“คำนูณ” ปูด “มาร์ค” หวังสานต่อมรดก “แม้ว” หลังฮั้ว “ฮุนเซน” หวังฮุบผลประโยชน์ทางทะเล ต่อทุนเตรียมการเลือกตั้ง พร้อมแฉ “มาร์ค-ฮุนเซน” ฮั้วแตก เหตุจับ “พนิช” ยัดคุก ชี้ 7 คนไทยถูกจับเรื่องดี ทำคนไทยหูตาสว่างขึ้น ยี้ฉายา “รัฐบาลสวมตอ”
คลิกที่นี่ เพื่อฟังการเสวนา “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดย “คำนูณ สิทธิสมาน”
ในงานการเสวนาวิชาการ “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ครั้งที่ 7 ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา กล่าวตอนหนึ่งว่า มี 3 เหตุการณ์ที่บ่งบอกถึงการสูญเสียอธิปไตยบนดินแดนไทยให้แก่กัมพูชาในทางปฏิบัติแล้ว ได้แก่ 1.การจับกุมคนไทยในประเทศไทยโดยต่างชาติ แล้วนำไปจำคุกและขึ้นศาลต่างชาติ 2.การเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.บริเวณรายรอบปราสาทพระวิหาร และ 3.ผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยระหว่างไทย-กัมพูชา โดยทั้ง 3 เหตุการณ์มีมือที่มองไม่เห็นอยู่เบื้องหลัง และเป็นผู้ที่จะเข้ามาเสวยผลประโยชน์ในบั้นปลาย ซึ่งไม่ใช่ประชาชนไทยและกัมพูชาอย่างแน่นอน โดยมือที่มองไม่เห็นนี้มีกลุ่มทุนใหญ่ต่างชาติ ซึ่งหมายรวมถึงประเทศมหาอำนาจที่ร่วมมือกับกลุ่มทุนใหญ่ในไทยและกัมพูชา โดยมีนักการเมืองของทั้ง 2 ชาติทำหน้าที่เป็นเหมือนตัวแทนของกลุ่มทุนใหญ่เหล่านั้น
“มีคนถามว่า สิ่งที่เราออกมาเรียกร้องนี้เพราะเราต้องการก่อสงครามหรืออย่างไร ต้องบอกว่าเราไม่ได้ต้องการสงคราม เรารักใคร่พี่น้องประชาชนกัมพูชาด้วยซ้ำที่ถูกนักการเมืองและผู้มีอำนาจของประเทศย่ำยีไม่ต่างจากเรา ในความเป็นจริงสิ่งที่เราต้องการ คือ ข้อตกลงระหว่าง 2 ประเทศที่จะนำมาสู่การเจรจาโดยสันติ แต่ต้องอยู่บนความชอบธรรม ความถูกต้อง และไม่เหยียบย่ำศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษไทยในอดีต” นายคำนูณกล่าว
นายคำนูณกล่าวต่อว่า กรณี 7 คนไทยที่ถูกจับกุมที่ชายแดนจังหวัดสระแก้ว รัฐบาลไทยไม่ออกมาปกป้องคนไทย กลับบอกว่าคนกลุ่มนี้รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่กัพูชา เหตุใดจึงด่วนไปพูดว่าคนเหล่านั้นรุกล้ำเข้าไป การออกมาบอกว่ารุกล้ำเข้าไปไม่ว่าจะกี่เมตร 100 เมตร หรือ 8 เมตรในตอนสุดท้าย หรือจะบอกว่าไม่ได้เจตนาเพียงแต่พลัดหลงเข้าไป ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะสิ่งที่คนในรัฐบาลพูดออกมาเป็นการย้ำว่าคนไทยถูกจับกุมในพื้นที่ของกัมพูชา ทั้งๆ ที่พื้นที่ดังกล่าวมีการอ้างสิทธิครอบครองของทั้ง 2 ฝ่าย ดังนั้นจึงเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่ต้องมีการปักปันตาม MOU 2543 ที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ยึดถืออยู่ ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามอ้างความชอบธรรมของ MOU 2543 ว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยชะลอไม่ให้กัมพูชายึดพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และไม่สามารถขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ รวมทั้งทำให้ไม่มีการใช้กำลังในการแก้ปัญหาหรือแย่งชิงดินแดน ทำให้เรื่องอยู่แต่บนโต๊ะเจรจา แต่พอเกิดเหตุการณ์จับกุม 7 คนไทย แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลอ้างมาตลอดนั้นไม่มีประโยชน์ และไม่มีความชอบธรรมที่จะมาอ้างความจำเป็นของการมีอยู่ของทั้งง MOU 2543 รวมไปถึงคณะกรรมการปักปันเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ที่รัฐบาลพยายามอ้างมาตลอด
“เป็นเรื่องน่าแปลก ที่หากพูดถึงพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศไทยชัดเจน รัฐบาลนี้บอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน ในส่วนพื้นที่ที่ 7 คนไทยถูกจับที่ควรบอกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน คนในรัฐบาลกลับบอกว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา ซึ่งสิ่งที่ถูกต้องที่รัฐบาลควรทำตั้งแต่ต้น คือ การออกมาพูดดังๆ ว่าพื้นที่บริเวณที่ทหารกัมพูชาจับกุม 7 คนไทยนั้นเป็นเขตแดนที่ทั้ง 2 ฝ่ายอ้างสิทธิอยู่กัมพูชาไม่มีสิทธิในการจับกุมคนไทยได้” นายคำนูณกล่าว
นายคำนูณกล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ยืนหยัดมาตลอดว่าไม่ยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน และบอกว่าข้อ 1 ค.ใน MOU 2543 ไม่ได้หมายถึงระวางดงรัก ซึ่งเป็นเขตที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร และทำให้ประเทศไทยต้องเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาท แต่หมายถึงแผนที่ระวางอื่นๆ ซึ่งตนเห็นว่าสิ่งที่นายกฯ เชื่อนี้เป็นเพียงตรรกะของนายกฯ และนายศิริโชค โสภา คนใกล้ชิดของนายกฯ เท่านั้น เพราะกัมพูชาเองก็ยืนยันต่อชาวโลกมาตลอดว่าแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนที่ระบุใน MOU 2543 หมายรวมถึงระวางดงรักด้วย แม้แต่กระทรวงต่างประเทศเองก็ยืนยันว่าให้การยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนทุกระวาง ขัดแย้งกับความเชื่อของนายกฯ อภิสิทธิ์
นายคำนูณกล่าวอีกว่า เมื่อตอนที่มีปัญหาขัดแย้งกับสมเด็จฯ ฮุนเซนปีที่แล้ว นายอภิสิทธิ์เคยบอกว่าจะยกเลิกเอ็มโอยูเพราะเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางทะเล แต่จนขณะนี้ก็ยังไม่ยกเลิก ตนขอตั้งฉายารัฐบาลนี้ว่า “ฉายารัฐบาลสวมตอ” ทั้งจากการออกนโยบายประชาวิวัฒน์ที่สวมตอจากนโยบายประชานิยมของระบอบทักษิณ แล้วยังมาสวมตอที่จะไปรับมรดกซึ่งเป็นปัญหาที่เป็นหัวใจของข้อพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชา นั่นคือผลประโยชน์จากพื้นที่ในทะเลอ่าวไทย ซึ่งกรณีเขตแดนทางบก และเขตแดนทางทะเล มีความเหมือนกันอยู่ คือ การปักปันเขตแดนโดยยึดสันปันน้ำในอดีต มาเป็นการยอมรับเส้นแบ่งเขตแดนที่ทางกัมพูชาลากเส้นใหม่ขึ้นมาตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนที่จัดทำโดยประเทศฝรั่งเศสเพียงฝ่ายเดียวตาม MOU 2543 จึงเกิดปัญหาเขตแดนในทะเล ทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนจากการลากเส้นใหม่อย่างพิลึกพิลั่น และขัดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อหวังให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนในเขตแดนทางทะเล และเป็นพื้นที่ทำประโยชน์ร่วมกันระหว่าง 2 ประเทศ ในที่สุดผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยก็จะตกไปอยู่กับผู้มีอำนาจทั้ง 2 ประเทศ แต่ที่จะได้มากที่สุด คือ กลุ่มทุนนานาชาติด้านพลังงาน ซึ่งจะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับกลุ่มทุนของทั้ง 2 ชาติ สุดท้ายผู้ที่ได้แน่ๆ คือนักการเมือง ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้เลยหากรัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายไม่ได้ตกลงกัน ทำให้ตนจึงเชื่อว่าก่อนการประชุมมรดกโลก ในเดือน มิ.ย.ที่จะถึงนี้ รัฐบาลทั้ง 2 ฝ่ายจะมีการตกลงกันอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาชนทั้ง 2 ชาติหลงเชื่อว่าได้รับชัยชนะทั้งคู่ หลังจากนั้นจะมีการตกลงผลประโยชน์ในอ่าวไทยครั้งใหญ่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเลือกตั้งครั้งต่อไป เป็นการฮั้วกันระหว่างนายกฯ ฮุนเซนกับนายกฯอภิสิทธิ์
นายคำนูณกล่าวอีกว่า แต่ตอนนี้เกิดการฮั้วแตกขึ้นมา เมื่อนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าเป็นคนสนิทคนหนึ่งของนายอภิสิทธิ์ ไปถูกจับกุมโดยทหารกัมพูชาร่วมกับนายวีระ สมความคิด ที่ทางนายฮุนเซนจงเกลียดจงชัง ซึ่งเป็นเรื่องที่เหนือความค่าดหมาย โดยตนเชื่อว่านายพนิชเป็นคนที่จริงใจต่อปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นายพนิชหวังที่จะลดเงื่อนไขของประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาล จึงเข้าไปสนทนากับสมณะโพธิรักษ์ หวังให้กองทัพธรรมสนับสนุนแนวทางรัฐบาล และสกัดไม่ให้ออกมาต่อต้าน จึงมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับทางกองทัพธรรมและนายวีระ แล้วชักชวนกันไปพิสูจน์ในพื้นที่ จนเกิดการจับกุมในที่สุด
“ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดูเหมือนว่าทำท่าจะไปได้ดี มีผลประโยชน์ร่วมกันทางการเมือง และทางธุรกิจที่มีกลุ่มทุนนานาชาติอยู่เบื้องหลัง บังเอิญเกิดปาฏิหารย์ฮั้วแตก นายพนิชถูกจับ นายกฯ อภิสิทธิ์ และนายกฯ ฮุนเซนจึงเกิดอาการพะว้าพะวัง เดินหน้าไม่ได้ ถอยไม่ออก ถึงวันนี้หลายคนมองว่าการที่ 7 คนไทยถูกจับเป็นเรื่องเสียหาย แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้คนไทยหูตาสว่างมากยิ่งขึ้น” นายคำนูณกล่าว
นายคำนูณกล่าวต่อว่า เราต้องจับตาดูกระบวนการไต่สวนให้ดี ทุกวันนี้การใต่สวนทำไปแบบขอให้จบไปวันๆ แล้วส่งไปจำคุกเหมือนเดิม ขณะที่รัฐบาลได้แต่คาดหวังว่าจบกระบวนการไต่สวนแล้วศาลกัมพูชาเห็นว่าไม่มีเจตนา แล้วจะไม่ลงโทษ แต่สำหรับตนว่า นาทีนี้กัมพูชาเองก็ติดตามการเคลื่อนไหวของไทย ย่อมมีผลต่อการตัดสินในคดี ท้ายที่สุดเราต้องแสดงเจตนา ว่า เรื่องนี้ผิดพลาดตั้งแต่ต้นที่มุ่งแต่รอให้ศาลกัมพูชาตัดสินคดีเสร็จ อย่างไรก็ดี ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร เท่ากับไทยยอมรับอธิปไตยเหนือพื้นที่ถูกจับกุม ในที่สุดจะส่งผลต่อแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน การจัดทำหลักเขตแดนในอนาคต
“การยอมให้คนไทยขึ้นศาล แล้วเราเดินหน้าด้วยการขออภัยโทษ ไม่ต่างจากเราเฉือนดินแดนตรงนั้นใส่พานให้กัมพูชา ผมเชื่อว่าตอนนี้นายกฯ อยู่ในช่วงตัดสินใจครั้งสำคัญของชีวิต เพราะตั้งแต่วันแรกมีทิศทางให้สัมภาษณ์แตกต่างจากรัฐมนตรีท่านอื่นๆ ยังไม่เคยพูดว่าคนไทยรุกล้ำเขตแดน แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน นายกฯ ถูกล้อมจากกระทรวงการต่างประเทศ และความมั่นคงฯ บางส่วน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินนโยบายออกมา สิ่งที่ถูกต้องกระทรวงต่างประเทศ ต้องเรียกทูตกัมพูชาเข้ามาพบตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง และกดดันด้วยวิธีอื่นๆ กดดันให้กัมพูชาเคลียร์เรื่องจบก่อนถึงศาล แต่กระทรวงการต่างประเทศไม่ทำ ปล่อยให้ถึงจุดที่ยากจะหวนกลับ” นายคำนูณกล่าว
นายคำนูณกล่าวทิ้งท่ายว่า เชื่อว่าก่อนที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นัดชุมนุม 25 มกราคมนี้ เหตุการณ์คงจบลงด้วยดี หากสถานการณ์ไม่คลี่คลายก็จะวุ่นวายเข้าไปอีก อย่างไรก็ดี ตนไม่มีคำตอบให้ว่าพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องทำอย่างไร แต่สถานการณ์มันจะพาไปเอง เราจะหวังพึ่งใครไม่ได้นอกจากพึ่งตัวเอง การแสดงความเห็นของตนในสภาเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่การแสดงศักยภาพของพี่น้องประชาชนเมื่อถึงคราวจำเป็น ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เชื่อว่าการแสดงพลังไม่ว่าจะในสภาหรือนอกสภา อย่าถามว่าที่สุดแล้วผลจะเป็นอย่างไร จะชนะหรือไม่ รัฐบาลจะฟังหรือไม่ แต่ขอให้มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองทำ ว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ขอให้เชื่อว่าเกิดมาชาติหนึ่งเราได้ทำหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถแล้ว ส่วนผลจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็เดินถนนแหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน หากคิดได้เช่นนี้แล้วทำหน้าที่ต่อไป ร่วมใจกัน สักวันฟ้าดินคงเห็นในที่สุด แล้วความสำเร็จก็จะเป็นของเรา