xs
xsm
sm
md
lg

“เพื่อแม้ว” ประเมินรัฐบาล “มาร์ค” บริหาร 2 ปีสอบตกทุกด้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปลอดประสพ สุรัสวดี (แฟ้มภาพ)
“เพื่อแม้ว” ประเมินการทำงานรัฐบาล “มาร์ค” 2 ปี สอบตกและอยู่ในภาวะเสี่ยงทุกด้าน “สุชาติ” ฉะสร้างหนี้เพิ่มเฉลี่ยเดือนละเกือบ 5 หมื่นล้านบาท แถมมีการทุจริต ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะสูงถึง 30% “ปลอดประสพ” ชี้ปัญหาสังคมหมักหมม ยาเสพติดพุ่ง รัฐบาลใช้น้ำลายแก้ปัญหา “ต่อพงษ์” ระบุด้านต่างประเทศถือว่าติดลบ ตกต่ำสุดเท่าที่เคยเป็นมา ขณะที่ด้านการเมืองก็ตกต่ำไม่แพ้กัน ไร้สำนึกประชาธิปไตย ปล่อยบริหารประเทศต่อไปประเทศมีสิทธิ์ล่มจม

ที่พรรคเพื่อไทย วันนี้ (7 ม.ค.) คณะกรรมาธิการติดตามและตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล (คตร.) พรรคเพื่อไทย ประกอบด้วยนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานสำนักงานปราบโกง นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช ประธานคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองเลขาธิการพรรค และนายต่อพงศ์ ไชยสาส์น ประธานกรรมาธิการต่างประเทศ ร่วมกันแถลงผลงานการตรวจสอบรัฐบาลตลอด 2 ปี โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดประธานเปิดงาน

นายสุชาติกล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมาเป็นการบริหารงานที่มีการกู้เงินสร้างหนี้สาธารณะให้กับประเทศไทยอย่างมโหฬาร ปัจจุบันไทยมีหนี้สาธารณะถึง 4.2 ล้านล้านบาท และเป็นการเพิ่มขึ้นทุกเดือนเฉลี่ยเดือนละ 49,000 ล้านบาท ขณะที่รัฐบาลใช้นโยบายการบริหารเศรษฐกิจประเทศผิดพลาดด้วยการกู้เงินอย่างมหาศาล แต่กลับทำให้ประเทศเป็นหนี้จริงเพิ่มขึ้น ดูได้จากการกู้เงินเพื่อชำระดอกเบี้ยในปีงบประมาณ 2554 จำนวน 178,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้ของประเทศไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่ประชาชนมีรายได้ลดลงเฉลี่ย 16,059.40 บาทต่อคนต่อปี พร้อมๆ กับเป็นหนี้เพิ่มขึ้นถึงคนละ 63,757.85 บาทต่อคนต่อปี และ เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง

โดยผลสำรวจความเห็นของสภาหอการค้าไทยระบุว่า ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้งานถึง 25-30% ขึ้นไป ขณะที่ไทยถูกจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลงจากอันดับที่ 36 มาอยู่ที่อันดับที่ 38 ซึ่งเป็นการลดลงติดกันจากการบริหารของรัฐบาลแบบ 2 ปีต่อเนื่อง และไทยไม่ได้อยู่ในรายชื่อของประเทศที่น่าลงทุนเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน และมีปัญหาที่ละเลยการแก้ไข เช่น ค่าเงินบาทที่แข็งค่า, ปัญหามาบตาพุด, ปัญหาการประมูล 3 จี, ปัญหาราคาน้ำมัน โดย การบริหารด้านนี้ ได้คะแนนไปเพียง 2.5 จากเต็ม 10 คะแนน

นายปลอดประสพแถลงถึงคุณภาพชีวิตปรากฏว่า รัฐบาลชุดนี้ได้คะแนนไปเพียง 3.6 ถือว่า สอบตกในทุกประเด็น เช่น ปัญหายาเสพติด จนถึงปัจจุบันกลับพบว่ามีการแพร่ระบาดเพิ่มมากขึ้น ดูได้จากจากรายงานผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่รายงานด้านยาเสพติด ปี 2553 ส่วนปัญหาอาชญากรรม ยังมีตัวเลขสูงในภาวะหน้ากังวลใจต่อสวัสดิภาพของประชาชน

ส่วนปัญหาผู้มีอิทธิพลยังได้รับการร้องเรียนว่ายังมีผู้มีอิทธิพลที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ทั้งเรื่องการเรียกค่าคุ้มครอง การข่มขู่คุกคามสุจริตชน, การปล่อยเงินกู้, บ่อนการพนัน, หวยใต้ดิน และพบปัญหาคุณภาพชีวิตที่เกิดจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่ขาดความชัดเจน เช่น นโยบายเรียนฟรี 15 ปี แต่ข้อเท็จจริงผู้ปกครองจำนวนมากยังต้องจ่ายเงินให้กับการศึกษาที่เรียกเก็บนอกจากค่าเล่าเรียนอีกหลายรายการ

ส่วนการแก้หนี้นอกระบบที่รัฐบาลอ้างว่าประสบความสำเร็จโดยอ้างตัวเลขจำนวนลูกหนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือแล้วถึง 600,000 รายและเข้าโครงการแล้ว 1,000,000 ราย แต่เมื่อตรวจสอบกับสถาบันการเงินที่รับผิดชอบคือธนาคารออมสินที่ดำเนินการได้จริงเพียงประมาณ 90,000 ราย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส) ที่ดำเนินการได้เพียง 300,000 ราย ส่วนนโยบายเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและสังคม ในโครงการไทยเข้มแข็งพบว่า โครงการจำนวนมากถูกกระจายลงไปสู่ท้องถิ่นหรือหน่วยงานราชการระดับล่างกลับถูกแทรกแซงโดยกลุ่มผลประโยชน์ที่เชื่อว่าประกอบไปด้วยกลุ่มนักการเมือง ข้าราชการและพ่อค้า โดยมีการเรียกรับผลประโยชน์จากงบประมาณที่ส่งลงไปให้ ตามที่สภาหอการค้าไทยออกมาเปิดเผยตัวเลข 30% ที่ต้องจัดให้กับผู้มีอำนาจ นายปลอดประสพกล่าว

น.อ.อนุดิษฐกล่าวว่า ในด้านความมั่นคงของรัฐ ถือเป็น 2 ปีแห่งความล้มเหลวและความไม่มั่นใจในความมั่นคงโดยได้คะแนนไปเพียง 3.5 เท่านั้น ทั้งนี้ มาจากความล้มเหลวในการแก้ปัญหาที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลที่มีฐานเสียงสนับสนุนอยู่ ในขณะที่ที่ผ่านมาประเทศไทยถูกจับตามองว่า มีการใช้กฎหมายความมั่นคงในภาวะฉุกเฉินยาวนานเกินความจำเป็น ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนจนกฏหมายฉบับนี้ไร้ความขลัง สิ้นความศักดิ์สิทธิ์ จนต้องประกาศยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉบับนี้ในที่สุด

ส่วนด้านการจัดซื้อยุทโธปกรณ์รัฐบาลนี้ได้ทุ่มงบประมาณให้ฝ่ายทหารจัดซื้ออาวุธยุทโธปรณ์มากกว่ารัฐบาลชุดใดๆ แต่ถูกตั้งข้อสังวเกตว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อรวมถึงความไร้ประสิทธิภาพของยุทโธปกรณ์ และยังพบว่ามีการใช้หน่วยงานความมั่นคงเพื่อประโยชน์ทางการเมือง เช่นกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI หรือกองอำนวยรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) มีหน้าที่ต้องดูแลความมั่นคงให้กับประเทศชาติโดยรวมแต่รัฐบาลนี้ได้ใช้หน่วยงานดังกล่าวเพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนมากกว่าจะอำนวยความยุติธรรมให้แก่ทุกฝ่าย จึงปรากฏว่าฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลจะถูกหน่วยงานเหล่านี้จับตามองเป็นพิเศษ

นายต่อพงษ์กล่าวว่า ในด้านการต่างประเทศนั้นถือว่ารัฐบาลได้คะแนน ติดลบ ถึง 2.7 โดยถือเป็นยุคที่การต่างประเทศของไทย ตกต่ำถึงขีดสุด มีความผิดพลาดทั้งการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.ต่างประเทศ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ต้องหาคดีการก่อการร้าย ที่ฉาวโฉ่ไปทั่วโลก สถานะของประเทศไทยในเวทีโลกตกต่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รวมทั้งการนำผลประโยชน์ของประเทศชาติและคนไทยเข้าไปเสี่ยงอย่างโง่เขลาและไร้เดียงสา คือกรณีนายวิคเตอร์ บูท ที่นายศิริโชค โสภา คนสนิทนายกรัฐมนตรีได้ใช้อภิสิทธิ์ขอไปพบนายวิคเตอร์ บูท ในคุก เพื่อรีดเอาข้อมูลหวังนำไปใช้ปรักปรำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนายศิริโชคก็คว้าน้ำเหลวและไม่ได้ข้อมูลใดๆ ที่จะใช้ปรักปรำกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้

“การดำเนินการของคนสนิทของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-รัสเซียเป็นอย่างมาก เพราะประเทศรัสเซียเห็นว่ามีการแทรกแซงกระบวนการส่งผู้ร้ายข้ามแดน และจะทำให้ความสัมพันธ์ของสองประเทศเสื่อมทรามลง จนยากที่จะแก้ไขได้ และล่าสุดเหตุการ ส.ส.ประชาธิปัตย์ เข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นฉนวนความขัดแย้งครั้งใหม่อย่างไม่จบสิ้น”

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ กล่าวว่า ในด้านการเมือง และการส่งเสริมประชาธิปไตย ของรัฐบาลชุดนี้ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา นอกจากไม่มีคะแนนให้แล้วยังถือว่ามีผลคะแนนแบบติดลบ ถึง -2.2 อีกด้วย โดยเฉพาะพื้นฐานของประชาธิปไตย ที่รัฐบาลควรจะสำนึก แต่กลับ มีการจัดตั้งรัฐบาลกันในค่ายทหาร ทำให้ถูกมองว่าเป็นเผด็จการซ่อนรูปในระบอบประชาธิปไตย และเมื่อทำงานมาครบ 2 ปี ภาพของความเป็นเผด็จการซ่อนรูปก็เด่นชัด เช่น การจำกัดเสรีภาพการแทรกแซงและปิดกั้นสื่อมวลชน รัฐบาลนี้ได้แทรกแซงสื่อมวลชนในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์จำนวนมหาศาลประชาสัมพันธ์ตัวเอง

นอกจากนี้ยังมีการปิดเว็บไซต์มากกว่า 5 หมื่นเว็บรวมถึงการเลือกปิดเฉพาะสถานีวิทยุชุมชนและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาล การปฏิบัติสองมาตรฐานต่อประชาชน, การแก้รัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง การมีส่วนร่วมในการทำลายระบบพรรคการเมืองที่ผู้นำรัฐบาลเห็นดีเห็นงามกับการจัดตั้งรัฐบาลด้วยการแย่งชิงสมาชิกพรรคการเมืองอื่นโดยไม่คำนึงถึงจุดยืนเดิมของพรรคที่สมาชิกสังกัด เกิดภาวะความมั่นใจในศาลรัฐธรรมนูญและความน่าเชื่อถือ อันมาจากการที่สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางคนได้เข้าไปหาทางช่วยเหลือพรรคของตนในคดียุบพรรคโดยไม่คำนึงถึงความเป็นกลางของศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีคลิปวิดีโอเป็นหลักฐานตามที่ปรากฏเป็นข่าวทั่วไป ทำให้ถูกมองว่ารัฐบาลนี้ได้มีส่วนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญขาดความน่าเชื่อถือ

ด้าน นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คณะกรรมการฯ คตร ได้ระบุตรงกันว่า ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมานี้ ได้ตรวจสอบพบว่ามีพฤติกรรมการโกงและการกระทำต่างๆ ที่เชื่อว่าทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติและประชาชน 4 กลุ่มใหญ่ๆ จนอาจเป็นเหตุทำให้ประเทศเกิดภาวะวิกฤติในทุกๆ ด้าน เช่น การบริหารราชการแผ่นดินที่อาจละเลยหรือปล่อยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น จนทำให้เกิดความเสียหายต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน เช่น โครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน เช่นชุมชนพอเพียง โครงการจัดหายุทโธปกรณ์หลายรายการของกองทัพ โครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เช่นปลากระป๋องเน่า โครงการจัดหารถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร โครงการถนนปลอดฝุ่น ฯลฯ

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า การบริหารราชการแผ่นดินที่ตรวจพบว่าอาจมีการเอื้อให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น คือ การเตรียมและการเปิดช่องให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันนั่นเอง แม้ยังไม่ได้ดำเนินการเนื่องจากถูกตรวจพบเสียก่อนแต่ก็ถือว่าควรจะต้องมีความผิด เพราะเปรียบเสมือนการวางแผนเพื่อลอบสังหาร แต่มือปืนและผู้เข้าร่วมขบวนการถูกจับได้เสียก่อนเช่น โครงการจัดหาครุภัณฑ์กระทรวงสาธารณสุข โครงการจัดหาครุภัณฑ์กระทรวงศึกษาธิการ การประมูลสินค้าการเกษตร โครงการจัดหารรถเมล์ NGV 4,000 คัน โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ฯลฯ

น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวว่า รัฐบาลชุดนี้มีการบริหารราชการแผ่นดินที่ผู้มีอำนาจอาจใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องหรืออาจใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงประโยชน์ เช่นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการพลเรือน การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ การสั่งเพิ่มเที่ยวบินพิเศษโดยให้บริษัทการบินไทยรับภาะการขาดทุน การซื้อเครื่องบินที่ไม่มีเก้าอี้ การจัดหาปืนเล็กยาว การออกเอกสารแสดงสิทธิ์ที่ดิน การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ ฯลฯ

นอกจากนี้ การบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดล้มเหลว ไม่เป็นไปตามนโยบายหรือไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายหรือไม่คุ้มค่ากับงบประมาณ ทั้งๆ ที่รัฐบาลอาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลทุ่มลงไปแต่ผลลัพธ์กลับไม่คุ้มค่ากับภาษีอากรของประชาชนที่เสียไปเลยแม้แต่น้อย เช่นโครงการเช็คช่วยชาติ การร้องเพลงชาติ 6 โมงเย็นทั่วประเทศ ราคาน้ำมัน โครงการรถเมล์ บีอาร์ที การใช้งบประมาณประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมของรัฐบาล การแก้ไขปัญหายาเสพติด การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ โครงการเรียนฟรี 15 ปี การไม่ควบคุมราคาค่าเงินบาท การแก้ไขปัญหาเร่งด่วนเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประสบภัยพิบัติ ฯลฯ

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบการทำงานใน 2 ปีที่ผ่านมา พบว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในภาวะความเสี่ยงในทุกๆ ด้าน โดยการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ในทุกมิติ ได้คะแนนไปเพียง 2.9 จาก เต็ม 10 เท่านั้น
กำลังโหลดความคิดเห็น