xs
xsm
sm
md
lg

“จำลอง” ชี้รัฐฯ งัด กม.มั่นคง ขู่ ย้ำ “มาร์ค” ต้องลาออก นัดเคลื่อนพล “กันทรลักษ์” 11 ก.พ.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
พธม.ดักคอ ครม.ไม่จำเป็นต้องงัด กม.ความมั่นคง ข่มขู่พันธมิตรฯ ย้ำทางเลือก “มาร์ค” ต้องลาออก หรือจะคิดสลายการชุมนุม ก็เร่งดำเนินการ เตรียมยื่นร้องศาลปกครองคุ้มครอง ประกาศ 11 ก.พ.เคลื่อนคาราวานไป อ.กันทรลักษ์ จุดเดียว แจงตั้ง คกก.ปกป้องแผ่นดิน เปิดโอกาสให้ผู้รักชาติมีส่วนร่วม ย้ำ ไม่ได้เปิดทางปฏิวัติ “ประพันธ์” ชี้ รัฐไม่มีเหตุให้ประกาศ กม.ติดหนวด ชี้ ตร.ทำตามคำสั่งไม่ชอบ ระวังหมดอนาคตซ้ำรอยกรณี 7 ต.ค.51 เย้ย “มาร์ค” โดนด่าจนต้องปิดเฟซบุ๊กหนี ระบุเตรียมเปิดตู้ ปณ.รับความเห็น ปชช.ทั่วประเทศ

วันนี้ (8 ก.พ.) ที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนประจำวัน ว่า ตั้งแต่ประชาชนมีฉันทามติเมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา ให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีลาออกทั้งคณะ ทำให้รัฐบาลมี 2 ทางเลือก คือ ลาออก หรือสลายการชุมนุม ซึ่งหากเลือกการไล่เราออกจากพื้นที่ชุมนุม จริงๆ แล้วรัฐบาลไม่จำเป็นต้องประกาศกฎหมายความมั่นคง หากต้องการสลายหรือขอพื้นที่คืนสามารถทำได้ทันทีตั้งแต่วันที่ 25 ม.ค.ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว แต่เราก็ได้บอกว่าหากมาไล่เรา ไม่นานเราก็กลับมาใหม่ ไม่มีทางชนะเรา เพราะพันธมิตรฯจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะปกป้องดินแดนได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะประกาศกฎหมายใดก็ตาม พันธมิตรฯไม่ได้วิตกกังวล และไม่ต้องมีมาตรการใดๆรองรับ

ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ร.บ.ความมั่นคง จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวในวันที่ 11 ก.พ.ตามที่ได้ประกาศไว้หรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ทางคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้มีมติร่วมกัน เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปมีการปะทะกันบริเวณชายแดน จึงเห็นควรที่จะนำสิ่งของที่จำเป็นไปให้ทหารหาญ ที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยจัดรถบรรทุกออกจากที่สะพานมัฆวาน เวลา 09.00 น.ของวันที่ 11 ก.พ.ไปที่ที่ว่าการ อ.กันทรลักษ์ ในช่วงเย็นวันเดียวกัน โดยไม่ได้มีมวลชนติดตามไป แต่จะมีแกนนำหรือผู้แทนไปบางส่วน โดยเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ในฐานะคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน ได้ออกหนังสือถึง ผบ.ทบ.ในการชมเชยทหารหาญที่ปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดนในการตอบโต้กัมพูชา รวมทั้งแจ้งว่าในวันที่ 11 ก.พ.จะนำสิ่งของไปมอบให้กับทหารในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์ ณ ที่ว่าการอำเภอ

“ในวันที่ 11 ก.พ.นี้จะเพียงมีการเคลื่อนคาราวานไปที่ จ.ศรีสะเกษ จุดเดียวเท่านั้น โดยนับตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 11 ก.พ.จะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปที่ไหน ขอให้ตำรวจสบายใจได้ว่าไม่มีมวลชน หรือคณะของพันธมิตรฯเคลื่อนไปที่ไหนเป็นอันขาด ไม่ต้องห่วงว่าจะมีการเคลื่อนขบวนไปที่รัฐสภา หรือเข้าทำเนียบรัฐบาล แต่หลังจากนั้นเป็นไปได้ทั้งนั้น เราสงวนสิทธิ์ที่จะไปที่ไหนก็ได้ทั่วประเทศ” พล.ต.จำลอง กล่าว

เมื่อถามต่อว่า การตั้งคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน เป็นการปรับโครงสร้างภายในพันธมิตรฯ เพื่อวางแผนในการเคลื่อนขบวนหรือไม่ พล.ต.จำลอง กล่าวว่า เหตุผลที่ตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา เนื่องจากมีหลายคนต้องการมาร่วมเคลื่อนไหวด้วย โดยเราไม่ผูกขาดเฉพาะพันธมิตรฯเท่านั้น ในกรรมการ 17 คน มีตนซึ่งเป็นแกนนำพันธมิตรฯเข้าร่วมเพียงคนเดียว ไม่มีเรื่องแอบแฝงใดๆ โดยเมื่อมีการตั้งขึ้นมาคณะกรรมการก็ทบทวนแล้ว เห็นว่า ควรปรับเป็นการเคลื่อนสิ่งของไปให้ทหารหาญที่ จ.ศรีสะเกษ เหมาะสมกว่า

ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงกระแสข่าวการปฏิวัตัฐประหาร พล.ต.จำลอง กล่าวว่า การลือเรื่องการปฏิวัติที่มีอยู่ต่อเนื่องนั้น เป็นไปได้ทั้งนั้น และคนเชื่อด้วย เพราะการเมืองประเทศไทยยังไม่มั่นคง หากมีข่าวลือในประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็คงไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งตนต้องขอกล่าวย้ำว่า พันธมิตรฯไม่ได้เปิดทางให้มีการปฏิวัติ แต่หากเกิดขึ้นจริง เราก็ไม่สามารถห้ามได้ เพราะเราไม่มีอำนาจไปห้ามได้ รวมทั้งมีข้อถามมาว่าหากรัฐบาลนี้ลาออกไป แล้วมีรัฐบาลใหม่เข้ามาโดยไม่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง เรื่องนี้ตนขอชี้แจงว่า ขณะนี้ประเทศไทยเหมือนคนไข้ที่กำลังป่วยร้ายแรง เราไม่เลือกแพทย์แผนปัจจุบัน หรือหมอฝังเข็มที่จะมารักษาเรา แต่ต้องเป็นหมอที่สามารถรักษาโรคเราได้ ทั้งในเรื่องการสูญเสียดินแดนอธิปไตย และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ไม่ว่าจะมาจากกระบวนการใด

ด้าน นายประพันธ์ คูณมี โฆษกการชุมนุมรวมพลังปกป้องแผ่นดิน กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ประกาศให้ 7 เขตพื้นที่ใน กทม.เป็นพื้นที่ที่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ร.บ.ความมั่นคง ตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.54 รวมทั้งตั้งศูนย์อำนายการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ว่า รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงโดยอ้างถึงการข่าวที่พบว่ามีบางกลุ่มไปเคลื่อนไหวในพื้นที่เหล่านั้น อีกทั้งยังมีสถานที่สำคัญที่เป็นเป้าหมายในการก่อความสงบที่อาจทำให้เกิดปัญหา ซึ่งพันธมิตรฯเห็นว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่ปรากฏเหตุอันเป็นภัยหรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงในเรื่องใดเกิดขึ้นเลย ไม่เข้าหลักเกณฑ์ของ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในมาตรา 3 และมาตรา 15 เลย จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดที่รัฐบาลมาประกาศใช้ดังกล่าว ดังนั้น มติคณะรัฐมนตรีที่อ้างว่าฝ่ายความมั่นคงเสนอนั้น คณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน และผู้ชุมนุมจึงเห็นว่า เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการจำกัดสิทธิประชาชนตามรัฐธรรมนูญในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และเจตนารมณ์ในการชุมนุมเพื่อปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติ ตามบทบาทหน้าที่ของประชาชนในรัฐธรรมนูญมาตรา 70-71 ที่พลเมืองมีหน้าปกป้องเอกราชอธิปไตยของชาติ ซึ่งการออกมาชุมนุมเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติด้วยซ้ำ ไม่ใช่การกระทำที่กระทบความมั่นคง อีกทั้งการประกาศ 7 เขตพื้นที่นั้นยังเป็นการประกาศแบบครอบจักรวาลอีกด้วย หากมีการประกาศใช้กฎหมายลักษณะนี้ ประชาชนก็ไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้

“รัฐบาลไม่มีความชอบธรรมในการออกประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เราจึงขอปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว โดยจะให้ทีมทนายไปยื่นคำฟ้องต่อศาลปกปครองว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่ง และในระหว่างนี้เราก็จะชุมนุมอยู่ที่นี่ต่อไป เพราะรัฐบาลจนตรอกไม่สามารถหาเหตุมาโต้แย้งข้อมูลของพันธมิตรฯได้ จึงหาวิธีที่จะล้มเวทีเหมือนอันธพาล” นายประพันธ์ กล่าว

นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า ตนขอเตือนไปยังตำรวจและเจ้าหน้าที่ทุกคน ว่า มติคณะรัฐมนตรีฉบับนี้ไม่คุ้มครองการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากทำตามคำสั่ง อาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ทั้งการเข้ามาทำร้ายร่างกาย ใช้กำลังผลักดันสลายการชุมนุม ล้วนแต่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งตัวอย่างมีให้เห็นมาแล้วจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ซึ่งรัฐบาล โดย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ (ในขณะนั้น) สั่งการให้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.(ในขณะนั้น) นำกำลังสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตา ซึ่งกหลังจากนั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่าพนักงานกระทำการโดยมิชอบ มีผลให้ผู้เกี่ยวข้องถูกสั่งให้ออกจากราชการ และ นายสมชาย และ พล.อ.ชวลิต ถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ทราบเรื่องดี เพราะเป็นคนยื่นต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ดำเนินการเรื่องดังกล่าว

ทั้งนี้ นายประพันธ์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เดินทางไปต่างประเทศเพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นความพยายามบิดเบือนใส่ร้ายพันธมิตรฯ โดยใช้สื่อที่มีคนของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ถือหุ้นอยู่ โดย นายสรรเสริญ สมะลาภา ถือเป็นพฤติกรรมที่น่าสะอิดสะเอือนใจที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังใช้วิชามารกับพันธมิตรฯ สร้างหลักฐานเท็จ เพื่อหวังทำลายความชอบธรรมและยุติการชุมนุมของพันธมิตรฯที่ออกมาปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติ เมื่อรัฐบาลไม่ทำหน้าที่แล้ว ยังมาแว้งกัดประชาชนผู้รักชาติ จึงสมควรที่ต้องถูกประณามที่ใช้วิธีสกปรกเช่นนี้

โฆษกการชุมนุม กล่าวด้วยว่า ขณะนี้นายกฯอภิสิทธิ์ปิดโทรศัพท์ ปิดเฟซบุ๊ก ไม่ให้ประชาชนเข้าไปแสดงความคิดเห็น ทั้งยังประกาศใช้กฎหมายที่ต้องการปิดปากประชาชน เพราะคนเข้าตำหนิการทำงานของรัฐบาล จะเห็นได้จากผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ที่ประชาชนส่วนมากตำหนิการทำงานของรัฐบาลต่อกรณีเหตุปะทะกับกัมพูชา รัฐบาลจึงเลือกที่จะปิดกั้นความคิดเก็นของประชาชน ซึ่งทางคณะกรรมการรวมพลังปกป้องแผ่นดิน จะดำเนินการเช่าตู้ไปรษณีย์ ชื่อตู้ ปณ.รวมพลังปกป้องแผ่นดิน เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศส่งความคิดเห็นมาให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบอย่างไร ซึ่งเชื่อว่าจะมีไปรษณียบัตรมาเป็นล้านฉบับ โดยเราจะนำมาถ่ายทอด และส่งให้รัฐบาลรับรู้ว่ารัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ควรฟังเสียงประชาชน


กำลังโหลดความคิดเห็น