โฆษกพันธมิตรฯ ประณาม รัฐบาลเขมรฆ่าราษฎรไทย ทั้งที่มีข้อตกลงหยุดยิง ชี้หวังสร้างความแตกแยกโบ้ยม็อบตัวการปะทะ ฉะใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานทัพ จี้รัฐไล่แขมร์ออกให้หมด ชี้เพื่อนบ้านใช้เอ็มยูโอ 43 ขยายผลแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ยัน “มาร์ค” พูดเท็จชัด แนะอย่าให้ยูเอ็นจุ้น ฉะรัฐเผด็จการใช้ พ.ร.บ.มั่นคงม็อบ แทนที่จะไปใช้กับศัตรู
วันนี้ (7 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงว่า จากกรณีที่กัมพูชาได้ยิงอาวุธสงครามใส่ทหารและราษฎรไทย โดยมีฐานทัพอยู่ในแผ่นดินไทย ตั้งแต่วันที่ 4-6 ก.พ.และจนถึงขณะนี้ พันธมิตรฯ ขอประณามรัฐบาลและทหารกัมพูชาใน 3 ประเด็น คือ ประการที่ 1 ใช้อาวุสงครามเจตนาอย่างชัดเจนที่จะยิงใส่ราษฎรไทยผู้บริสุทธิ์ ทั้งๆ ที่มีข้อตกลงหยุดยิงระหว่างกันแล้ว สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชามีเจตนาเพื่อสร้างความเดือดร้อนและทำร้ายประชาชนไทยผู้บริสุทธิ์ เพื่อหวังผลทางการเมืองต้องการทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างคนไทยด้วยกัน ทำให้ราษฎรไทยเดือดร้อนแล้วมากล่าวโทษพันธมิตรฯ ว่าเป็นสาเหตุ เพื่อมิให้สามารถไปหยุดยั้งการคุกคามและละเมิดอธิปไตยไทยโดยทหารกัมพูชา
ประการที่ 2 การที่กัมพูชาใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานทัพ ที่ซ่องสุ่มอาวุธ และเป็นเกราะกำบังในการทำร้ายประชาชนชาวไทย และทหารไทย โดยประกาศให้ทั่วโลกรู้ว่าบัดนี้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานทัพของกัมพูชาแล้ว และประการที่ 3 การทำร้ายราษฎรไทยผู้บริสุทธิ์ โดยตั้งฐานทัพที่ล้วนแล้วแต่อยู่ในแผ่นดินและอธิปไตยไทยทั้งสิ้น
“กัมพูชาต้องการใช้ความเดือดร้อนของราษฎรไทย ในการรุกคือยึดครองดินแดนเพิ่มเติม โดยเจตนาที่ยิงใส่ราษฎรไทยมีความหวังผลถึงการเมืองในประเทศไทย ดังนั้น รัฐบาลต้องหยุดยั้งกรณีนี้ไม่ให้ราษฎรไทยต้องเดือดร้อนให้ได้ โดยผลักดันกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข” โฆษกพันธมิตรฯ กล่าว
นายปานเทพกล่าวต่อว่า จนถึงบัดนี้วันที่ 7 ก.พ. ถือว่าครบ 7 วันที่ฝ่ายไทยไม่ได้โต้แย้งการออกแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาเมื่อวันที่ 1 ก.พ.54 ทั้งที่เป็นแถลงการณ์ที่กล่าวถึง MOU 2543 ที่กำหนดให้ใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 บนโต๊ะเจรจา กัมพูชาจึงสบโอกาสอ้างขยายผลคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505 กรณีปราสาทเขาพระวิหารมาเปิดประเด็นเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นครั้งแรก การที่รัฐบาลเพิกเฉยทำให้กัมพูชาย่ามใจและเหิมเกริมในการอ้างสิทธิ์อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ประกาศต่อนานาชาติ ทำให้เข้าใจผิดว่าทหารไทยรุกรานกัมพูชาอยู่ แสดงให้เห็นว่ากัมพูชามีเจตนาชัดเจนขยายผลยกระดับ MOU 2543 ให้หมายถึงการใช้แผนที่ 1 ต่อ 200,000 ซึ่งรุกรานอธิปไตยของประเทศไทยตลอดแนวชายแดน
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้กัมพูชาพยายามร้องขอให้องค์การสหประชาชาติ (UN) เพื่อให้มาแทรกแซงหรือเป็นตัวกลางในการเจรจา สะท้อนให้เห็นว่าที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อ้างว่า MOU 2543 ไม่ทำให้เกิดสงครามหรือป้องกันไม่ให้นานาชาติเข้ามาแทรกแซง เป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น เพราะกัมพูชาสามารถอาศัยสภาพในขณะนี้ร้องขอต่อ UN ว่าไทยรุกรานกัมพูชา ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่กัมพูชาทำเช่นนี้ แต่มีความพยายามมากว่า 50 ปีที่ต้องการดึง UN เข้ามาช่วยเหลือแทรกแซงเพื่อสร้างการยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 โดยอ้าง MOU 2543 ดังนั้น ฝ่ายไทยต้องหยุดยั้งไม่ให้ UN เข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เนื่องจากการปะทะที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภัยคุกคามต่อภูมิภาค เป็นความขัดแย้งของ 2 ประเทศเท่านั้น ทั้ง UN หรืออาเซียนไม่มีสิทธิที่จะเข้ายุ่งเกี่ยว อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ฝ่ายไทยยอมรับได้สูงสุด คือ การให้ UN เข้ามาร่วมรับฟังการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาเท่านั้น ไม่มีสิทธิแทรกแซงหรือตัดสินกรณีเขตแดนใดๆ ทั้งสิ้น
ในส่วนกรณีที่รัฐบาลยังยืนยันว่า MOU 2543 สามารถทำให้เกิดการเจรจายุติการปะทะได้นั้น นายปานเทพกล่าวว่า ภาคประชาชนได้กล่าวเตือนตลอดว่า การยึดถือ MOU 2543 โดยที่การรุกล้ำดินแดนและอธิปไตยไทย และใช้เป็นฐานทัพของทหารกัมพูชายังคงอยู่จะเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อราษฎรไทย ซึ่งก็เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากเจรจาหยุดยิง ปรากฏว่ากัมพูชายิงใส่ราษฎรไทยโดยไม่สนใจข้อยุติดังกล่าว เพราฉะนั้นแล้ว รัฐบาลต้องมีมาตรการชัดเจนเพื่อหยุดยั้งการรุกรานและใช้อาวุธสงครามต่อราษฎรไทยในทุกวิถีทาง โดยเฉพาะฐานทัพที่อยู่ในประเทศไทยและใช้เป็นจุดที่ยิงทหารและราษฎรไทยอย่างต่อเนื่อง
“พื้นที่บริเวณเขาพระวิหารที่เป็นเขตอุทยานแห่งชาติที่เดิมไม่มีราษฎรไทยอาศัยอยู่ ดังนั้น การปรากฎตัวเลขที่ราษฎรไทยเสียชีวิตและบาดเจ็บสะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชามีเจตนาชัดเจนที่จะข้ามการยิงทหาร และเจตนายิงใส่ราษฎรอย่างชัดเจน รัฐบาลต้องตอบโต้ด้วยมาตรการที่เข้มข้นขึ้น โดยยึดถืออธิปไตยของชาติ และความปลอดภัยของราษฎรไทยเป็นที่ตั้ง” นายปานเทพกล่าว
ทั้งนี้ นายปานเทพยังได้นำภาพมาแสดงต่อสื่อมวลชนเพื่อชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันฝ่ายกัมพูชามีการวางแผนสร้างถนนและสิ่งปลูกสร้างเพื่อขึ้นสู่ตัวปราสาทพระวิหารโดยผ่านดินแดนไทยทางวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ และยังได้สร้างทางขึ้นไปยังภูมะเขือ ซึ่งเป็นจุดสูงข่มที่อยู่ในแผ่นดินไทย เพื่อความได้เปรียบในการเป็นฐานทัพโจมตีทหารและราษฎรไทย โดยเหตุที่กัมพูชาสามารถเข้ามาสร้างถนนได้นั้น เนื่องจากทหารไม่สามารถต่อต้านได้ตามข้อตกลงใน MOU 2543 ทำให้กัมพูชาสามารถวางแผนได้ล่วงหน้าโดยใช้ชุมชนขึ้นไปก่อนเป็นโล่กำบังให้แก่กองกำลังทหาร รวมทั้งยังมีการสั่งสมอาวุธและเสบียงจำนวนมาก ถือเป็นฐานที่มั่นใหม่ของกัมพูชา ทั้งนี้ยังมีอีกหลายจุดที่กัมพูชาพยายามยึดครองอยู่ในขณะนี้
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า กัมพูชามีเจตนาวางกำลังเพื่อรุกรานดินแดนไทยอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นการเจรจาผ่าน MOU 2543 โดยปล่อยให้มีการรุกล้ำดินแดนเรื่อยๆ จะก่อให้เกิดปัญหามากกว่านี้ และหากรัฐบาลมัวแต่มีความคิดว่าพันธมิตรฯ นำเรื่องนี้มาเป็นการเมืองนอกประเทศมาเล่นการเมืองในประเทศนั้น ต้องบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง ชีวิตของราษฎรที่กำลังถูกคุกคามโดยฐานทัพกัมพูชาที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลละเลย มุ่งแต่ใช้ MOU 2543 ห้ามใช้กำลังทหารผลักดัน จนมีถนน บันได สิ่งปลูกสร้าง และกองกำลังติดอาวุธมาตั้งฐานในดินแดนไทย หากทำตามภาคประชาชนแต่แรกเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย
“เรื่องนี้ไม่ใช่การเมือง เป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนทั้งชาติ นายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นนักการเมืองจึงสนใจแต่เรื่องการเมือง นายกฯ อภิสิทธิ์ต่างหากที่ต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตย ทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ โดยหยุดการรุกรานละเมิดอธิปไตยไทย และทำให้ทหารกัมพูชาไม่มีความสามารถในการทำร้ายราษฎรไทยได้อีก เหตุใดป่านนี้ยังไม่เห็นรัฐบาลไทยใช้กำลังทางทหารเลย ทั้งที่มีแสนยานุภาพสูงกว่ากัมพูชาชนิดแทบไม่ได้ กลับปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนี้” นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพกล่าวอีกว่า รัฐบาลกำลังหลงในอำนาจ ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ กลับจะใช้กฎหมายเผด็จการแบบไม่เลือกว่าประชาชนมาทำอะไรกันอยู่ เพียงแค่นี้เห็นได้ว่ารัฐบาลไม่มีความเป็นประชาธิปไตย มุ่งแต่จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เจตนาดีต่อบ้านเมือง แทนที่จะใช้กฎหมายความมั่นคงกับกัมพูชา แต่เลือกมาใช้กับคนไทยด้วยกัน หากรัฐบาลใช้กฎหมายความมั่นคงมาบังคับใช้นั้น สุ่มเสี่ยงต่อการปฏิบัติหน้าที่ขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งต้องมีการยื่นถอดถอนตามขั้นตอน
“แสดงให้เห็นว่าฉันทานุมัติที่ภาคประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลลาออกทั้งคณะนั้นเป็นการสมควรแล้ว ขนาดบรรยากาศประชาธิปไตยยังไม่สามารถรักษาไว้ได้เลย และแทนที่จะอาศัยพลังของประชาชนที่รักชาติมาผนึกกำลังเพื่อให้กำลังใจให้ทหารหาญในการทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ กลับมาลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างนี้ไม่ถูกต้อง” นายปานเทพกล่าว