xs
xsm
sm
md
lg

พธม.เคลื่อนทัพศุกร์นี้!! ซัดนายกฯ ใส่ร้าย ฉะเจรจาหยุดยิงไม่มีไล่เขมรพ้นพื้นที่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“ลุงจำลอง” แย้มศุกร์นี้เคลื่อนพลแน่ 9 โมงเช้า ยังอุบไปไหน พร้อมประกาศชื่อกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดินค่ำนี้ ปัดขีดเส้นตาย ยันนายกฯ ไม่ออกก็ยกระดับต่อเนื่อง ปัดกระหายสงคราม ชี้สงบศึกทั้งที่เขมรอยู่ในแดนไทยทำทหารเจ็บฟรี “ปานเทพ” จี้ “มาร์ค” รักษาสัตย์ ฉะสลายม็อบก็หยุดไม่ได้ ซัดมาตรการหยุดยิงไม่มีให้เขมรพ้นพื้นที่ ด้าน “ประพันธ์” ซัด “อภิสิทธิ์” ใส่ร้ายม็อบ


วันนี้ (6 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงการลงฉันทามติของประชาชนเมื่อช่วงค่ำวานนี้ (5 ก.พ.) ว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลทำให้เกิดความเสียหายแก่แผ่นดิน จนไม่สามารถรอต่อไปได้อีกแล้ว ประชาชนจำนวนมากจึงมีการเสนอความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ให้นายกฯ อภิสิทธิ์ และคณะรัฐมนตรีลาออก ทั้งนี้ พันธมิตรฯ มีการปรึกษาหารือเพิ่มเติมโดยกำหนดว่า ในวันศุกร์ที่ 11 ก.พ.นี้ จะเคลื่อนขบวนไปเรียกร้องให้มีการปกป้องแผ่นดิน แต่ยังไม่ขอระบุสถานที่ โดยจะเริ่มตั้งขบวนในเวลา 09.00 น.จากบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และจะประกาศจุดหมายในวันนั้น พร้อมกันนี้จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ซึ่งจะประกาศรายชื่อในช่วงค่ำวันนี้ (6 ก.พ.) เพื่อให้การปกป้องแผ่นดินของเรามีผลเต็มที่มากขึ้น

พล.ต.จำลองกล่าวด้วยว่า การที่คนในรัฐบาล รวมทั้งทหารบางนายออกมาบอกว่าเรายังไม่เสียดินแดนนั้น ตนเห็นว่าเราได้เสียไปโดยสมบูรณ์แล้ว ทั้งทางพฤตินัยที่กัมพูชาเข้ามาอยู่ในดินแดนไทย โดยเฉพาะพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร และที่บ้านหนองจาน มีทั้งทหาร ประชาชน วัด และตลาด โดยคนไทยไม่สามารถเข้าไปดินแดนที่เป็นของไทยได้ด้วย เป็นข้อพิสูจน์ทางพฤตินัยแล้วว่ากัมพูชายึดครองพื้นที่ไปแล้ว ส่วนในทางนิตินัยนั้น กัมพูชาได้ประกาศผ่านแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาที่ระบุว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของกัมพูชา แต่คนในรัฐบาลไทยก็ยังพูดอยู่ได้ว่าเราไม่เสียดินแดน เป็นการพูดที่โกหกปราศจากข้อมูลหลักฐาน จึงเป็นเหตุให้ประชาชนทนไม่ได้

เมื่อถามว่า กำหนดการเคลื่อนขบวนในวันที่ 11 ก.พ.นี้ เป็นการขีดเส้นตายให้รัฐบาลหรือไม่ พล.ต.จำลองกล่าวว่า ไม่ใช่เป็นการขีดเส้นตาย หากเป็นรัฐบาลประเทศอื่น เมื่อมีกรณีเช่นนี้ลาออกไปนานแล้ว โดยเฉพาะกรณี 7 คนไทยถูกจับและขึ้นศาลกัมพูชา ดังนั้น เมื่อไม่แสดงความรับผิดชอบประชาชนจึงออกมาเรียกร้อง อย่างไรก็ตาม หากนายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ลาออกตามที่ได้เรียกร้อง เราก็จะมีมาตรการการยกระดับอย่างต่อเนื่อง แล้วแต่ความเหมาะสมของสถานการณ์

เมื่อถามต่อว่า สถานที่ที่จะไปคือรัฐสภาหรือไม่ เพราะในวันที่ 11 ก.พ.จะมีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 3 พล.ต.จำลองกล่าวว่า อย่าเพิ่งพูดกันไป เพราะพวกเรายังไม่บอกว่าไปไหน แต่มีสถานที่อยู่แล้วในใจ ถึงเวลาแล้วไปแน่ๆ

พล.ต.จำลองยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีคำกล่าวหาว่าพันธมิตรฯคลั่งชาติ กระหายเลือด ไม่อยากให้มีการหยุดยิงกับกัมพูชาว่า ตนยืนยันว่าไม่ใช่ ดินแดนเป็นสิ่งที่เราต้องปกป้อง ฝ่ายตรงข้ามเข้ายิงทหารและประชาชนไทย เกิดการปะทะ แต่กลับมีการเจรจาสงบศึก โดยที่กัมพูชาก็ยังอยู่ในดินแดนไทย ทหารและประชาชนไทยบาดเจ็บฟรีๆ โดยที่ประเทศไม่ได้อะไรเลย

ด้าน นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวเสริมว่า ในวันที่ 11 ก.พ.เป็นการกำหนดกิจกรรม ที่จะมีการเคลื่อนขบวนไปที่อื่นในเวลา 09.00 น. ส่วนกิจกรรมอื่นๆ จะทราบในวันนั้น รวมทั้งสถานที่ที่จะไปนั้นอาจจะเป็นที่ที่ใกล้ที่สุด หรือที่ที่ไกลที่สุดก็เป็นได้ แล้วจะอยู่นานเท่าไรด้วย ซึ่งสิ่งที่ได้ยื่นต่อนายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นการเรียกร้องให้พิจารณาตัวเองลาออกทั้งคณะ โดยให้นายกฯ อภิสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเอง ตามที่ได้เคยกล่าวเสมอๆว่าสามัญสำนึกรับผิดชอบของนักการเมืองต้องสูงกว่าหลักกฎหมาย เมื่อเป็นเช่นนนี้การไปยอมรับอำนาจศาลกัมพูชาให้มาลงโทษคนไทยที่อยู่ในแผ่นดินไทย หรือการปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุปะทะ แล้วยังยุติไม่ทำการผลักดันต่อไป ย่อมหมายถึงว่าปัญหาในการแก้ไขเรื่องอธิปไตยของชาติอยู่ที่นายกฯ อภิสิทธิ์และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ ซึ่งจะจบหรือไม่อยู่ที่นายกฯ อภิสิทธิ์ การที่นายกฯ อภิสิทธิ์ระบุว่าไม่แปลกใจที่พันธมิตรฯ เรียกร้องเช่นนี้ ตนต้องขอย้ำว่าเป็นฉันทานุมัติของผู้ชุมนุม

นายปานเทพกล่าวว่า นับตั้งแต่การชุมนุมที่ผ่านมา เมื่อคืนวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมมากที่สุด สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนมีจิตใจในการพร้อมร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากรัฐบาลต้องการสลายการชุมนุมโดยการใช้แก๊สน้ำตาก็จะไม่สามารถแก้ไข ปัญหาได้ เพราะจะมีประชาชนทยอยเข้ามาร่วมในวันรุ่งขึ้นหรือในชั่วโมงถัดไปทันที ดังนั้น รัฐบาลควรไปแก้ไขปัญหาหลักที่สำคัญมากกว่า โดยฉันทานุมัติของประชาชนให้นายกฯ อภิสิทธิ์ และคณะรัฐมนตรีต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการที่ไม่สามารถปกป้องแผ่นดินในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาได้ ในส่วนของ 4 มาตรการหยุดยิงระหว่างไทยกับกัมพูชานั้นไม่มีข้อไหนที่ระบุให้กัมพูชาถอยออกจากดินแดนไทยเลย ซึ่งปรากฏชัดว่า หลายพื้นที่ที่กัมพูชาใช้เป็นฐานในการโจมตีทหาร และราษฎรไทยที่บริสุทธิ์นั้นอยู่ในผืนแผ่นดินไทย หากรัฐบาลปล่อยปละละเลยเช่นนนี้ก็จะเกิดอันตรายมากขึ้นบริเวณชายแดน สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไทยมากขึ้นไปด้วย การเจรจาดังกล่าวจึงล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยของชาติ หากรัฐบาลคิดที่จะเดินหน้าเรื่องคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ต่อไปก็ยิ่งเป็นความผิดพลาดหนักขึ้นไปอีก โดยเฉพาะบริเวณเขาพระวิหารที่ได้มีการเจรจาเขตแดนเสร็จสิ้นไปตั้งแต่ 103 ปีก่อน ที่ไทยกับฝรั่งเศสตกลงร่วมกันให้ใช้ขอบหน้าผาเป็นเส้นแบ่งเขตแดน หากรัฐบาลคิดทำหลักเขตแดนเมื่อไร เท่ากับสละหลักสันปันน้ำที่ยึดถือ ทำให้นานาชาติเข้าใจผิดว่าไทยยึดเส้นเขตแดนอื่นที่ตรงกับแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทำให้นานาชาติมองว่าไทยรุกรานกัมพูชาทันที

นายปานเทพกล่าวต่อว่า วันนี้เป็นวันที่ 6 ที่กัมพูชาออกแถลงการณ์ลงวันที่ 1 ก.พ.54 อ้างถึงแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตาม MOU 2543 ผนวกกับคำบรรยายคำฟ้องคำพิพากษาของศาลโลกที่ชี้ว่าไทยยึดแผนที่ 1 ต่อ 200,000 แต่ทางการไทยกลับไม่มีการตอบโต้ ยิ่งเป็นหลักฐานที่ย้ำในเวทีโลกว่า ไทยไม่สามารถตอบโต้เรื่องเหล่านี้กับทางกัมพูชาได้ ซึ่งในอนาคตจะเป็นหลักฐานเพิ่มเติมว่าไทยยอมจำนนในแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ที่รุกล้ำเขตแดนไทย หากรัฐบาลยังเพิกเฉยต่อไป เราจะเพลี่ยงพล้ำเพิ่มมากขึ้นในเวทีนานาชาติ ส่วนเรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกนั้น การที่รัฐบาลใช้ข้อเสนอของพันธมิตรฯ ที่ให้เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกว่า พื้นที่ปราสาทเข้าพระวิหารเป็นพื้นที่มีข้อพิพาท ไม่ใช่พื้นที่สันติ จึงไม่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากกรณีการปะทะของทหารทั้งสองฝ่าย โดยรัฐบาลไม่ได้หยิบยก MOU 2543 มาใช้แต่อย่างใด เป็นเครื่องบ่งชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พันธมิตรพูดมากทั้งหมดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง

ส่วนกรณีเหตุการณ์การปะทะที่ชายแดน จ.ศรีสะเกษนั้น นายปานเทพกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเนื่องมาจาก MOU 2543 ที่ทำให้กัมพูชาเหิมเกริมมาตั้งฐานทัพในไทย ทำให้ประชาชนไทยต้องเดือดร้อนจนถึงทุกวันนี้ หากยังมี MOU 2543 อยู่ อนาคตจะมีการปะทะที่รุนแรงและยาวนานกว่านี้ ประชาชนเดือดร้อนมากขึ้น การที่ใช้ 4 มาตรการยุติการปะทะ เหตุใดจึงไม่เพิ่มมาตรการข้อที่ 5 โดยให้กัมพูชาถอยออกจากแผ่นดินไทย ถึงจะมีการหยุดยิง เมื่อไม่ใส่เข้าไปก็เหมือนกับปล่อยให้เขายึดครองต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลา พันธมิตรฯยืนยันว่าเราก็ต้องการสันติภาพ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานว่าไม่มีการละเมิดอธิปไตย

เมื่อถามว่า หากนายกฯ อภิสิทธิ์ และคณะรัฐมนตรีลาออกตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมหรือไม่ นายปานเทพกล่าวว่า หากรัฐบาลลาออกแล้ว เราต้องประเมินโดยมีเงื่อนไข 3 ข้อว่าผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ คือ 1.ปกป้องอธิปไตย 2.ปราบปรามการทุจริต และ 3.มีคุณธรรมจริยธรรม ไม่โกหกประชาชน อย่างไรก็ตามหากผู้ที่เข้ามาใหม่ไม่สามารถทำได้ พันธมิตรฯ ก็จำเป็นที่ต้องเคลื่อนไหวต่อภายใต้ 3 ข้อเรียกร้องหลัก คือ 1.ยกเลิก MOU 2543 2.ถอนตัวจากภาคีมรดกโลก และ 3.ผลักดันชุมชนและทหารกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักที่ให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องดินแดน

ขณะที่ นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวถึงการชี้แจงของนายกฯอภิสิทธิ์ ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาว่า พันธมิตรฯ ก็ไม่แปลกใจเช่นกันที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ยังมีท่าทีที่ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ทั้งยังมีการแถลงให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อการชุมนุมของพันธมิตรฯ อีกด้วย กล่าวหาว่าพันธมิตรฯ ไม่ยอมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และข้อมูลหลักฐานที่เรานำมาแสดงก็คาดเคลื่อนไม่ตรงความเป็นจริง ตนจึงอยากถามว่าข้อมูลส่วนไหนของพันธมิตรฯ ที่ไม่เป็นความจริง อยากให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ออกมาหักล้าง นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่าตัวเองไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ กับกัมพูชา แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ยืนอยู่บนผลประโยชน์ของคนที่ไปหากินกับกัมพูชา ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม และนักการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหลายที่ทั้งโกงทุจริต หากินกับกัมพูชา นำมาเงินมาซื้อเสียงให้นายอภิสิทธิ์ได้นั่งเป็นนายกรัฐมนตรี เช่นนี้คือผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งหลายทั้งปวงเป็นการพูดเท็จ กล่าวหาใส่ร้ายพันธมิตรฯ ว่านำเรื่องอธิปไตยของชาติมาเล่นการเมือง ทั้งๆ ที่การที่เราออกมาชุมนุมนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของชาติ
กำลังโหลดความคิดเห็น