“คำนูณ” แนะ “มาร์ค” เดินออกจากวังวนน้ำเน่าจับมือ ปชช. ถ่วงดุลอำนาจครอบงำ รับใกล้ชิดพันธมิตรฯ แต่การทำงานเป็นกลางไม่อยู่ใต้อำนาจใคร ด้าน “สุมนต์” เมินเสน่ห์สาธารณะ “มาร์ค” บอกรับไม่ได้ที่ปล่อยเขมรย่ำยีเกียรติภูมิของไทย ย้ำอย่าก้ำกึ่งทางความคิด หากมีปัญหาอะไรติดขัดบอกให้ชาวบ้านรู้ พร้อมประเมินการทำงานของ ส.ว. ชี้ไม่ถึงครึ่งทำตามหน้าที่ได้ดีเหมาะสมกับตำแหน่ง
รายการแอน จินดารัตน์ ออกอากาศทางสถานี ASTV ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-22.00 น. ประจำวันที่ 10 ม.ค. 54 ดำเนินรายการโดย น.ส.จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ ได้รับเกียรติจากนายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา และอาจารย์สุมนต์ สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เลือกตั้ง มาร่วมพูดคุยถึงผลการทำงานในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา
นายคำนูณกล่าวว่า ปกติตนจะเป็นคนพูดแรงๆ ตรงไปตรงมายาก หากพูดแสดงว่ามีการสะสมมานาน อย่างไรก็ดี ตนยังสนับสนุนจุดยืนที่นายกฯ ที่แถลงไว้เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2553 ตอนนี้อยากให้ควบคุมกลไกของรัฐทุกระดับ ให้ยืนตามจุดยืนรัฐบาล ทั้งนี้ตนเชื่อว่าปัญหาระหว่างไทยกัมพูชา ตัวนายกฯ เองรู้ดี แต่ยอมจำนนต่อความจำเป็นทางการเมือง ดังนั้น นายกฯ ต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นมันมากเกินไปหรือไม่ ยุคนี้เป็นยุคเปลี่ยนถ่ายการเมืองเข้าสู่ภาคประชาชน ลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน ทำไมนายกฯ ยังยึดติดกับข้อมูลของราชการของกระทรวงต่างประเทศ หรือความมั่นคงบางฝ่าย ทำไมไม่เอาข้อมูลภาคประชาชนเข้าไปถ่วงดุลข้อมูลหรืออำนาจ ทำไมไม่เดินออกมาจากระบบราชการที่ฟอนเฟะคอร์รัปชันบางจุด หากนายกฯ ทำได้ภาคประชาชนจะอุ้มท่านไปสู่รัฐบุรุษในอนาคตเอง
“สิ่งที่ผมพอใจมากที่สุดสำหรับการทำหน้าที่ ส.ว.ที่ผ่านมา มีประเด็นเรื่องอธิปไตยของแผ่นดิน อย่างเรื่องเขาพระวิหาร ตนต่อสู้มาตั้งแต่มีเสียงสนับสนุนเพียง 7-8 เสียง ตอนนั้นแพ้เสียงค้านที่มีมากถึง 400 กว่าเสียง จนกระทั่งสู้ให้เรื่องนี้เป็นการประชุมโดยเปิดเผย สู้ให้มีกรรมาธิการ มีการอภิปรายแถได้สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ อีกอย่างคือเรื่องภยันตรายของแนวคิดรัฐไทยใหม่ ที่ส่งผลกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ ตนได้เสนอให้ตั้งคณะกรรมการติดตามพิทักษ์สถาบัน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังติดตามทำงานกันอยู่” นายคำนูณ กล่าว
นายคำนูณกล่าวถึงผลกระทบกับการทำงานของรัฐบาล เมื่อ 74 ส.ว.แบบสรรหาจะพ้นจากตำแหน่งในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ว่า ส่งผลกระทบพอสมควร เนื่องจากการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งหากจะเข้าสู่ที่ประชุมร่วมวาระ 2 และ 3 ได้ทันตามเงื่อนกำหนดเวลาต้องเข้าสู่ที่ประชุมภายในปลายเดือนมกราคมนี้ อย่างไรก็ดี สำหรับการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ไม่น่ามีปัญหา ถ้าทำให้เสร็จทันภายในยุค ส.ว.นี้
ทั้งนี้ หากมองในเรื่องของความสัมพันธ์กับสื่้อ ไม่ได้มีปัญหาอะไร เคารพการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อ ไม่ว่าจะตรงใจเราหรือไม่ ตนเข้าใจดีเพราะเคยทำงานด้านสื่อมวลชนมาก่อน บางครั้งการทำงานของตน มักถูกมองว่าเป็น ส.ว.สายพันธมิตรฯ ตรงนี้ดูเหมือนจะใช่แต่มันก็ไม่ใช่ ตนไม่ปฎิเสธในภาพลักษณ์ที่มีความใกล้ชิดกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นความใกล้ชิดตามประสาคนเคารพนับถือกัน แต่การทำงานไม่ได้ขึ้นอยู่กับแกนนำพันธมิตรฯ เมื่อเข้าสู่การเมืองแล้วตนก็เคารพในหัวโขนที่ประชาชนมอบให้ วางตัวเป็นกลาง
อ.สุมนต์ กล่าวถึงประเด็นทหารเขมรจับ 7 คนไทยในพื้นที่ของประเทศไทยว่า แต่เดิมตนเห็นใจรัฐบาลในการแก้ปัญหา แต่หลังจากลงพื้นที่รับฟังข้อมูลชาวบ้าน พบเขาต้องทนทุกข์มาร่วม 30 ปี มีการร้องขอต่อหน่วยงานราชการมาตลอดแต่ไม่มีใครช่วยเหลือ จนทำให้ความรู้สึกดีเปลี่ยนไป ถึงขั้นพูดได้ว่า ถ้ารัฐบาลบริหารไม่ได้ก็ไม่สมควรอยู่ ปล่อยให้คนต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในดินแดนของเราแถมยังปล่อยให้จับคนไทยไปอีก ทั้งนี้ หากนายกฯ มีปัญหาอะไรติดขัดที่ทำให้สั่งการช่วยชาวบ้านไม่ได้ น่าจะบอกให้ชาวบ้านรู้ ไม่ใช่กั๊กอยู่อย่างนี้
อย่างไรก็ดี หลังจากเกิดเหตุการนี้ทำให้ตนรู้สึกว่า รัฐบาลไม่น่าได้รับความไว้วางใจ ที่ไปเห็นดีเห็นงามกับเขมรคล้อยตามว่าคนไทยรุกล้ำเข้าไปในดินแดนเขมร ตรงนี้เป็นการย่ำยีเกียรติภูมิของไทย ถึงตัวนายกฯจะมีเสนห์สาธารณะอย่างไร ก็รับไม่ได้ อีกอย่างประเด็นแก้รัฐธรรมนูญ หากจะแก้ก็สามารถแก้ได้เพราะท่านทำหน้าที่ในฐานะรัฐบาล แต่ยังไม่ถึงเวลาแก้ เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพิ่งใช้มายังไม่ถึง 5 ปีเลย ทั้งนี้หากตนเจอนายกฯ จะถามว่าทำไมจึงไม่สั่งการ ทำไม่จึงเห็นคล้อยตามเขมร และติดอะไรที่สั่งการไม่ได้
อ.สุมนต์กล่าวถึงความตั้งใจก่อนเข้าเป็น ส.ว.ว่า เดิมทีต้องการเข้ามาแก้รัฐธรรมนูญ ไม่ให้มี ส.ว.แบบสรรหา แต่พอเข้ามาทำงานจริงความคิดเปลี่ยน ส.ว.สรรหาหลายท่านมีอุดมการณ์เดียวกัน ขณะที่ ส.ว.เลือกตั้ง กลับทำให้ผิดหวังเยอะมาก กระบวนการทำงานของคนที่เป็นตัวแทนชาวบ้าน ควรยกกฎหมายที่เป็นประโยชน์ ต้องต่อสู้เพื่อประชาชน ไม่ใช่มัวแต่เสนอในสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ตัวเองหรือพวกพ้อง เช่น เสนอให้นายก อบต. นายก อบจ. ที่ไม่ต้องให้มีเว้นวรรค ซึ่งตนไม่เห็นด้วยว่าควรเว้นสักนิดเพื่อให้โอกาสคนอื่นบ้าง
อ.สุมนต์กล่าวต่อว่า รู้สึกภูมิใจกับฉายาที่ว่ากลุ่ม 40 ส.ว.ว่า เป็นพวกก้างตำคอ เพราะตามอุดมการณ์ตั้งใจทำเพื่อประชาชนอยู่แล้ว คอยเป็นก้างตำคอสำหรับคนคิดไม่ดี อุดมการณ์ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ยิ่งใหญ่กว่าเงิน หลายครั้งตนทำงานด้านสิ่งแวดล้อมแล้วขัดผลประโยชน์กับคนในพื่้น จนมีคนบอกให้ระวังตัว หากถามว่ากลัวตายหรือเปล่า ตอบตรงๆ ว่ากลัว แต่หากตายขณะทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ไม่เสียชาติเกิด ทั้งนี้หากให้ประเมินการทำงานของ ส.ว.ทั้ง 150 คน ไม่ถึงครึ่งทำตามหน้าที่ได้ดีเหมาะสมกับตำแหน่ง