“มาร์ค” ลั่นไม่ยอมให้คำตัดสินกรณี 7 คนไทยกระทบอธิปไตยไทย ชี้คำตัดสินของศาลผูกพันเฉพาะตัวบุคคล ยันรัฐบาลใส่ใจแก้ปัญหา แต่เพราะเป็นเรื่องที่บังเอิญเกิดเหตุที่ไม่ควรจะเกิด ยันไม่มีผลประโยชน์ ไม่หวั่นแดง-เหลืองจับมือไล่รัฐบาล ขอร้องช่วยคนไทยทั้ง 7 ก่อน ส่วนเรื่องค้างคาใจค่อยว่ากัน เชื่อคนเหล่านี้ไม่มีเจตนารุกล้ำ-โจรกรรมข้อมูลทางทหาร ชี้หากความเห็นไม่ตรงอย่าคิดว่าขายชาติ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (7 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือ 7 คนไทยที่ถูกทหารจับกุมในข้อหารุกล้ำดินแดน ภายหลังศาลกัมพูชาไต่สวนเรียบร้อยแล้วว่า ขณะนี้ได้พยายามอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแม้วันศุกร์ที่ 7 ม.ค.จะเป็นวันหยุดของกัมพูชา สำหรับแนวทางการประกันตัว และการขอพระราชทานอภัยโทษนั้น ตนเห็นว่าขณะนี้คดียังอยู่ในชั้นของการไต่สวนที่เพิ่งแล้วเสร็จ ยังไม่ไปไกลถึงเรื่องอื่น
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นักวิชาการออกมาตีความกฎหมายระหว่างประเทศที่กังวลว่าคำตัดสินของศาลกัมพูชาจะส่งผลกระทบต่อปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มี และตอนนี้ก็ยังไม่ทราบว่าคำตัดสินเขียนว่าอะไร แต่อย่างไรก็ตาม คำตัดสินย่อมผูกพันเฉพาะคู่ความซึ่งเป็นเรื่องของตัวบุคคล หากมีประเด็นอื่นๆ มาก็ต้องมาว่ากันอีกที เมื่อถามว่าจะถูกนำมาเป็นข้ออ้างของทางกัมพูชาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปต่างคนต่างไปจับคนมาขึ้นศาล ตัดสินเสร็จแล้วอ้างว่าอีกฝ่ายยอมรับ ตรงนี้เป็นไปไม่ได้ เราไม่ให้เกิดสภาพอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่หากคำพิพากษาส่วนไหนกระทบต่ออธิปไตยของประเทศไทยก็ค่อยว่ากัน ขอให้เราเห็นก่อนว่าเป็นอย่างไร เพราะขณะนี้เพิ่งเป็นเรื่องของการไต่สวน
เมื่อถามว่าคิดว่าจะยืดเยื้อหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราพยายามจะไม่ให้ยืดเยื้อกำลังประสานงานอยู่ เมื่อถามต่อว่า แนวทางที่ออกมามีความคาดหวังมากแค่ไหน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอให้ทางเจ้าหน้าที่เขาทำงาน อยากเรียนว่าทุกครั้งที่ใครก็ตามแสดงความคิดเห็น มันมีผลทั้งสิ้น ฉะนั้นอยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังการให้ความคิดเห็นต่างๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ตอนนี้มีการนำมาขยายผลเป็นประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ อย่างกรณีของนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย มีการนำคลิปมาเปิดแล้วกล่าวหาว่านายกฯ รู้เห็นเป็นใจในเรื่องนี้ กระทั่งทำให้เกิดผลกระทบระหว่างประเทศ ตนเรียนแล้วว่าได้มอบหมายให้นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ไปดูปัญหาของประชาชน และก็เห็นอีกฝ่ายหนึ่งมาต่อว่ารัฐบาลไม่นำพา ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจปัญหาของประชาชน นี่คือรูปธรรมว่าเราพยายามจะแก้ไขปัญหา บังเอิญเกิดเหตุซึ่งไม่ควรจะเกิด ก็ต้องแก้ไขปัญหาตรงนี้ก่อน แต่ทั้งหมดเป็นเพราะว่ามีเรื่องร้องเรียน และเราพยายามที่จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่าอะไรเป็นอะไร เช่นตอนนี้ไปเอาเรื่องของ น.ส.3 ไปปะปนกับเรื่องการจับกุม ซึ่งจริงๆ แล้วเรื่อง น.ส.3 ตนก็ให้รายงานมาอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ไม่ได้มีปัญหา และตามแผนที่ที่รายงานมาก็อยู่ฝั่งไทย แต่ผู้ที่ถูกจับกุมไม่ได้ถูกจับกุมในพื้นที่ที่เป็น น.ส.3 ก. ฉะนั้นไม่เกี่ยวข้องกัน ซึ่งได้ว่าไปตามข้อเท็จจริงของแต่ละเรื่อง
เมื่อถามว่า การร้องเรียนมาจากกรณีสันติอโศก นายกฯ กล่าวว่า นายพนิชเป็นผู้ประสานงาน และยอมรับว่ากลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มสันติอโศกได้แสดงความห่วงใยปัญหาที่ราษฎรมีเอกสารสิทธิ เสียภาษี แต่ไม่สามารถไปทำกินได้ และอ้างว่าตรงนี้เป็นปัญหาที่จะต้องได้รับการแก้ไข และตนก็ถือว่าเมื่อเป็นประเด็นที่ร้องเรียนมาก็อยากจะทำความเข้าใจว่าเป็นอย่างไร นายพนิชก็อาสาตัวในฐานะ ส.ส.เข้าไปดูพื้นที่ แต่เมื่อเกิดเหตุไม่ควรจะเกิด เราก็ต้องแก้ปัญหาตรงนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กังวลหรือไม่ว่าพันธมิตรฯ จะดึงเรื่องนี้มาเป็นเกมรัฐบาล นายกฯ กล่าวว่า เดิมเขานัดชุมนุมอยู่แล้วเรื่องกัมพูชา แต่ตนคิดว่าการให้ข้อมูลอยากให้มีการเสนอข้อมูลครบถ้วนรอบด้าน เพราะยังมีความสับสน เอาหลายๆ เรื่องมาปะปนกัน แม้กระทั้งเรื่องเอ็มโอยูก็เป็นเรื่องเดียวกันที่ว่าปัญหาเกี่ยวเนื่องมากจากเอ็มโอยู ซึ่งความจริงไม่ใช่ แต่ปัญหาตรงนี้เป็นเรื่องของหลักเขตแดน และเป็นปัญหาตกค้างมาจากช่วงที่มีการสู้รบในกัมพูชา และตัวเอ็มโอยู เป็นตัวที่ทำให้เราสามารถรักษาสิทธิได้ เพราะการที่กัมพูชาเข้ามาอยู่ถึงวันนี้ประมาณ 30 ปี แต่เอ็มโอยูยังช่วยยืนยันว่า ทั้งไทยและกัมพูชาตกลงกันว่า ไม่ได้หมายความว่าใครมาอยู่ตรงไหนก็แปลว่าเป็นแผนดินของคนนั้น เพราะตัวหลักเขตที่ปรากฏในปัจจุบันมีการโต้แย้งกันอยู่ว่าควรจะขยับไปทางไหนอย่างไร และเขาก็มีการเดินสำรวจกันเมื่อปี 49 และปี 50
ส่วนความชัดเจนในการรุกล้ำหรือไม่รุกล้ำเขตแดนของ 7 คนไทยนั้น นายกฯ กล่าวว่า ตอนนี้กระทรวงการต่างประเทศ และฝ่ายต่างๆ ได้ไปทำพิกัด ซึ่งเวลานี้ใกล้เคียงกันแล้ว เมื่อถามว่า จากการที่ทนายรายงานมา การต่อสู้เห็นในทิศทางในแง่บวกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์ ในส่วนของคดี
เมื่อถามว่า ขณะที่พันธมิตรฯ เคลื่อนไหว ทางนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาบอกว่ารัฐบาลร่วมมือกับพันธมิตรฯ จัดฉากขึ้นมาเพื่อให้มีการชุมนุม หันซ้ายก็แดง หันขวาก็เหลือง รัฐบาลจะด่ำเนินการอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลก็อยู่ตรงกลาง เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการดูแลประชาชน และประเทศ สิ่งที่รัฐบาลทำเมื่อประชาชนมีความเดือดร้อนในพื้นที่ก็พยายามเข้าไปดูแลแก้ไข ขณะเดียวกัน ต้องระมัดระวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเดินได้ โดยสิทธิของประเทศไทย และคนไทยไม่ได้รับผลกระทบ ปัญหาในหลายพื้นที่ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ถือเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อมายาวนาน ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจแก้ไขกันไป ไม่มีทางที่จะถูกใจทุกทุกคน ทุกพื้นที่ อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงพื้นที่หนึ่งเท่านั้น ในขณะที่มีอีกหลายสิบพื้นที่ที่มีปัญหาเหมือนบ้างต่างบ้าง ตรงกันข้ามบ้างในแง่ของไทยกับกัมพูชา ฉะนั้น วันหนึ่งจะต้องมาทำความเข้าใจว่าการแก้ไขปัญหาในภาพรวมเป็นอย่างไร เราจะมาหยิบเพียงกรณีใดกรณีหนึ่งแล้วบอกว่าต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้โดยไม่คิดถึงผลกระทบต่อพื้นที่อื่นคงไม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าแดงและเหลืองจับมือไล่รัฐบาล จะอยู่อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลก็มา-ไปตามระบบ ฉะนั้นเป็นเรื่องของสิทธิที่จะเคลื่อนไหวกัน เมื่อถามต่อว่าจะไหวหรือไม่โดนทั้งแดงและเหลืองถล่ม นายกฯ กล่าวว่า ก็โดนมาระยะหนึ่งแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหา ขอให้การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเป็นไปตามระบบ ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา เมื่อถามต่อว่า เมื่อก่อนแตกแยกแต่ตอนนี้ยิ่งกว่าแตกแยก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงไม่ใช่ เพราะแต่ละกลุ่มที่เคลื่อนไหวทางการเมืองก็มีประเด็นของเขา และสามารถที่จะนำเสนอต่อสังคมได้ และสามารถแสดงความไม่พอใจได้ แต่ทุกอย่างต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย และการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็เป็นไปตามกติกา รัฐบาลมีจุดยืนอย่างนี้ และเราพร้อมชี้แจงในทุกเรื่อง
“แต่วันนี้สิ่งที่ตนอยากเรียกร้องทุกฝ่ายคือ ภารกิจเบื้องต้นอันดับหนึ่ง คือ 7 คนของเราคนที่จะชอบหรือไม่ หรือไม่ชอบ 7 คนนี้จะอย่างไรก็ตามเขาคือคนไทย และตนคิดว่า ทั้ง 7 คนนี้จะมีความคิดความอ่านเป็นอย่างไรก็ตามในการที่จะไปรุกล้ำ เราก็ต้องดูแลช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อการช่วยเหลือเรียบร้อย ปัญหาที่ค้างคาใจกัน เราก็พูดกันได้ แต่ถ้าเราพยายามหยิบประเด็นขึ้นมากระทบกับ 7 คน เราต้องคำนึงถึงคนเหล่านี้ ส่วนเมื่อศาลไต่สวนแล้วจะมีการรุกล้ำหรือไม่ ตรงนี้ผมตอบไม่ได้ เรายืนยันได้แต่ข้อเท็จจริง และดูจากเหตุการณ์ เราก็เชื่อว่าไม่มีเจตนา รวมทั้งเรื่องของการโจรกรรมข้อมูลทางทหารก็เชื่อว่าไม่มีเจตนา” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า คิดว่าเกิดอะไรขึ้นซึ่งก่อนหน้าพันธมิตรฯ เป็นมิตรกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่วันนี้ดูเหมือนจะดูเหมือนว่าจะกลายเป็นศัตรูกัน นายกฯ กล่าวว่า ก็มีจุดยืนต่างกันมาระยะหนึ่งในเรื่องของการแก้ไขปัญหาชายแดน ไม่ได้มีอะไรใหม่ ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปีที่แล้ว ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน คิดว่าเสียดายความจริงพูดกันด้วยเหตุด้วยผลไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็กล่าวหากันเกินจริง “ผมไม่มีผลประโยชน์อะไร” และการที่จะบอกว่าความคิดใครถูกใครผิดก็ต้องว่ากันด้วยเหตุด้วยผล การตัดสินใจของรัฐบาลก็ต้องมีความรับผิดชอบ ตนยกตัวอย่างว่า ความเห็นตนคือ เลิกเอ็มโอยูเลย ซึ่งตนก็บอกว่าถ้ายกเลิกเอ็มโอยูเลยการเสนอแผนพัฒนาพื้นที่กัมพูชาก็ทำได้ตามสบาย บอกให้ตนถอนตัวจากมรดกโลกเลย ก็แปลว่าในเดือนมิถุนายนนี้ก็เป็นไปตามที่กัมพูชาต้องการทั้งหมด ตนก็เห็นว่าไม่อยากให้มันเป็นไปตามที่เป็นอย่างนั้น เพราะจะกระทบกระเทือนต่อประเทศไทย ต้องแก้ด้วยวิธีอื่น เราก็ควรจะคุยกัน แต่ถ้าไปบอกว่าใครเห็นไม่ตรงแปลว่าขายชาติ อย่างนี้มันก็เข้าใจกันยาก