ASTVผู้จัดการรายวัน - โพลชี้คนไทยไม่รู้เหตุผลจริง กรณี 7 คนไทยถูกเขมรจับ อดีตรัฐมนตรีคอกเพื่อไทยแนะครอบครัว “พนิช” ขอแรง นช.แม้ว ช่วยเหลือ ด้าน “ผบ.ทบ.” เพิ่งโผล่ อ้อมแอ้ม ประสานช่วยเหลือ สั่งคนไทยอย่าพูดมาก ปากเก่งบอกทหารไม่เคยกลัว "มาร์ค” มาแปลก ไม่ยอมให้คำตัดสินกระทบอธิปไตย ปัดฮั้ว “ฮุนเซน” ส่วน "ไชยวัฒน์" เริ่มคิดช่วย "วีระ"
วานนี้ (7 ม.ค.) สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประชาชนคิดอย่างไรต่อ 7 คนไทยถูกจับที่ประเทศกัมพูชาพบว่า ร้อยละ 94.9 ทราบข่าวคนไทย 7 คนถูกจับ ร้อยละ58.1ไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด 7 คนไทย ไปทำอะไรที่ชายแดน ร้อยละ 73.4 ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นพิสูจน์ความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ร้อยละ 45.9 เห็นว่า ทางออกของเรื่องนี้ต้องให้ผู้นำประเทศทั้งสอง ร่วมกันแก้ปัญหา
**แนะครอบครัว“พนิช”ขอแรงแม้ว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วรู้จักนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ดี เพราะเคยเรียนวิทยาการตลาดทุนด้วยกันและเห็นว่านายพนิชเป็นคนที่ฉลาด ไม่น่าที่จะทำพลาดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เชื่อได้ว่าจะต้องทำตามคำสั่งจากใครมาอย่างแน่นอน
ตนเป็นห่วงและสงสารนายพนิช เพราะคงจะทรมานมาก เนื่องจากนายพนิชเป็นคนที่รักและเป็นห่วงครอบครัว ไปไหนก็จะพกรูปครอบครัวกับตัวเสมอ จึงอยากจะแนะนำให้ครอบครัวนายพนิชออกมาขอร้องอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักาณ ชินวัตร ให้เข้ามาช่วยเหลือ ในการติดต่อกับผู้นำเขมร เพื่อนำตัวนายพนิชกลับมา โดยยืนยันว่าก่อนที่ตนจะออกมาพูดเช่นนี้ ไม่ได้สอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด แต่ด้วยความที่รู้จักกันทำให้เชื่อว่าหากครอบครัวนายพนิชออกมาร้องขอให้ช่วย ด้วยความที่ท่านเป็นคนใจดีและยินดีที่จะอภัยให้กับทุกคน แม้กระทั่งคนที่เคยทำร้ายตัวเอง และจะเป็นการแสดงความจริงใจที่อยากปรองดอง เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะช่วยประสานงานเพื่อช่วยเหลือนายพนิชอย่างแน่นอน แม้แต่นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย ที่เคยให้ข้อมูลซึ่งจะนำไปสู่การทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังให้อภัยและช่วยเหลือมาแล้ว
“ผมออกมาแนะนำก็ในฐานะเพื่อน ไม่อยากให้มองเป็นการเมือง ผมอยากให้นายพนิชได้กลับบ้านโดยเร็ว เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่านายพนิชอาจจะต้องอยู่ในคุกเขมรอีกนาน และผมอยากให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว ไม่อยากให้เป็นปัญหาขัดขวางความร่วมมือของสองประเทศในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันในอนาคต” นายพิชัยกล่าว
**บิ๊กตู่โผล่ บอกทหารไม่กลัว
ที่กรมแพทย์ทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ไม่อยากให้มองว่า สองประเทศมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เราต้องอยู่ด้วยความเข้าใจกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไว้วางใจกัน เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรให้ 7 คนไทยปลอดภัย และกลับมาหาครอบครัวดีที่สุด ถ้าเราโทษกันไปกันมา ผิดหรือไม่ผิด ใช่หรือไม่ใช่ จะอันตรายกับคนของเรามากกว่า เราต้องให้เกียรติประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเขามีกฎหมาย ก็เหมือนเรา ที่ใครเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ก็จับกุม ดำเนินคดี ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของศาลพิจารณา ทำอย่างไรให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ลดทิฐิ ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ ขอให้กำลังใจผู้ถูกจับ 7 คนว่า รัฐบาล กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบกดูแลท่านมาตลอด ตั้งแต่ถูกจับนาทีแรก มีการพูดคุยเจรจาปล่อยตัว ซึ่งมันเกินขั้นตอน เพราะเขานำตัวเข้าไปข้างในแล้ว อันนี้คือปัญหา ถ้าจะถามว่าความสัมพันธ์สองประเทศดีขึ้นน่าจะช่วยได้นั้น ก็จริงอยู่ แต่ต้องเข้าใจว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของเขาอยู่ไกล คือกรุงพนมเปญ เมื่อมีการนำตัวเข้าไปข้างในแล้วจึงลำบาก อยู่ที่ระยะเวลาดำเนินการ ถ้าทันก็ไม่มีปัญหา ฝ่ายไทยไม่ค่อยมีปัญหาเพราะติดต่อประสานงานกันเร็ว ทั้งนี้ อยากให้กำลังใจครอบครัว 7 คนไทย เป็นห่วงเป็นใยตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกจับ เป็นความรับผิดชอบของพวกเราอยู่แล้ว
“กลุ่มที่จะออกมาเคลื่อนไหวถือเป็นสิทธิ ใครอยากแสดงออกก็ได้ ทุกคนก็รักประชาธิปไตย แต่ก็เตือนว่า ถ้าทำแล้วไม่ดี ก็ถูกมองจากสังคมโลก คนที่จะนำความเคลื่อนไหว หรือเดินขบวนก็ต้องมีเหตุ มีผล ซึ่งไมได้หมายความว่าท่านผิดหรือถูก แต่ต้องพิสูจน์ในชั้นศาล ในคณะกรรมการปักปันเขตแดน แต่ถ้ามา เบลมว่า ทหารไปกลัวคนโน่น คนนี่ ขอเรียนว่าทหารไปกลัวไม่ได้ ถ้าเป็นทหารแล้วกลัวก็ไม่ต้องเป็น ไม่มีใครบังคับท่านมาเป็นทหาร ท่านเลือกมาเป็นเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว เพาะฉะนั้นหน้าที่ทหารคือพิทักษ์ ปกป้อง แต่จะพิทักษ์อย่างไร ถ้าพื้นที่ชัดเจน มีอาณาเขตชัดเจน และมีกำลังพลบุกเข้ามา ก็ต้องปะทะกัน ยิงกัน ถ้าไม่ชัดเจน เอาสนธิสัญญาฯ เอากฎหมายมาว่ากัน ที่ผ่ามา ที่ชัดเจน เราจับผู้ลักลอบเข้ามาตั้งกี่หมื่นคน ติดคุกจนเลี้ยงไม่ไหว ไม่เช่นนั้นประเทศไทยไม่อยู่มาถึงตรงนี้ ถ้ามีคนไม่รักชาติ มีคนที่ไปรักคนอื่นมากกว่า เพื่อหวังประโยชน์ โยงกันไปโยงกันมา ปวดหัวตาย วุ่น วุ่น วุ่นวาย จากนี้ไปโน่น ไปเขาพระวิหาร ไปทะเล โอ้ว ..ไม่ไหว เหนื่อย ให้เข้าใจว่าทหารทำหน้าที่อยู่แล้ว ถ้าท่านพูดถึงเขาไม่ดี เขาอยู่ชายแดน 7 กองกำลัง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ก็เบื่อ ก็หมดสภาพ ไม่รู้ทำไปทำไม ที่ผ่านมาถามว่ามีใครมายึดประเทศไทยได้หรือยัง มีใครประกาศว่าตรงนี้ชัดเจนว่าเป็นของเขา แล้วจะเอาอะไรมายึด ไม่ว่าตรงไหนทุกอาณาเขตของประเทศไทย ใครเอากำลังทหารถืออาวุธมายึด คงไม่ได้ เพราะนโยบายชัดเจน ประเทศไทยเป็นรัฐเดียวแบ่งแยกมิได้ ทหารมีไว้เพื่อปกป้องแต่ต้องปกป้องในกฎหมายและ รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ก็มีกฎอื่นประกอบ แต่ดีที่สุด อย่ารบกันเลย”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**”มาร์คไม่ยอมให้คำตัดสินกระทบอธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวทางการประกันตัว และการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น ตนเห็นว่า ขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นของการไต่สวน ยังไม่ไปไกลถึงเรื่องอื่น
ส่วนที่นักวิชาการออกมาตีความกฎหมายระหว่างประเทศโดยกังวลว่า คำตัดสินของศาลกัมพูชาจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มี และตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่า คำตัดสินเขียนว่าอะไร แต่อย่างไรก็ตามคำตัดสินย่อมผูกพันเฉพาะคู่ความ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคล หากมีประเด็นอื่นๆ มาก็ต้องมาว่ากันอีกที ส่วนจะถูกนำมาเป็นข้ออ้างของทางกัมพูชาหรือไม่ คงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อไป ต่างคนต่างไปจับคนมาขึ้นศาล ตัดสินเสร็จแล้วอ้างว่า อีกฝ่ายยอมรับ ตรงนี้เป็นไปไม่ได้ เราไม่ให้เกิดสภาพอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่หากคำพิพากษาส่วนไหนกระทบต่ออธิปไตยของประเทศไทย ก็ค่อยว่ากัน ขอให้เราเห็นก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้เพิ่งเป็นเรื่องของการไต่สวน
นายอภิสิทิธิ์ กล่าวว่า พยายามจะไม่ให้คดียืดเยื้อ เพราะกำลังประสานงานอยู่ อยากเรียนว่า ทุกครั้งที่ใครก็ตามแสดงความคิดเห็น มันมีผลทั้งสิ้น ฉะนั้นอยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการให้ความคิดเห็นต่างๆ
**ลั่นไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีฮั้ว
ขณะที่การขยายผลเป็นประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ อย่างกรณีของนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย มีการนำคลิปมาเปิดแล้วกล่าวหาว่า นายกฯรู้เห็นเป็นใจในเรื่องนี้ กระทั้งทำให้เกิดผลกระทบระหว่างประเทศนั้น นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ตนเรียนแล้วว่า ได้มอบหมายให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ไปดูปัญหาของประชาชน และก็เห็นอีกฝ่ายหนึ่งมาต่อว่า รัฐบาลไม่นำพา ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ปัญหาของประชาชน นี้คือรูปธรรมว่า เราพยายามจะแก้ไขปัญหา บังเอิญเกิดเหตุซึ่งไม่ควรจะเกิด ก็ต้องแก้ไขปัญหาตรงนี้ก่อน แต่ทั้งหมดเป็นเพราะว่า มีเรื่องร้องเรียน และเราพยายามที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่า อะไรเป็นอะไร เช่นตอนนี้ไปเอาเรื่องของ น.ส.3 ไปปะปนกับเรื่องการจับกุม ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่อง น.ส.3 ตนก็ให้รายงานมาอยู่ที่ไหนอย่างไร ก็ไม่ได้มีปัญหา และตามแผนที่ที่รายงานมาก็อยู่ฝั่งไทย แต่ผู้ที่ถูกจับกุมไม่ได้ถูกจับกุมในพื้นที่ที่เป็น น.ส.3 ฉะนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งได้ว่าไปตามข้อเท็จจริงของแต่ละเรื่อง
ส่วนการร้องเรียนที่ดินชาวบ้านที่มาจากกลุ่มสันติอโศก นายกฯ กล่าวว่า นายพนิชเป็นผู้ประสานงาน และยอมรับว่า กลุ่มพันธมิตรฯและกลุ่มสันติอโศก ได้แสดงความห่วงใยปัญหาที่ราษฎรมีเอกสารสิทธิ เสียภาษี แต่ไม่สามารถไปทำกินได้ และอ้างว่า ตรงนี้เป็นปัญหาที่จะต้องได้รับการแก้ไข และตนก็ถือว่า เมื่อเป็นประเด็นที่ร้องเรียนมาก็อยากจะทำความเข้าใจว่า เป็นอย่างไร นายพนิชก็อาสาตัวในฐานะส.ส.เข้าไปดูพื้นที่ แต่เมื่อเกิดเหตุไม่ควรจะเกิด เราก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้
ทั้งนี้กังวลหรือไม่ว่าพันธมิตรฯจะดึงเรื่องนี้มาเป็นเกมกดดันรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า เดิมเขานัดชุมนุมอยู่แล้วเรื่องกัมพูชา แต่ตนคิดว่า การให้ข้อมูลอยากให้มีการเสนอข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน เพราะยังมีความสับสน เอาหลายๆ เรื่องมาปะปนกัน แม้กระทั้งเรื่องเอ็มโอยูก็เป็นเรื่องเดียวกันที่ว่า ปัญหาเกี่ยวเนื่องมากจากเอ็มโอยู ซึ่งความจริงไม่ใช่ แต่ปัญหาตรงนี้เป็นเรื่องของหลักเขตแดน และเป็นปัญหาตกค้างมาจากช่วงที่มีการสู้รบในกัมพูชา และตัวเอ็มโอยู เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถรักษาสิทธิได้ เพราะการที่กัมพูชาเข้ามาอยู่ถึงวันนี้ประมาณ 30 ปี แต่เอ็มโอยูยังช่วยยืนยันว่า ทั้งไทยและกัมพูชาตกลงกันว่า ไม่ได้หมายความว่า ใครมาอยู่ตรงไหนก็แปลว่า เป็นแผนดินของคนนั้น เพราะตัวหลักเขตที่ปรากฏในปัจจุบันมีการโต้แย้งกันอยู่ว่า ควรจะขยับไปทางไหนอย่างไร และเขาก็มีการเดินสำรวจกันเมื่อปี 49 และปี 50
ส่วนความชัดเจนในการรุกล้ำหรือไม่รุกล้ำเขตแดนของ 7 คนไทยนั้น นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายต่างๆ ได้ไปทำพิกัด ซึ่งเวลานี้ใกล้เคียงกันแล้ว เมื่อถามว่า จากการที่ทนายรายงานมา การต่อสู้เห็นในทิศทางในแง่บวกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์ ในส่วนของคดี
**ไม่หวั่นแดง-เหลืองจับมือไล่
เมื่อถามว่า ขณะที่พันธมิตรฯเคลื่อนไหว ทางนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาบอกว่า รัฐบาลร่วมมือกับพันธมิตรฯ จัดฉากขึ้นมาเพื่อให้มีการชุมนุม หันซ้ายก็แดง หันขวาก็เหลือง รัฐบาลจะด่ำเนินการอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลก็อยู่ตรงกลาง เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการดูแลประชาชน และประเทศ สิ่งที่รัฐบาลทำเมื่อประชาชนมีความเดือดร้อนในพื้นที่ก็พยายามเข้าไปดูแลแก้ไข ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเดินได้ โดยสิทธิของประเทศไทย และคนไทยไม่ได้รับผลกระทบ ปัญหาในหลายพื้นที่ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ถือเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมายาวนาน ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจแก้ไขกันไป ไม่มีทางที่จะถูกใจทุกทุกคน ทุกพื้นที่ อย่าลืมว่า เรากำลังพูดถึงพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ในขณะที่มีอีกหลายสิบพื้นที่ที่มีปัญหาเหมือนบ้าง ต่างบ้าง ตรงกันข้ามบ้างในแง่ของไทยกับกัมพูชา ฉะนั้นวันหนึ่งจะต้องมาทำความเข้าใจว่า การแก้ไขปัญหาในภาพรวมเป็นอย่างไร เราจะมาหยิบเพียงกรณีใดกรณีหนึ่ง แล้วบอกว่า ต้องอย่างนั้นต้องอนย่างนี้ โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อพื้นที่อื่นคงไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าแดงและเหลืองจับมือไล่รัฐบาล จะอยู่อย่างไง นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลก็มา-ไป ตามระบบ ฉะนั้นเป็นเรื่องของสิทธิที่จะเคลื่อนไหวกัน เมื่อถามต่อว่า จะไหวหรือไม่โดนทั้งแดงและเหลืองถล่ม นายกฯ กล่าวว่า ก็โดนมาระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหา ขอให้การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเป็นไปตามระบบ ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา เมื่อถามต่อว่า เมื่อก่อนแตกแยกแต่ตอนนี้ยิ่งกว่าแตกแยก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะแต่ละกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองก็มีประเด็นของเขา และสามารถที่จะนำเสนอต่อสังคมได้ และสามารถแสดงความไม่พอใจได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็เป็นไปตามกติกา รัฐบาลมีจุดยืนอย่างนี้ และเราพร้อมชี้แจงในทุกเรื่อง
**ยันต้องดูแลช่วยเหลือ 7 คนไทยก่อน
“แต่วันนี้สิ่งที่ตนอยากเรียกร้องทุกฝ่ายคือ ภารกิจเบื้องต้นอันดับหนึ่ง คือ 7 คนของเราคนที่จะชอบหรือไม่ หรือไม่ชอบ 7 คนนี้จะอย่างไรก็ตามเขาคือคนไทย และตนคิดว่า ทั้ง 7 คนนี้จะมีความคิดความอ่านเป็นอย่างไรก็ตามในการที่จะไปรุกล้ำ เราก็ต้องดูแลช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อการช่วยเหลือเรียบร้อย ปัญหาที่ค้างคาใจกัน เราก็พูดกันได้ แต่ถ้าเราพยายามหยิบประเด็นขึ้นมากระทบกับ 7 คน เราต้องคำนึงถึงคนเหล่านี้ ส่วนเมื่อศาลไต่สวนแล้วจะมีการรุกล้ำหรือไม่ ตรงนี้ผมตอบไม่ได้ เรายืนยันได้แต่ข้อเท็จจริง และดูจากเหตุการณ์ เราก็เชื่อว่า ไม่มีเจตนา รวมทั้งเรื่องของการโจรกรรมข้อมูลทางทหารก็เชื่อว่า ไม่มีเจตนา” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า คิดว่า เกิดอะไรขึ้น ซึ่งก่อนหน้าพันธมิตรฯเป็นมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่วันนี้ดูเหมือนจะดูเหมือนว่า จะกลายเป็นศัตรูกัน นายกฯ กล่าวว่า ก็มีจุดยืนต่างกันมาระยะหนึ่งในเรื่องของการแก้ไขปัญหาชายแดน ไม่ได้มีอะไรใหม่ ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน คิดว่าเสียดายความจริงพูดกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็กล่าวหากันเกินจริง “ผมไม่มีผลประโยชน์อะไร”และการที่จะบอกว่า ความคิดใครถูกใครผิดก็ต้องว่ากันด้วยเหตุด้วยผล การตัดสินใจของรัฐบาลก็ต้องมีความรับผิดชอบ ตนยกตัวอย่างว่า ความเห็นตนคือ เลิกเอ็มโอยูเลย ซึ่งตนก็บอกว่า ถ้ายกเลิกเอ็มโอยูเลย การเสนอแผนพัฒนาพื้นที่กัมพูชาก็ทำได้ตามสบาย บอกให้ตนถอนตัวจากมรดกโลกเลย ก็แปลว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ก็เป็นไปตามที่กัมพูชาต้องการทั้งหมด ตนก็เห็นว่า ไม่อยากให้มันเป็นไปตามที่เป็นอย่างนั้น เพราะจะกระทบกระเทือนกับประเทศไทย ต้องแก้ด้วยวิธีอื่น เราก็ควรจะคุยกัน แต่ถ้าไปบอกว่า ใครเห็นไม่ตรงแปลว่า ขายชาติ อย่างนี้มันก็เข้าใจกันยาก
**กษิตยันนายกฯไม่ได้ต่อสายฮุนเซน
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า เท่าที่ทราบนายวีระ ยังไม่มีการเพิ่มข้อหา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เส่วนแนวทางในการขออภัยโทษจากกัมพูชานั้น ยังจะต้องรอศาลอยู่ ไม่เชื่อว่ายืดเยื้อนานเป็นเดือน ทุกอย่างได้พูดกับทางกัมพูชาไปหมดแล้ว ทั้งนี้ยังปฏิเสธกรณีข่าวเมื่อวันที่ 6 ม.ค. สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ว่า นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ติดต่อไปก่อนแล้ว
**“เทือก”ก็ไม่กลัวแดง-เหลืองล้มรัฐบาล
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า เราต้องปฏิบัติตามแนวทางกฎหมายกัมพูชาที่กำหนดเอาไว้ ในระหว่างนี้สิ่งที่เราทำได้คือไม่ไปพูดให้สัมภาษณ์หรือวิพากษ์วิจารณ์ที่อาจจะทำให้เป็นผลเสียหายต่อคนไทยทั้ง 7 คนที่กำลังต่อสู้คดี
ทั้งนี้ในส่วนของพล.อ.ปฐม เกษรศุกร์ ประธานองค์กรอุณาโลม ที่เรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพแสดงท่าที่ที่เข้มแข็งชัดเจนเพื่อให้ฝ่ายเขมรเกรงกลัวบ้าง นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคงไม่ฝากอไรไปถึงเขา ส่วนที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยรักใจรักชาติระบุว่าทางการกัมพูชาเข้ามาลักพาตัวคนไทยทั้ง 7 คน ถึงในพื้นที่ของไทย นายสุเทพ กล่าวว่า เราต้องระมัดระวังในการพูดจา เพราะคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล หากพูดอะไรออกไปจะไม่เป็นผลดี
ส่วรที่เสื้อแดงและเสื้อเหลืองจะนัดชุมนุมนั้น ก็ยังไม่กังวลใจอะไร ส่วนจะกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลหรือไม่ นายสุเทพ กล่าว่า ไม่หรอก
**เทพไทรายวัน รัฐบาลไม่คิดขายชาติ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปฏิเสธไม่ได้เอาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาเป็นประเด็นการเมือง เพราะพันธมิตรจะมีการชุมนุมในวันที่ 25 ม.ค.และถือว่าเป็นสิทธิ์แสดงออกทางการเมือง อยากให้นายจตุพรไปดูว่ารัฐบาลชุดไหนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเซ็นสัญญายกดินแดนให้ประเทศกัมพูชาจนต้องออกจากตำแหน่ง และอยากถามว่านายจตุพรเป็นคนประเทศไหน เพราะรัฐบาลไม่ได้กระหายสงครามและตราบใดต้องการให้คนอื่นเคารพในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เราก็ต้องเคารพคนอื่นด้วย รวมถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆด้วย
**“ปชป.อัดเผาไทยใจร้าย-ไม่มีกาลเทศะ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีบางกลุ่มพยายามใช้ประเด็นเรื่อง 7 คนไทยที่ถูกจับกุมตัวข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ว่า ขอเรียกร้องให้ยุติการกระทำที่อาจจะเป็นการซ้ำเติมชะตากรรมของคนไทยที่ถูกจับตัวไป เช่น การประกาศไม่ขอรับการอภัยโทษ เรียกร้องให้มีการพิสูจน์สิทธิ์ที่ดิน และให้องค์กรนานาชาติเข้ามาดำเนินการเรื่องคนไทยทั้ง 7 คนแทนกระบวนการยุติธรรมของประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. ที่ได้นำคลิปวีดีโอออกมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำไมนายจตุพรถึงได้ใจร้ายกับคนไทยทั้ง 7 คน รวมทั้งที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรมว.การต่างประเทศ ระบุว่าผ่านทวิสเตอร์ว่าโจทย์ต้องขอบคุณจำเลยที่บันทึกภาพวีดีโอไว้ทำให้เป็นประโยชน์ต่อคดี ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคนที่เคยเป็นอดีตรมว.การต่างประเทศเป็นคนไม่มีกาลเทศะ
**“ชวนนท์”ย้ำขั้นสุดท้ายขออภัยโทษ
นายชวนนท์ อินทรโกมารสุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงการประกันตัวกลุ่มคนไทยว่า ศาลกัมพูชายังไม่ได้นัดพิจารณาคดี 7 คนไทย ต้องดูตามสถานการณ์ว่าศาลจะนัดพิจารณาคดีในวันจันทร์ที่ 10 มกราคมนี้เลยหรือไม่ และศาลจะเปิดช่องให้ยื่นประกันตัวได้หรือไม่ เนื่องจากหากมีการยื่นประกันตัวตามกฎหมายกัมพูชา ศาลต้องใช้เวลาพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่อีก 5 วัน หรือวันศุกร์ที่ 14 มกราคม จึงจะได้คำตอบ และการแจ้งข้อหาระบบศาลกัมพูชาก็ไม่สามารถทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษนั้นเป็นเรื่องของกัมพูชา ญาติผู้ต้องขัง และผู้ต้องขังเป็นผู้ยื่น โดยรัฐบาลไม่สามารถไปขอพระราชทานอภัยโทษได้ ทั้งนี้ การอภัยโทษต้องให้คดีถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนของศาลกัมพูชาเมื่อวาน เป็นการไต่สวนลับซึ่งทั้ง 7 คนยืนยันว่าได้เข้าไปในพื้นที่โดยไม่มีเจตนา เพียงแต่เข้าไปดูพื้นที่ตามที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน
นายชวนนท์ กล่าวว่า การไต่สวนนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. ใช้เวลาไต่สวนค่อนข้างนาน และเป็นคนแรกที่ถูกไต่สวน อีกทั้งนายพนิชมีสถานะเป็น ส.ส.ของไทย แต่ยังไม่ได้รับรายงานว่าผลการไต่สวนนายพนิชเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ การตั้งข้อหาเพิ่มคงไม่มี ชัดเจนว่ามี 2 ข้อหา
**ไทยหัวใจรักชาติตั้งทีม กม.ช่วยวีระ
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ แถลงว่า มีมติตั้งทีมที่ปรึกษาทนายความช่วยเหลือ 7 คนไทยในกัมพูชา พร้อมเร่งรัดให้ ก.ต่างประเทศ ออกวีซ่าให้ หากเพิกเฉยจะมีการยกระดับในการกดดัน
โดยนายการุณ ใสงาม และ นายณัฐพร โตประยูร เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ทนายความของ นายวีระ สมความคิด 1 ใน 7 คนไทยที่ถูกจับกุม โดยในแถลงการณ์ให้เหตุผลว่า เนื่องจากนายวีระเป็นผู้ขอมา และนายวีระก็เป็นหนึ่งในกรรมการที่รับใช้ทำงานให้เครือข่ายฯ ส่วนอีก 6 คน ถ้ามีความประสงค์ต้องการ ทางเครือข่ายฯ ก็ไม่ขัดข้อง.
วานนี้ (7 ม.ค.) สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่องประชาชนคิดอย่างไรต่อ 7 คนไทยถูกจับที่ประเทศกัมพูชาพบว่า ร้อยละ 94.9 ทราบข่าวคนไทย 7 คนถูกจับ ร้อยละ58.1ไม่ทราบเหตุผลแน่ชัด 7 คนไทย ไปทำอะไรที่ชายแดน ร้อยละ 73.4 ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นพิสูจน์ความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาระหว่างประเทศ ร้อยละ 45.9 เห็นว่า ทางออกของเรื่องนี้ต้องให้ผู้นำประเทศทั้งสอง ร่วมกันแก้ปัญหา
**แนะครอบครัว“พนิช”ขอแรงแม้ว
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วรู้จักนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ดี เพราะเคยเรียนวิทยาการตลาดทุนด้วยกันและเห็นว่านายพนิชเป็นคนที่ฉลาด ไม่น่าที่จะทำพลาดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เชื่อได้ว่าจะต้องทำตามคำสั่งจากใครมาอย่างแน่นอน
ตนเป็นห่วงและสงสารนายพนิช เพราะคงจะทรมานมาก เนื่องจากนายพนิชเป็นคนที่รักและเป็นห่วงครอบครัว ไปไหนก็จะพกรูปครอบครัวกับตัวเสมอ จึงอยากจะแนะนำให้ครอบครัวนายพนิชออกมาขอร้องอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักาณ ชินวัตร ให้เข้ามาช่วยเหลือ ในการติดต่อกับผู้นำเขมร เพื่อนำตัวนายพนิชกลับมา โดยยืนยันว่าก่อนที่ตนจะออกมาพูดเช่นนี้ ไม่ได้สอบถาม พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด แต่ด้วยความที่รู้จักกันทำให้เชื่อว่าหากครอบครัวนายพนิชออกมาร้องขอให้ช่วย ด้วยความที่ท่านเป็นคนใจดีและยินดีที่จะอภัยให้กับทุกคน แม้กระทั่งคนที่เคยทำร้ายตัวเอง และจะเป็นการแสดงความจริงใจที่อยากปรองดอง เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะช่วยประสานงานเพื่อช่วยเหลือนายพนิชอย่างแน่นอน แม้แต่นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย ที่เคยให้ข้อมูลซึ่งจะนำไปสู่การทำร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังให้อภัยและช่วยเหลือมาแล้ว
“ผมออกมาแนะนำก็ในฐานะเพื่อน ไม่อยากให้มองเป็นการเมือง ผมอยากให้นายพนิชได้กลับบ้านโดยเร็ว เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เกรงว่านายพนิชอาจจะต้องอยู่ในคุกเขมรอีกนาน และผมอยากให้เรื่องนี้จบโดยเร็ว ไม่อยากให้เป็นปัญหาขัดขวางความร่วมมือของสองประเทศในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันในอนาคต” นายพิชัยกล่าว
**บิ๊กตู่โผล่ บอกทหารไม่กลัว
ที่กรมแพทย์ทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ไม่อยากให้มองว่า สองประเทศมีความหวาดระแวงซึ่งกันและกัน เราต้องอยู่ด้วยความเข้าใจกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไว้วางใจกัน เพราะฉะนั้น จะทำอย่างไรให้ 7 คนไทยปลอดภัย และกลับมาหาครอบครัวดีที่สุด ถ้าเราโทษกันไปกันมา ผิดหรือไม่ผิด ใช่หรือไม่ใช่ จะอันตรายกับคนของเรามากกว่า เราต้องให้เกียรติประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเขามีกฎหมาย ก็เหมือนเรา ที่ใครเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ก็จับกุม ดำเนินคดี ตอนนี้ขอให้เป็นเรื่องของศาลพิจารณา ทำอย่างไรให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน ลดทิฐิ ซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้ ขอให้กำลังใจผู้ถูกจับ 7 คนว่า รัฐบาล กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบกดูแลท่านมาตลอด ตั้งแต่ถูกจับนาทีแรก มีการพูดคุยเจรจาปล่อยตัว ซึ่งมันเกินขั้นตอน เพราะเขานำตัวเข้าไปข้างในแล้ว อันนี้คือปัญหา ถ้าจะถามว่าความสัมพันธ์สองประเทศดีขึ้นน่าจะช่วยได้นั้น ก็จริงอยู่ แต่ต้องเข้าใจว่า ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของเขาอยู่ไกล คือกรุงพนมเปญ เมื่อมีการนำตัวเข้าไปข้างในแล้วจึงลำบาก อยู่ที่ระยะเวลาดำเนินการ ถ้าทันก็ไม่มีปัญหา ฝ่ายไทยไม่ค่อยมีปัญหาเพราะติดต่อประสานงานกันเร็ว ทั้งนี้ อยากให้กำลังใจครอบครัว 7 คนไทย เป็นห่วงเป็นใยตั้งแต่วินาทีแรกที่ถูกจับ เป็นความรับผิดชอบของพวกเราอยู่แล้ว
“กลุ่มที่จะออกมาเคลื่อนไหวถือเป็นสิทธิ ใครอยากแสดงออกก็ได้ ทุกคนก็รักประชาธิปไตย แต่ก็เตือนว่า ถ้าทำแล้วไม่ดี ก็ถูกมองจากสังคมโลก คนที่จะนำความเคลื่อนไหว หรือเดินขบวนก็ต้องมีเหตุ มีผล ซึ่งไมได้หมายความว่าท่านผิดหรือถูก แต่ต้องพิสูจน์ในชั้นศาล ในคณะกรรมการปักปันเขตแดน แต่ถ้ามา เบลมว่า ทหารไปกลัวคนโน่น คนนี่ ขอเรียนว่าทหารไปกลัวไม่ได้ ถ้าเป็นทหารแล้วกลัวก็ไม่ต้องเป็น ไม่มีใครบังคับท่านมาเป็นทหาร ท่านเลือกมาเป็นเอง เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว เพาะฉะนั้นหน้าที่ทหารคือพิทักษ์ ปกป้อง แต่จะพิทักษ์อย่างไร ถ้าพื้นที่ชัดเจน มีอาณาเขตชัดเจน และมีกำลังพลบุกเข้ามา ก็ต้องปะทะกัน ยิงกัน ถ้าไม่ชัดเจน เอาสนธิสัญญาฯ เอากฎหมายมาว่ากัน ที่ผ่ามา ที่ชัดเจน เราจับผู้ลักลอบเข้ามาตั้งกี่หมื่นคน ติดคุกจนเลี้ยงไม่ไหว ไม่เช่นนั้นประเทศไทยไม่อยู่มาถึงตรงนี้ ถ้ามีคนไม่รักชาติ มีคนที่ไปรักคนอื่นมากกว่า เพื่อหวังประโยชน์ โยงกันไปโยงกันมา ปวดหัวตาย วุ่น วุ่น วุ่นวาย จากนี้ไปโน่น ไปเขาพระวิหาร ไปทะเล โอ้ว ..ไม่ไหว เหนื่อย ให้เข้าใจว่าทหารทำหน้าที่อยู่แล้ว ถ้าท่านพูดถึงเขาไม่ดี เขาอยู่ชายแดน 7 กองกำลัง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ก็เบื่อ ก็หมดสภาพ ไม่รู้ทำไปทำไม ที่ผ่านมาถามว่ามีใครมายึดประเทศไทยได้หรือยัง มีใครประกาศว่าตรงนี้ชัดเจนว่าเป็นของเขา แล้วจะเอาอะไรมายึด ไม่ว่าตรงไหนทุกอาณาเขตของประเทศไทย ใครเอากำลังทหารถืออาวุธมายึด คงไม่ได้ เพราะนโยบายชัดเจน ประเทศไทยเป็นรัฐเดียวแบ่งแยกมิได้ ทหารมีไว้เพื่อปกป้องแต่ต้องปกป้องในกฎหมายและ รัฐธรรมนูญกำหนด แต่ก็มีกฎอื่นประกอบ แต่ดีที่สุด อย่ารบกันเลย”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
**”มาร์คไม่ยอมให้คำตัดสินกระทบอธิปไตย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวทางการประกันตัว และการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น ตนเห็นว่า ขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นของการไต่สวน ยังไม่ไปไกลถึงเรื่องอื่น
ส่วนที่นักวิชาการออกมาตีความกฎหมายระหว่างประเทศโดยกังวลว่า คำตัดสินของศาลกัมพูชาจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มี และตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่า คำตัดสินเขียนว่าอะไร แต่อย่างไรก็ตามคำตัดสินย่อมผูกพันเฉพาะคู่ความ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคล หากมีประเด็นอื่นๆ มาก็ต้องมาว่ากันอีกที ส่วนจะถูกนำมาเป็นข้ออ้างของทางกัมพูชาหรือไม่ คงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อไป ต่างคนต่างไปจับคนมาขึ้นศาล ตัดสินเสร็จแล้วอ้างว่า อีกฝ่ายยอมรับ ตรงนี้เป็นไปไม่ได้ เราไม่ให้เกิดสภาพอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่หากคำพิพากษาส่วนไหนกระทบต่ออธิปไตยของประเทศไทย ก็ค่อยว่ากัน ขอให้เราเห็นก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้เพิ่งเป็นเรื่องของการไต่สวน
นายอภิสิทิธิ์ กล่าวว่า พยายามจะไม่ให้คดียืดเยื้อ เพราะกำลังประสานงานอยู่ อยากเรียนว่า ทุกครั้งที่ใครก็ตามแสดงความคิดเห็น มันมีผลทั้งสิ้น ฉะนั้นอยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการให้ความคิดเห็นต่างๆ
**ลั่นไม่มีผลประโยชน์ ไม่มีฮั้ว
ขณะที่การขยายผลเป็นประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ อย่างกรณีของนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย มีการนำคลิปมาเปิดแล้วกล่าวหาว่า นายกฯรู้เห็นเป็นใจในเรื่องนี้ กระทั้งทำให้เกิดผลกระทบระหว่างประเทศนั้น นายอภิสิทธ์ กล่าวว่า ตนเรียนแล้วว่า ได้มอบหมายให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ไปดูปัญหาของประชาชน และก็เห็นอีกฝ่ายหนึ่งมาต่อว่า รัฐบาลไม่นำพา ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ ปัญหาของประชาชน นี้คือรูปธรรมว่า เราพยายามจะแก้ไขปัญหา บังเอิญเกิดเหตุซึ่งไม่ควรจะเกิด ก็ต้องแก้ไขปัญหาตรงนี้ก่อน แต่ทั้งหมดเป็นเพราะว่า มีเรื่องร้องเรียน และเราพยายามที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่า อะไรเป็นอะไร เช่นตอนนี้ไปเอาเรื่องของ น.ส.3 ไปปะปนกับเรื่องการจับกุม ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่อง น.ส.3 ตนก็ให้รายงานมาอยู่ที่ไหนอย่างไร ก็ไม่ได้มีปัญหา และตามแผนที่ที่รายงานมาก็อยู่ฝั่งไทย แต่ผู้ที่ถูกจับกุมไม่ได้ถูกจับกุมในพื้นที่ที่เป็น น.ส.3 ฉะนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งได้ว่าไปตามข้อเท็จจริงของแต่ละเรื่อง
ส่วนการร้องเรียนที่ดินชาวบ้านที่มาจากกลุ่มสันติอโศก นายกฯ กล่าวว่า นายพนิชเป็นผู้ประสานงาน และยอมรับว่า กลุ่มพันธมิตรฯและกลุ่มสันติอโศก ได้แสดงความห่วงใยปัญหาที่ราษฎรมีเอกสารสิทธิ เสียภาษี แต่ไม่สามารถไปทำกินได้ และอ้างว่า ตรงนี้เป็นปัญหาที่จะต้องได้รับการแก้ไข และตนก็ถือว่า เมื่อเป็นประเด็นที่ร้องเรียนมาก็อยากจะทำความเข้าใจว่า เป็นอย่างไร นายพนิชก็อาสาตัวในฐานะส.ส.เข้าไปดูพื้นที่ แต่เมื่อเกิดเหตุไม่ควรจะเกิด เราก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้
ทั้งนี้กังวลหรือไม่ว่าพันธมิตรฯจะดึงเรื่องนี้มาเป็นเกมกดดันรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า เดิมเขานัดชุมนุมอยู่แล้วเรื่องกัมพูชา แต่ตนคิดว่า การให้ข้อมูลอยากให้มีการเสนอข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน เพราะยังมีความสับสน เอาหลายๆ เรื่องมาปะปนกัน แม้กระทั้งเรื่องเอ็มโอยูก็เป็นเรื่องเดียวกันที่ว่า ปัญหาเกี่ยวเนื่องมากจากเอ็มโอยู ซึ่งความจริงไม่ใช่ แต่ปัญหาตรงนี้เป็นเรื่องของหลักเขตแดน และเป็นปัญหาตกค้างมาจากช่วงที่มีการสู้รบในกัมพูชา และตัวเอ็มโอยู เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถรักษาสิทธิได้ เพราะการที่กัมพูชาเข้ามาอยู่ถึงวันนี้ประมาณ 30 ปี แต่เอ็มโอยูยังช่วยยืนยันว่า ทั้งไทยและกัมพูชาตกลงกันว่า ไม่ได้หมายความว่า ใครมาอยู่ตรงไหนก็แปลว่า เป็นแผนดินของคนนั้น เพราะตัวหลักเขตที่ปรากฏในปัจจุบันมีการโต้แย้งกันอยู่ว่า ควรจะขยับไปทางไหนอย่างไร และเขาก็มีการเดินสำรวจกันเมื่อปี 49 และปี 50
ส่วนความชัดเจนในการรุกล้ำหรือไม่รุกล้ำเขตแดนของ 7 คนไทยนั้น นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายต่างๆ ได้ไปทำพิกัด ซึ่งเวลานี้ใกล้เคียงกันแล้ว เมื่อถามว่า จากการที่ทนายรายงานมา การต่อสู้เห็นในทิศทางในแง่บวกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์ ในส่วนของคดี
**ไม่หวั่นแดง-เหลืองจับมือไล่
เมื่อถามว่า ขณะที่พันธมิตรฯเคลื่อนไหว ทางนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาบอกว่า รัฐบาลร่วมมือกับพันธมิตรฯ จัดฉากขึ้นมาเพื่อให้มีการชุมนุม หันซ้ายก็แดง หันขวาก็เหลือง รัฐบาลจะด่ำเนินการอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า รัฐบาลก็อยู่ตรงกลาง เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการดูแลประชาชน และประเทศ สิ่งที่รัฐบาลทำเมื่อประชาชนมีความเดือดร้อนในพื้นที่ก็พยายามเข้าไปดูแลแก้ไข ขณะเดียวกันต้องระมัดระวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเดินได้ โดยสิทธิของประเทศไทย และคนไทยไม่ได้รับผลกระทบ ปัญหาในหลายพื้นที่ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ถือเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมายาวนาน ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจแก้ไขกันไป ไม่มีทางที่จะถูกใจทุกทุกคน ทุกพื้นที่ อย่าลืมว่า เรากำลังพูดถึงพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ในขณะที่มีอีกหลายสิบพื้นที่ที่มีปัญหาเหมือนบ้าง ต่างบ้าง ตรงกันข้ามบ้างในแง่ของไทยกับกัมพูชา ฉะนั้นวันหนึ่งจะต้องมาทำความเข้าใจว่า การแก้ไขปัญหาในภาพรวมเป็นอย่างไร เราจะมาหยิบเพียงกรณีใดกรณีหนึ่ง แล้วบอกว่า ต้องอย่างนั้นต้องอนย่างนี้ โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อพื้นที่อื่นคงไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าแดงและเหลืองจับมือไล่รัฐบาล จะอยู่อย่างไง นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลก็มา-ไป ตามระบบ ฉะนั้นเป็นเรื่องของสิทธิที่จะเคลื่อนไหวกัน เมื่อถามต่อว่า จะไหวหรือไม่โดนทั้งแดงและเหลืองถล่ม นายกฯ กล่าวว่า ก็โดนมาระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหา ขอให้การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเป็นไปตามระบบ ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา เมื่อถามต่อว่า เมื่อก่อนแตกแยกแต่ตอนนี้ยิ่งกว่าแตกแยก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะแต่ละกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองก็มีประเด็นของเขา และสามารถที่จะนำเสนอต่อสังคมได้ และสามารถแสดงความไม่พอใจได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็เป็นไปตามกติกา รัฐบาลมีจุดยืนอย่างนี้ และเราพร้อมชี้แจงในทุกเรื่อง
**ยันต้องดูแลช่วยเหลือ 7 คนไทยก่อน
“แต่วันนี้สิ่งที่ตนอยากเรียกร้องทุกฝ่ายคือ ภารกิจเบื้องต้นอันดับหนึ่ง คือ 7 คนของเราคนที่จะชอบหรือไม่ หรือไม่ชอบ 7 คนนี้จะอย่างไรก็ตามเขาคือคนไทย และตนคิดว่า ทั้ง 7 คนนี้จะมีความคิดความอ่านเป็นอย่างไรก็ตามในการที่จะไปรุกล้ำ เราก็ต้องดูแลช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อการช่วยเหลือเรียบร้อย ปัญหาที่ค้างคาใจกัน เราก็พูดกันได้ แต่ถ้าเราพยายามหยิบประเด็นขึ้นมากระทบกับ 7 คน เราต้องคำนึงถึงคนเหล่านี้ ส่วนเมื่อศาลไต่สวนแล้วจะมีการรุกล้ำหรือไม่ ตรงนี้ผมตอบไม่ได้ เรายืนยันได้แต่ข้อเท็จจริง และดูจากเหตุการณ์ เราก็เชื่อว่า ไม่มีเจตนา รวมทั้งเรื่องของการโจรกรรมข้อมูลทางทหารก็เชื่อว่า ไม่มีเจตนา” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า คิดว่า เกิดอะไรขึ้น ซึ่งก่อนหน้าพันธมิตรฯเป็นมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่วันนี้ดูเหมือนจะดูเหมือนว่า จะกลายเป็นศัตรูกัน นายกฯ กล่าวว่า ก็มีจุดยืนต่างกันมาระยะหนึ่งในเรื่องของการแก้ไขปัญหาชายแดน ไม่ได้มีอะไรใหม่ ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน คิดว่าเสียดายความจริงพูดกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็กล่าวหากันเกินจริง “ผมไม่มีผลประโยชน์อะไร”และการที่จะบอกว่า ความคิดใครถูกใครผิดก็ต้องว่ากันด้วยเหตุด้วยผล การตัดสินใจของรัฐบาลก็ต้องมีความรับผิดชอบ ตนยกตัวอย่างว่า ความเห็นตนคือ เลิกเอ็มโอยูเลย ซึ่งตนก็บอกว่า ถ้ายกเลิกเอ็มโอยูเลย การเสนอแผนพัฒนาพื้นที่กัมพูชาก็ทำได้ตามสบาย บอกให้ตนถอนตัวจากมรดกโลกเลย ก็แปลว่า ในเดือนมิถุนายนนี้ก็เป็นไปตามที่กัมพูชาต้องการทั้งหมด ตนก็เห็นว่า ไม่อยากให้มันเป็นไปตามที่เป็นอย่างนั้น เพราะจะกระทบกระเทือนกับประเทศไทย ต้องแก้ด้วยวิธีอื่น เราก็ควรจะคุยกัน แต่ถ้าไปบอกว่า ใครเห็นไม่ตรงแปลว่า ขายชาติ อย่างนี้มันก็เข้าใจกันยาก
**กษิตยันนายกฯไม่ได้ต่อสายฮุนเซน
นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่า เท่าที่ทราบนายวีระ ยังไม่มีการเพิ่มข้อหา ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เส่วนแนวทางในการขออภัยโทษจากกัมพูชานั้น ยังจะต้องรอศาลอยู่ ไม่เชื่อว่ายืดเยื้อนานเป็นเดือน ทุกอย่างได้พูดกับทางกัมพูชาไปหมดแล้ว ทั้งนี้ยังปฏิเสธกรณีข่าวเมื่อวันที่ 6 ม.ค. สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์ว่า นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ติดต่อไปก่อนแล้ว
**“เทือก”ก็ไม่กลัวแดง-เหลืองล้มรัฐบาล
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า เราต้องปฏิบัติตามแนวทางกฎหมายกัมพูชาที่กำหนดเอาไว้ ในระหว่างนี้สิ่งที่เราทำได้คือไม่ไปพูดให้สัมภาษณ์หรือวิพากษ์วิจารณ์ที่อาจจะทำให้เป็นผลเสียหายต่อคนไทยทั้ง 7 คนที่กำลังต่อสู้คดี
ทั้งนี้ในส่วนของพล.อ.ปฐม เกษรศุกร์ ประธานองค์กรอุณาโลม ที่เรียกร้องให้รัฐบาลและกองทัพแสดงท่าที่ที่เข้มแข็งชัดเจนเพื่อให้ฝ่ายเขมรเกรงกลัวบ้าง นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคงไม่ฝากอไรไปถึงเขา ส่วนที่ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยรักใจรักชาติระบุว่าทางการกัมพูชาเข้ามาลักพาตัวคนไทยทั้ง 7 คน ถึงในพื้นที่ของไทย นายสุเทพ กล่าวว่า เราต้องระมัดระวังในการพูดจา เพราะคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล หากพูดอะไรออกไปจะไม่เป็นผลดี
ส่วรที่เสื้อแดงและเสื้อเหลืองจะนัดชุมนุมนั้น ก็ยังไม่กังวลใจอะไร ส่วนจะกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลหรือไม่ นายสุเทพ กล่าว่า ไม่หรอก
**เทพไทรายวัน รัฐบาลไม่คิดขายชาติ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปฏิเสธไม่ได้เอาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาเป็นประเด็นการเมือง เพราะพันธมิตรจะมีการชุมนุมในวันที่ 25 ม.ค.และถือว่าเป็นสิทธิ์แสดงออกทางการเมือง อยากให้นายจตุพรไปดูว่ารัฐบาลชุดไหนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเซ็นสัญญายกดินแดนให้ประเทศกัมพูชาจนต้องออกจากตำแหน่ง และอยากถามว่านายจตุพรเป็นคนประเทศไหน เพราะรัฐบาลไม่ได้กระหายสงครามและตราบใดต้องการให้คนอื่นเคารพในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย เราก็ต้องเคารพคนอื่นด้วย รวมถึงการเคลื่อนไหวชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆด้วย
**“ปชป.อัดเผาไทยใจร้าย-ไม่มีกาลเทศะ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่มีบางกลุ่มพยายามใช้ประเด็นเรื่อง 7 คนไทยที่ถูกจับกุมตัวข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ว่า ขอเรียกร้องให้ยุติการกระทำที่อาจจะเป็นการซ้ำเติมชะตากรรมของคนไทยที่ถูกจับตัวไป เช่น การประกาศไม่ขอรับการอภัยโทษ เรียกร้องให้มีการพิสูจน์สิทธิ์ที่ดิน และให้องค์กรนานาชาติเข้ามาดำเนินการเรื่องคนไทยทั้ง 7 คนแทนกระบวนการยุติธรรมของประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. ที่ได้นำคลิปวีดีโอออกมาเผยแพร่ต่อสื่อมวลชน ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำไมนายจตุพรถึงได้ใจร้ายกับคนไทยทั้ง 7 คน รวมทั้งที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายส่วนตัวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่เคยเป็นอดีตรมว.การต่างประเทศ ระบุว่าผ่านทวิสเตอร์ว่าโจทย์ต้องขอบคุณจำเลยที่บันทึกภาพวีดีโอไว้ทำให้เป็นประโยชน์ต่อคดี ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าคนที่เคยเป็นอดีตรมว.การต่างประเทศเป็นคนไม่มีกาลเทศะ
**“ชวนนท์”ย้ำขั้นสุดท้ายขออภัยโทษ
นายชวนนท์ อินทรโกมารสุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยถึงการประกันตัวกลุ่มคนไทยว่า ศาลกัมพูชายังไม่ได้นัดพิจารณาคดี 7 คนไทย ต้องดูตามสถานการณ์ว่าศาลจะนัดพิจารณาคดีในวันจันทร์ที่ 10 มกราคมนี้เลยหรือไม่ และศาลจะเปิดช่องให้ยื่นประกันตัวได้หรือไม่ เนื่องจากหากมีการยื่นประกันตัวตามกฎหมายกัมพูชา ศาลต้องใช้เวลาพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ประกันตัวหรือไม่อีก 5 วัน หรือวันศุกร์ที่ 14 มกราคม จึงจะได้คำตอบ และการแจ้งข้อหาระบบศาลกัมพูชาก็ไม่สามารถทำได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ส่วนการขอพระราชทานอภัยโทษนั้นเป็นเรื่องของกัมพูชา ญาติผู้ต้องขัง และผู้ต้องขังเป็นผู้ยื่น โดยรัฐบาลไม่สามารถไปขอพระราชทานอภัยโทษได้ ทั้งนี้ การอภัยโทษต้องให้คดีถึงที่สุด อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนของศาลกัมพูชาเมื่อวาน เป็นการไต่สวนลับซึ่งทั้ง 7 คนยืนยันว่าได้เข้าไปในพื้นที่โดยไม่มีเจตนา เพียงแต่เข้าไปดูพื้นที่ตามที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน
นายชวนนท์ กล่าวว่า การไต่สวนนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. ใช้เวลาไต่สวนค่อนข้างนาน และเป็นคนแรกที่ถูกไต่สวน อีกทั้งนายพนิชมีสถานะเป็น ส.ส.ของไทย แต่ยังไม่ได้รับรายงานว่าผลการไต่สวนนายพนิชเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ การตั้งข้อหาเพิ่มคงไม่มี ชัดเจนว่ามี 2 ข้อหา
**ไทยหัวใจรักชาติตั้งทีม กม.ช่วยวีระ
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ แถลงว่า มีมติตั้งทีมที่ปรึกษาทนายความช่วยเหลือ 7 คนไทยในกัมพูชา พร้อมเร่งรัดให้ ก.ต่างประเทศ ออกวีซ่าให้ หากเพิกเฉยจะมีการยกระดับในการกดดัน
โดยนายการุณ ใสงาม และ นายณัฐพร โตประยูร เป็นที่ปรึกษากฎหมายให้ทนายความของ นายวีระ สมความคิด 1 ใน 7 คนไทยที่ถูกจับกุม โดยในแถลงการณ์ให้เหตุผลว่า เนื่องจากนายวีระเป็นผู้ขอมา และนายวีระก็เป็นหนึ่งในกรรมการที่รับใช้ทำงานให้เครือข่ายฯ ส่วนอีก 6 คน ถ้ามีความประสงค์ต้องการ ทางเครือข่ายฯ ก็ไม่ขัดข้อง.