะเป็นรัฐภาคี อย่างไรก็ดี เพื่อไม่ให้เขมรรุกล้ำพื้นที่ก็ได้ล้อมรั้วลวดหนาม แล้ววาดภาพกำหนดพื้นที่กั้นลวดหนามส่งไปให้ศาลโลก ทั้งนี้เพื่อให้กัมพูชาได้ตามสิทธิตามศาลโลก จอมพลประภาส ได้สั่งให้ทหารถอยลงมาจากตัวปราสาทแล้วตรึงกำลังไว้โดยรอบ โดยเขมรจะขึ้นทางไหนก็ไปหาทางขึ้นเอาเอง ที่จริงเขมรเขารู้ดีว่าขอบเขตพื้นที่เขาถึงแค่ไหน แต่รัฐบาลสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.สุรยุทธ์ นายสมัคร นายสมชาย ซึ่งอาจจะรวมถึงรัฐบาลนี้ด้วยไปประเคนพื้นที่ให้เขมร

นายเทพมนตรีกล่าวถึงคำพูดของนายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ว่า “ขอสงนสิทธิในการเรียกคืนตัวปราสาท และไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก” แล้วนายอภิสิทธิ์ยังเคยปภิปรายไม่ไว้วางใจนายสมัครว่า “รัฐบาลนายสมัครไม่มีสิทธิยกข้อสงวนทิ้ง ข้อสงวนยังคงมีสิทธิต่อไป และถ้าอนาคตมีรัฐบาลใหม่จะเรียกข้อสงวน” นั้น มาถึงเวลานี้ นายกฯควรทำหนังสือถึงสหประชาชาติเพื่อทวงคืนปราสาทเขาวิหารได้แล้ว

นายเทพมนตรีกล่าวถึงกรณีที่กัมพูชาขึ้นป้ายบริเวณวัดแก้ว ซึ่งเป็นจุดที่ทหารไทยเคยประจำการอยู่ แต่เมื่อมีเอ็มโอยู 43 ทำให้คนไทยต้องถอนกำลังลง แล้วเขมรได้เขียนข้อความ ว่า ณ.จุดนี้คนไทยรุกล้ำพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งที่ เราได้สงวนสิทธิเอาไว้ แต่กัมพูชาได้ใช้อำนาจเกินขอบเขตุตามสิทธิที่มีเฉพาะตัวเขาวิหาร แสดงว่ากองทัพภาค 2 ละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ หากปล่อยให้เขมรย่ามใจอยู่เรื่อยๆ เป็นไปได้ว่าเราอาจเกิดกฎหมายปิดปากอีกรอบ

“เอ็มโอยู 43 เป็นผลร้ายทำให้ไม่สามารถผลักดันเขมรให้ออกไปด้วยอาวุธได้ ทำได้เพียงพึ่งกระทรวงต่างประเทศ แต่ข้าราชการกระทรวงต่างต่างประเทศบางท่าน หยิบเอาคำพิพากษาศาลโลกแล้วคิดไปเองว่าเขมรต้องได้พื้นที่บริเวณโดยรอบด้วย จึงไม่ได้สั่งให้ทหารทำอะไร ทำให้ขณะนี้วัดแก้ว กลายเป็นที่อยู่ของเขมรไปแล้ว แต่เดิมก่อนมีเอ็มโอยู43 เขมรอยู่ได้แค่บรรไดหน้า ตอนนี้เขมรลงมาอยู่ถึงหน้าวัดแล้ว หากตนเป็นนายก ถือว่าเขมรตบหน้าอย่างแรง” นายเทพมนตรีกล่าว

นายเทพมนตรีกล่าวต่อว่า ชุดนายพนิชและคนไทยที่ถูกจับแต่งเป็นชุดที่เจ็บปวดสำหรับคนไทย สีน้ำเงินหมายถึงอะไร ชุดนักโทษเขมรไม่เคยมีสีน้ำเงิน ทำไมกัมพูชาต้องทำสีน้ำเงินท่านต้องไปคิดเอาเอง พร้อมกับกล่าวถึงกรณีที่นายศิริโชคโต้ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เอ็มโอยู 43 เป็นเครื่องมือกีดขวางฮุนเซน เพราะยังทำอะไรไม่ได้เนื่องจากยังไม่ได้เจรจาปักเขต ดังนี้ หากฮุนเซนเห็นว่าไม่มีประโยชน์เขาคงยกเลิกไปแล้ว ที่ไม่ยกเลิกเพราะในเอ็มโอยู 43 มีแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ที่เขมรได้ประโยชน์แนบเข้าไปด้วย เรื่องนี้ตนได้บอกไปหลายครั้งแล้วว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เป็นแผนที่เก๊ เพราะไม่ได้รับการลงนามจากคณะกรรมการ และเอ็มโอยู 43 ก็เถื่อนเพราะใช้หลักฐานเก๊ ดังนั้นเอ็มโอยู 43 จึงทั้งเถื่อนและแก๊ และกรณีที่อ้างแผนที่ไม่ว่าไซค์อะไรก็แล้วแต่ แล้วบอกว่า 7 คนไทยถูกจับอยู่ภายใต้พื้นที่การดูแลของเขมรนั้น ตนขอบอกว่าแผนที่ทุกไซต์ที่อ้างอยู่ในดินแดนไทย เพียงแค่คนไทยไปถูกจับในหมู่บ้านเขมรอพยพที่มาปักหลักอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย เรื่องนี้กระทรวงต่างประเทศ ต้องใช้แผนที่ของกองกำลังบูรพาไปยืนยันในชั้นศาล ไม่ใช่ไปบอกนายพนิชว่าถูกจับในพื้นที่เขมร

กำลังโหลดความคิดเห็น