xs
xsm
sm
md
lg

อัด“มาร์ค”ฮั้วฮุนเซนสานมรดกแม้ว ตั้งฉายารัฐบาลสวมตอ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - แห่ร่วมงาน “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ครั้งที่ 7 ล้นหอประชุม มธ. “ลุงจำลอง” ชี้หากรัฐถอนตัวมรดกโลก เลิกเอ็มโอยู 43 ไล่เขมรพ้นแผ่นดินไทย เหตุการณ์จับ 7 คนไทยคงไม่เกิด ยันยิ่งซื้อเวลายิ่งสูญเสีย “คำนูณ” ปูด “มาร์ค” หวังสานต่อมรดก “แม้ว” หลังฮั้ว “ฮุนเซน” หวังฮุบผลประโยชน์ทางทะเล ต่อทุนเตรียมการเลือกตั้ง พร้อมแฉ “มาร์ค-ฮุนเซน” ฮั้วแตก เหตุจับ “พนิช” ยัดคุก ชี้ 7 คนไทยถูกจับเรื่องดี ทำคนไทยหูตาสว่างขึ้น ยี้ฉายา “รัฐบาลสวมตอ”

เมื่อเวลา 15.00 น. วานนี้ (6 ม.ค.) ที่หอประชุมใหญ่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดงาน “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ครั้งที่ 7 โดยมีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้าร่วม อาทิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 2,000 คน เต็มความจุของหอประชุม ในช่วงแรกเป็นการแสดงขับร้องเพลง และบรรเลงเปียโนโดย อ.ณัฐ-พวงเดือน ยนตรรักษ์ โดยมี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นแขกรับเชิญพิเศษร่วมขับร้องเพลงด้วย

เวลา 18.00 น. หลังจากผู้ร่วมงานและแขกผู้มีเกียรติได้ร้องเพลงชาติไทยร่วมกันเสร็จสิ้น พล.ต.จำลอง เป็นผู้กล่าวเปิดการเสวนาวิชาการว่า เป็นเวลากว่า 1 ปี 2 เดือนแล้วที่พันธมิตรฯได้ยื่นหนังสือถึงนายกฯและรัฐบาลให้ปกป้องอธิปไตยของประเทศ โดยให้ยกเลิกข้อผูกพันธ์ที่ทำต่อกัมพูชาทั้งหมด พร้อมยื่น 3 ข้อเสนอ ได้แก่ 1.ถอนตัวออกจากภาคีมรดกโลก 2.ยกเลิก MOU 2543 และ 3.ผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทยออกมา แต่รัฐบาสลกลับไม่ดำเนินการใดๆเลย จนเป็นเหตุให้ประเทศไทยต้องถูกรุกรานอย่างต่อเนื่อง และล่าสุด 7 คนไทยถูกทหารเขมรจับในแผ่นดินไทย เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.53 ที่ผ่านมา ถือว่าขายหน้าไปทั่วโลก ถึงวันนี้กลุ่มพันธมิตรฯยังยืนยันในจุดยืนเดิมให้รัฐบาลปฏิบัติตาม 3 ข้อเสนอดังกล่าว เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา และป้องกันการสูญเสียดินแดนในอนาคตด้วย

พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การจัดเสวนาในวันนี้มีการเตรียมการร่วมหน้าก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 7 คนไทยถูกจับกุม โดยเป็นครั้งที่ 7 และจังหวัดที่ 7 ตามที่กลุ่มพันธมิตรฯได้เคยประกาศไว้ว่าจะมีการเดินสายจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และความคิดเห็นเกี่ยวกับความเป็นมาของปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา ในจังหวัดต่างๆทั่วประเทศ ก่อนจะมีการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 25 ม.ค.นี้ เพื่อให้ประชาชนผู้เข้าร่วมเสวนาได้รับทราบถึงเหตุผลในการออกมาปกป้องผืนแผ่นดินไทย ทั้งบริเวณเขาพระวิหาร และพื้นที่อื่นๆทั้งทางบก ทางทะเลที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะต้องเสียให้แก่กัมพูชา

ขณะที่การเสวนาวิชาการ “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ครั้งที่ 7 นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวตอนหนึ่งว่า มี 3 เหตุการณ์ที่บ่งบอกถึงการสูญเสียอธิปไตยบนดินแดนไทยในทางปฏิบัติแล้ว ได้แก่ 1.การจับกุมคนไทยในประเทศไทยโดยต่างชาติ แล้วนำไปจำคุกและขึ้นศาลต่างชาติ 2.พื้นที่ 4.6 ตร.กม.บริเวณรายรอบปราสาทพระวิหาร และ 3.ผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชา โดยทั้ง 3 เหตุการณ์มีมือที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง และเป็นผู้ที่จะเข้ามาเสวยผลประโยชน์ในบั้นปลาย ซึ่งไม่ใช่ประชาชนไทยและกัมพูชาอย่างแน่นอน โดยมือที่มองไม่เห็นนี้มีกลุ่มทุนใหญ่ต่างชาติ ซึ่งหมายรวมถึงประเทศมหาอำนาจ ที่ร่วมมือกับกลุ่มทุนใหญ่ในไทยและกัมพูชา โดยมีนักการเมืองของทั้ง 2 ชาติ ทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวแทนของกลุ่มทุนใหญ่เหล่านั้น

“มีคนถามว่าสิ่งที่เราออกมาเรียกร้องนี้ เพราะเราต้องการก่อสงครามหรืออย่างไร ต้องบอกว่าเราไม่ได้ต้องการสงคราม เรารักใคร่พี่น้องประชาชนกัมพูชาด้วยซ้ำ ที่ถูกนักการเมืองและผู้มีอำนาจของประเทศย่ำยีไม่ต่างจากเรา ในความเป็นจริงสิ่งที่เราต้องการคือ ข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศที่จะนำมาสู่การเจรจาโดยสันติ แต่ต้องอยู่บนความชอบธรรม ความถูกต้อง และไม่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษไทยในอดีต” นายคำนูณ กล่าว

นายคำนูณ กล่าวต่อว่า กรณี 7 คนไทยที่ถูกจับกุม รัฐบาลไทยไม่ออกมาปกป้องคนไทย กลับบอกว่าคนกลุ่มนี้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่กัพูชา เหตุใดจึงด่วนไปพูดว่าคนเหล่านั้นรุกล้ำเข้าไป การออกมาบอกว่ารุกล้ำเข้าไปไม่ว่าจะกี่เมตร 100 เมตร หรือ 8 เมตรในตอนสุดท้าย หรือจะบอกว่าไม่ได้เจตนาเพียงแต่พลัดหลงเข้าไป ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสิ่งที่คนในรัฐบาลพูดออกมาเป็นการยืนยันจุดที่ถูกจับกุมว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งๆที่เป็นพื้นที่ดังกล่าวมีการอ้างสิทธิครอบครองของทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นจึงเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ต้องมีการปักปันตาม MOU 2543 ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ยึดถืออยู่ ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามอ้างความชอบธรรมของ MOU 2543 ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยชะลอไม่ให้กัมพูชายึดพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และไม่สามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ รวมทั้งทำให้ไม่มีการใช้กำลังในการแก้ปัญหาหรือแย่งชิงดินแดน ทำให้เรื่องอยู่แต่บนโต๊ะเจรจา แต่พอเกิดเหตุการณ์จับกุม 7 คนไทย แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลอ้างมาตลอดนั้นไม่มีประโยชน์ และไม่มีความชอบธรรมที่จะมาอ้างความจำเป็นของการมีอยู่ของทั้งง MOU 2543 รวมไปถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่รัฐบาลพยายามอ้างมาตลอด

“เป็นเรื่องน่าแปลกที่หากพูดถึงพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศไทยชัดเจน รัฐบาลนี้บอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ในส่วนพื้นที่ที่ 7 คนไทยถูกจับที่ควรบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน คนในรัฐบาลกลับบอกว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องที่รัฐบาลควรทำตั้งแต่ต้นคือ การออกมาพูดดังๆว่า พื้นที่บริเวณที่ทหารกัมพูชาจับกุม 7 คนไทยนั้นเป็นเขตแดนที่ทั้ง 2 ฝ่ายอ้างสิทธิ์อยู่กัมพูชาไม่มีสิทธิ์ในการจับกุมคนไทยได้” นายคำนูณ กล่าว

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า นายกฯอภิสิทธิ์เป็นผู้ยืนหยัดมาตลอดว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และบอกว่าข้อ 1 ค.ใน MOU 2543 ไม่ได้หมายถึงระวางดงรัก ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร และทำให้ประเทศไทยต้องเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาท แต่หมายถึงแผนที่ระวางอื่นๆ ซึ่งตนเห็นว่าสิ่งที่นายกฯเชื่อนี้เป็นเพียงตรรกะของนายกฯและนายศิริโชค โสภา คนใกล้ชิดของนายกฯ เท่านั้น เพราะกัมพูชาเองก็ยืนยันต่อชาวโลกมาตลอดว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนที่ระบุใน MOU 2543 หมายรวมถึงระวางดงรักด้วย แม้แต่กระทรวงต่างประเทศเองก็ยืนยันว่าให้การยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนทุกระวาง ขัดแย้งกับความเชื่อของนายกฯอภิสิทธิ์

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า ตนขอตั้งฉายาว่า “ฉายารัฐบาลสวมตอ” ทั้งจากการออกนโยบายประชาวิวัฒน์ที่สวมตอจากนโยบายประชานิยมของระบอบทักษิณ แล้วยังมาสวมตอที่จะไปรับมรดก ซึ่งเป็นปัญหาที่เป็นหัวใจของข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชา นั่นคือผลประโยชน์จากพื้นที่ในทะเลอ่าวไทย ซึ่งกรณีเขตแดนทางบก และเขตแดนทางทะเล มีความเหมือนกันอยู่ คือ การปักปันเขตแดนโดยยึดสันปันน้ำในอดีต มาเป็นการยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากเส้นใหม่ขึ้นมาตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนที่จัดทำโดยประเทศฝรั่งเศสเพียงฝ่ายเดียวตาม MOU 2543 จึงเกิดปัญหาเขตแดนในทะเลทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนจากการลากเส้นใหม่อย่างพิลึกพิลั่นและขัดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อหวังให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนในเขตแดนทางทะเล และเป็นพื้นที่ทำประโยชน์ร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ ในที่สุดผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยก็จะตกไปอยู่กับผู้มีอำนาจทั้ง 2 ประเทศ แต่ที่จะได้มากที่สุดคือกลุ่มทุนนานาชาติด้านพลังงาน ซึ่งจะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับกลุ่มทุนของทั้ง 2 ชาติ สุดท้ายผู้ที่ได้แน่ๆคือนักการเมือง ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยหากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้ตกลงกัน ทำให้ตนจึงเชื่อว่าก่อนการประชุมมรดกโลก ในเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการตกลงกันอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ชาติหลงเชื่อว่าได้รับชัยชนะทั้งคู่ หลังจากนั้นจะมีการตกลงผลประโยชน์ในอ่าวไทยครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเลือกตั้งครั้งต่อไป เป็นการฮั้วกันระหว่างนายกฯฮุนเซนกับนายกฯอภิสิทธิ์

นายคำนูณ กล่าวอีกว่า แต่ตอนนี้เกิดการฮั้วแตกขึ้นมา เมื่อนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าเป็นคนสนิทคนหนึ่งของนายกฯอภิสิทธิ์ ไปถึงจับกุมโดยทหารกัมพูชาร่วมกับนายวีระ สมความคิด ที่ทางนายกฯฮุนเซนจงเกลียดจงชัง
ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความค่าดหมาย โดยตนเชื่อว่านายพนิชเป็นคนที่จริงใจต่อปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นายพนิชหวังที่จะลดเงื่อนไขของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาล จึงเข้าไปสนทนากับสมณะโพธิรักษ์ หวังให้กองทัพธรรมสนับสนุนแนวทางรัฐบาล และสกัดไม่ให้ออกมาต่อต้าน จึงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับทางกองทัพธรรมและนายวีระ แล้วชักชวนกันไปพิสูจน์ในพื้นที่ จนเกิดการจับกุมในที่สุด

“ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดูเหมือนว่าทำท่าจะไปได้ดี มีผลประโยชน์ร่วมกันทางการเมือง และทางธุรกิจที่มีกลุ่มทุนนานาชาติอยู่เบื้องหลัง บังเอิญเกิดปาฏิหารย์ฮั้วแตก นายพนิชถูกจับ นายกฯอภิสิทธิ์และนายกฯฮุนเซนจึงเกิดอาการพะว้าพะวัง เดินหน้าไม่ได้ ถอยไม่ออก ถึงวันนี้หลายคนมองว่าการที่ 7 คนไทยถูกจับเป็นเรื่องเสียหาย แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนไทยหูตาสว่างมากยิ่งขึ้น” นายคำนูณ กล่าว.
กำลังโหลดความคิดเห็น