ผ่าประเด็นร้อน
ในที่สุดกลายเป็นว่ารัฐบาลที่นำโดย นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองได้อยู่รอด อยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุดเท่านั้น โดยไม่สนใจว่าความรู้สึกของคนในประเทศนี้จะเป็นอย่างไร ศักดิ์ศรีของประเทศชาติ หรืออธิปไตยจะสูญเสียอย่างไรก็ไม่สนใจ
ทำทุกอย่างเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดของตัวเองอย่างเต็มที่ ทำได้แม้กระทั่งใช้ “วิชามาร” ทำลายฝ่ายตรงข้าม หรือแม้แต่การวางแผน “ปราบปราม” ชาวบ้านอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพียงแค่คนเหล่านั้นเขา “รู้ทัน” และออกมาเปิดโปงเท่านั้น
เพียงแค่กลัวว่าความลับของตัวเองและพวกพ้องจะถูกเปิดเผยออกมามาขึ้นเรื่อยๆจึงต้องหาทางจัดการอย่างเด็ดขาด ในลักษณะที่ไม่ต่างจากการ “ฆ่าปิดปาก” กันเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันแผนการของรัฐบาลที่จะนำมาใช้กับชาวบ้านดังกล่าว เมื่อนำไปเปรียบกับกรณีที่กัมพูชารุกล้ำอธิปไตยในช่วงสองปีกว่ามาจนถึงการตอบโต้เพื่อรักดินแดนของประเทศตัวเองนั้นแทบจะเทียบกันไม่ได้เลย เนื่องจากการกระทำของฝ่ายไทยมีลักษณะเสียเปรียบ ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามยึดพื้นที่อย่างถาวร โดยสร้างกระแสในลักษณะรักษาสันติภาพ ปกป้องพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วผลออกมาในทางตรงกันข้าม เป้าหมายหลักที่ฝ่ายกัมพูชายิงถล่มเข้ามาก็คือเป้าหมายพลเรือนตามชายแดนจนมีผู้เสียชีวิต ทรัพย์สินเสียหาย
ที่น่าสนใจก็คือการถล่มตามแนวชายแดนไทยครั้งแรกเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์นั้นเกิดขึ้นระหว่างที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ กำลังเจรจาทำความเข้าใจตามกรอบว่าคณะกรรมการร่วมเพื่อปัญหาแบบทวิภาคีที่ เสียมราฐของกัมพูชา และเดินตามหลักการข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการจัดทำหลักเขตแดนทางบก(เอ็มโอยู43) นั่นเอง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของ เอ็มโอยู 43 ที่อ้างว่ามีเพื่อแก้ไขความขัดแย้ง ป้องกันการละเมิด
แม้ว่าในลักษณะเสียเปรียบของฝ่ายไทยดังกล่าวทำให้ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ทำให้การตอบโต้ของกำลังทหารทำได้ไม่เต็มที่ นั้นมีเหตุผลหลายประการ และที่สำคัญหนึ่งในนั้นก็คือ “ระดับบิ๊ก” ในกองทัพ สมคบกับ “นายทหารการเมือง” บางคนมีผลประโยชน์มหาศาลตามแนวชายแดน ทุกอย่างจึงต้องลงเอยอย่างที่เห็น
ส่วนอีกด้านหนึ่งเมื่อวกกลับมาที่การ “จัดการ” กับคนไทยด้วยกัน ปรากฎว่ารัฐบาลชุดนี้ได้เตรียมการอย่างพรักพร้อมเต็มที่ หลังจากมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร เพื่อควบคุมพื้นที่ 7 เขต ในกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 9-23 กุมภาพันธ์ ความหมายก็คือเพื่อต้องการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั่นเอง
ขณะเดียวกันเป้าหมายเฉพาะหน้าที่ต้องสลาย หรือควบคุมการชุมนุมของพันธมิตรฯก็เพราะหวั่นเกรงกระทบผลประโยชน์ที่ได้วางแผนเอาไว้ล่วงหน้านั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 ที่ตัวเองได้เปรียบในการเลือกตั้งจะถูกขัดขวาง
การประกาศของ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ว่าได้จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้สำหรับปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯจำนวนถึง 50 กองร้อย พร้อมทั้งระบุว่าหากไม่เพียงพอก็จะเพิ่มเติมกำลังเข้าไปได้อีกไม่อั้น เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลได้เตรียมการป้องกันอย่างดี และเด็ดขาด
คำถามก็คือ แม้ว่ากลุ่มพี่น้องประชาชนคนไทยเหล่านี้จะออกมาชุมนุมและยกระดับเป็นการขับไล่รัฐบาล แต่ก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่รัฐบาลเพิกเฉยต่อการปกป้องอธิปไตย ไม่ป้องกันการรุกล้ำดินแดนของฝ่ายกัมพูชา และเห็นถึงความผิดพลาดล้มเหลวของเอ็มโอยู 43 ที่กระทำโดยพรรคประชาธิปัตย์ จนบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้ แต่รัฐบาลในยุคปัจจุบันก็ยังกลบเกลื่อนและยืนยันคงไว้ต่อไป ทำให้ต้องยกระดับเป็นการขับไล่ ซึ่งถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือการชุมนุมของคนไทยกลุ่มนี้ได้ทำเพื่อรักษาอธิปไตยชาติ เพื่อส่วนรวม แต่กลับถูกบิดเบือนแปรเจตนาด้วยวิชามารต่างๆนานา และล่าสุดก็ได้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงเพื่อขจัดออกไป
นอกจากนี้จากการชุมนุมกว่าครึ่งเดือนก็ยังมีการเปิดโปงการทุจริตมากมายจนสรุปได้ว่าการทุจริตของรัฐบาลชุดปัจจุบันไม่ต่างหรืออาจมากกว่ารัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร เสียด้วยซ้ำ และนี่อาจเป็นที่มาของการใช้กฎหมายพิเศษเพื่อมา “ปิดปาก” ใช่หรือไม่
ถ้าพิจารณาจากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลในเวลานี้ โดยเฉพาะการเตรียมการเพื่อจัดการ “ขั้นเด็ดขาด” กับฝ่ายต่อต้าน เพียงต้องการปิดปาก เนื่องจากเห็นว่าเป็นภัยต่อผลประโยชน์ของตัวเอง และปกปิดความผิด-การทุจริตของตัวเองที่ก่อขึ้นขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบในกรณีเดียวกันกับฝ่ายกัมพูชา รัฐบาลชุดนี้กลับดูเหมือนมีเจตนายอมเสียเปรียบ ไม่เข้มข้น
ดังนั้นหากพิจารณาจากมาตรการที่เตรียมเอาไว้จัดการกับคนไทยด้วยกันแล้วถือว่ารัฐบาลทำได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และเต็มกำลัง แต่หากนำไปเปรียบเทียบกับฝ่ายกัมพูชาที่จงใจรุกล้ำ กลับได้รับการตอบโต้ที่ไม่จริงจัง ไม่ยอมผลักดันให้พ้นดินแดนไทย ซึ่งไม่ต่างจากการแสดงละครตบตา !!