00 ผ่านมาสามสี่วันในที่สุดก็มีผลการสำรวจประชาชนของ “กรุงเทพโพลล์” แม้จะเป็นความเห็นของชาวบ้านเพียงบางกลุ่มบางพื้นที่ก็ตาม แต่เชื่อว่าได้สะท้อนความรู้สึกได้ดีจากกรณีการปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชาตามแนวชายแดน โดยผลออกมาว่าพอใจการทำหน้าที่ของกองทัพร้อยละ 67.5 ขณะที่ไม่พอใจรัฐบาลในการแก้ปัญหาข้อพิพาทดินแดนถึงร้อยละ 80.2 พร้อมทั้งไม่มั่นใจการทำหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศถึงร้อยละ 75.3
00 ผลสำรวจดังกล่าวเหมือนกับการ “ตบหน้า” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าอย่างจัง กรณีที่ยังฝันว่า “เอ็มโอยู43” นำมาซึ่งความสงบสันติได้ และยังเห็นอีกว่ารัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาในเรื่องดินแดนมาโดยตลอด รวมทั้งยังไม่เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของกระทรวง “บัวแก้ว” ที่นำโดย กษิต ภิรมย์ อีกด้วย สรุปโดยรวมก็คือชาวบ้านไม่เชื่อ “น้ำยา” ทั้งรัฐบาล โดยเฉพาะผู้นำคือ นายกฯอภิสิทธิ์ และ กษิต ซึ่งคงไม่ต้องถามเหตุผลว่าเพราะอะไร ก็เพราะมัน “ห่วยแตก” นั่นเอง
00 ขณะที่ฝ่ายกองทัพนั้น แม้ว่าผลออกมา “พอใจ” มากกว่ารัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศก็ตาม แต่ด้วยจำนวนแค่ร้อยละ 67.5 ก็ไม่อาจภูมิใจได้มากนัก เพราะหากเป็นกรณีเดียวกันแบบนี้ในสมัยก่อนหากเกิดสงครามแนวชายแดนขึ้นมาเมื่อไหร่รับรองว่าคนไทยได้แสดงออกถึงความรู้สึกถึงเชื่อมั่นได้เต็มร้อยแน่นอน แต่คราวนี่เป็นเพราะมี “บิ๊กทหาร” บางกลุ่มมีผลประโยชน์กับเขมรตามแนวชายแดน ทำให้ “ลูกน้อง” ระดับล่าง “ลังเล” ไม่กล้าถล่มตอบโต้ได้เต็มที่ ทำให้ความรู้สึกของชาวบ้านจึงออกมาอย่างที่เห็น
00 สิ่งที่ “ฮุนเซน” กำลังเล่นเกมอยู่ในเวลานี้ก็คือ การลาก “ยูเอ็น” เข้ามาเป็นพยานการยึดดินแดนของไทย โดยให้เข้ามาแทรกแซงปัญหาความขัดแย้ง และเชื่อว่าอีกไม่นานฝ่ายกัมพูชาจะเปิดฉากยิงเข้ามาอีก โดยจุดที่ยิงเข้ามาก็เป็น “ดินแดนไทย” ตามแผ่นที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน นั่นแหละ ซึ่งหากสังเกตให้ดีจุดที่ยิงถล่มเข้ามาส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณที่อยู่โดยรอบปราสาทพระวิหารนั่นแหละ ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เจตนาก็เพื่อแสดงให้โลกได้เห็นว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของกัมพูชา ซึ่งจะมีผลต่อการ “บริหารจัดการ” พื้นที่โดยรอบปราสาท ตามเงื่อนไขของยูเนสโกนั่นเอง
00 หลายฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์อย่างเข้าใจจะเห็นตรงกันว่าฝ่ายไทยกำลังเสียเปรียบ เพราะกัมพูชากำลังใช้เอ็มโอยู 43 ที่อ้างถึงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาทิ่มแทง ขณะที่ฝ่ายไทย โดยนายกฯอภิสิทธิ์ กลับกอดเอ็มโอยู 43 แน่น แต่เป็นการนำมาอ้างเพื่อปกป้องความชอบธรรม รวมไปถึงการนำมา “กลบเกลื่อน” ปกปิดความผิด และที่สำคัญนำมา “ทิ่มแทง” คนไทยด้วยกันเอง ฐานปากโป้งนำหลักฐานมาเปิดโปง
00 โดนเข้าไป “ดอกใหญ่” ทั้งพรรคการเมือง-สื่อชั่ว ฐานสมคบกันปล่อยข่าวว่า “มิสเตอร์เอส” ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆต้องการสื่อความหมายถึง “สนธิ ลิ้มทองกุล” นั่นแหละ กล่าวหาว่าร่วมเดินทางไป “สุมหัว” กับ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ที่คูเวตเพื่อล้มรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเจอย้อนกลับด้วยการแสดงหลักฐานทั้งหนังสือเดินทาง ทั้งหลักฐานการเดินทางเข้าพักโรงแรมที่ฮ่องกงตลอดเวลาตั้งแต่วันที่ 22-24 ไม่ได้ไปไหนไกล
00 อย่างไรก็ดีหากพิจารณาอย่างเข้าใจง่ายๆว่านี่คือ แผน “ดิสเครดิต” ทำลายความชอบธรรมของผู้ชุมนุม ซึ่งถ้าให้ได้ผลดียิ่งไปกว่าก็ต้องมุ่งไปที่แกนนำหลักๆ และในที่นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก สนธิ ขณะเดียวกันเมื่อผสมโรงกับความ “หมั่นใส้” จากบรรดาสื่อทั้งหลายที่มักถูกเปิดโปงถึงความไม่ชอบมาพากลต่างๆอยู่เสมอ ซึ่งที่ผ่านมามักจะไม่มีการแตะต้อง จนมีวลีว่า “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” ด้วยกันเอง จึงเป็นที่มาของการผนึกกำลังกันทำลาย
00 นี่ก็ไม่ผิดความคาดหมายกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อสกัดการชุมนุมของพันธมิตรฯและเสื้อแดง ที่กำลังประดังเข้ามา เพียงจับตาดูว่าจะบังคับควบคุมกี่เขต แต่ในที่สุดมติครม.ก็ออกมา 7 เขต ครอบคลุมพื้นที่การชุมนุมทั้งสองกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องปล่อยข่าวดิสเครดิตและใช้กฎหมายความมั่นคงมาควบคุมก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล และ นายกฯอภิสิทธิ์ รวมทั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ “บงการ” อยู่ข้างหลัง เกิดความกลัวว่าจะต้องตกเก้าอี้ จึงต้องทำทุกทาง อย่างไรก็ดีนี่ก็แสดงให้เห็นว่าทีกับคนไทยด้วยกันละก็เก่งนัก แต่กับเขมรที่รุกล้ำเข้ามาทุกวันทำหงอ ทุด !!
00 ผลสำรวจดังกล่าวเหมือนกับการ “ตบหน้า” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าอย่างจัง กรณีที่ยังฝันว่า “เอ็มโอยู43” นำมาซึ่งความสงบสันติได้ และยังเห็นอีกว่ารัฐบาลล้มเหลวในการแก้ปัญหาในเรื่องดินแดนมาโดยตลอด รวมทั้งยังไม่เชื่อมั่นการทำหน้าที่ของกระทรวง “บัวแก้ว” ที่นำโดย กษิต ภิรมย์ อีกด้วย สรุปโดยรวมก็คือชาวบ้านไม่เชื่อ “น้ำยา” ทั้งรัฐบาล โดยเฉพาะผู้นำคือ นายกฯอภิสิทธิ์ และ กษิต ซึ่งคงไม่ต้องถามเหตุผลว่าเพราะอะไร ก็เพราะมัน “ห่วยแตก” นั่นเอง
00 ขณะที่ฝ่ายกองทัพนั้น แม้ว่าผลออกมา “พอใจ” มากกว่ารัฐบาลและกระทรวงต่างประเทศก็ตาม แต่ด้วยจำนวนแค่ร้อยละ 67.5 ก็ไม่อาจภูมิใจได้มากนัก เพราะหากเป็นกรณีเดียวกันแบบนี้ในสมัยก่อนหากเกิดสงครามแนวชายแดนขึ้นมาเมื่อไหร่รับรองว่าคนไทยได้แสดงออกถึงความรู้สึกถึงเชื่อมั่นได้เต็มร้อยแน่นอน แต่คราวนี่เป็นเพราะมี “บิ๊กทหาร” บางกลุ่มมีผลประโยชน์กับเขมรตามแนวชายแดน ทำให้ “ลูกน้อง” ระดับล่าง “ลังเล” ไม่กล้าถล่มตอบโต้ได้เต็มที่ ทำให้ความรู้สึกของชาวบ้านจึงออกมาอย่างที่เห็น
00 สิ่งที่ “ฮุนเซน” กำลังเล่นเกมอยู่ในเวลานี้ก็คือ การลาก “ยูเอ็น” เข้ามาเป็นพยานการยึดดินแดนของไทย โดยให้เข้ามาแทรกแซงปัญหาความขัดแย้ง และเชื่อว่าอีกไม่นานฝ่ายกัมพูชาจะเปิดฉากยิงเข้ามาอีก โดยจุดที่ยิงเข้ามาก็เป็น “ดินแดนไทย” ตามแผ่นที่อัตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน นั่นแหละ ซึ่งหากสังเกตให้ดีจุดที่ยิงถล่มเข้ามาส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณที่อยู่โดยรอบปราสาทพระวิหารนั่นแหละ ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เจตนาก็เพื่อแสดงให้โลกได้เห็นว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นของกัมพูชา ซึ่งจะมีผลต่อการ “บริหารจัดการ” พื้นที่โดยรอบปราสาท ตามเงื่อนไขของยูเนสโกนั่นเอง
00 หลายฝ่ายที่ติดตามสถานการณ์อย่างเข้าใจจะเห็นตรงกันว่าฝ่ายไทยกำลังเสียเปรียบ เพราะกัมพูชากำลังใช้เอ็มโอยู 43 ที่อ้างถึงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาทิ่มแทง ขณะที่ฝ่ายไทย โดยนายกฯอภิสิทธิ์ กลับกอดเอ็มโอยู 43 แน่น แต่เป็นการนำมาอ้างเพื่อปกป้องความชอบธรรม รวมไปถึงการนำมา “กลบเกลื่อน” ปกปิดความผิด และที่สำคัญนำมา “ทิ่มแทง” คนไทยด้วยกันเอง ฐานปากโป้งนำหลักฐานมาเปิดโปง
00 โดนเข้าไป “ดอกใหญ่” ทั้งพรรคการเมือง-สื่อชั่ว ฐานสมคบกันปล่อยข่าวว่า “มิสเตอร์เอส” ซึ่งถ้าพูดกันตรงๆต้องการสื่อความหมายถึง “สนธิ ลิ้มทองกุล” นั่นแหละ กล่าวหาว่าร่วมเดินทางไป “สุมหัว” กับ “ไอ้หน้าเหลี่ยม” ที่คูเวตเพื่อล้มรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อเจอย้อนกลับด้วยการแสดงหลักฐานทั้งหนังสือเดินทาง ทั้งหลักฐานการเดินทางเข้าพักโรงแรมที่ฮ่องกงตลอดเวลาตั้งแต่วันที่ 22-24 ไม่ได้ไปไหนไกล
00 อย่างไรก็ดีหากพิจารณาอย่างเข้าใจง่ายๆว่านี่คือ แผน “ดิสเครดิต” ทำลายความชอบธรรมของผู้ชุมนุม ซึ่งถ้าให้ได้ผลดียิ่งไปกว่าก็ต้องมุ่งไปที่แกนนำหลักๆ และในที่นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก สนธิ ขณะเดียวกันเมื่อผสมโรงกับความ “หมั่นใส้” จากบรรดาสื่อทั้งหลายที่มักถูกเปิดโปงถึงความไม่ชอบมาพากลต่างๆอยู่เสมอ ซึ่งที่ผ่านมามักจะไม่มีการแตะต้อง จนมีวลีว่า “แมลงวันไม่ตอมแมลงวัน” ด้วยกันเอง จึงเป็นที่มาของการผนึกกำลังกันทำลาย
00 นี่ก็ไม่ผิดความคาดหมายกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง เพื่อสกัดการชุมนุมของพันธมิตรฯและเสื้อแดง ที่กำลังประดังเข้ามา เพียงจับตาดูว่าจะบังคับควบคุมกี่เขต แต่ในที่สุดมติครม.ก็ออกมา 7 เขต ครอบคลุมพื้นที่การชุมนุมทั้งสองกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 9-23 ก.พ.สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งเรื่องปล่อยข่าวดิสเครดิตและใช้กฎหมายความมั่นคงมาควบคุมก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล และ นายกฯอภิสิทธิ์ รวมทั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ “บงการ” อยู่ข้างหลัง เกิดความกลัวว่าจะต้องตกเก้าอี้ จึงต้องทำทุกทาง อย่างไรก็ดีนี่ก็แสดงให้เห็นว่าทีกับคนไทยด้วยกันละก็เก่งนัก แต่กับเขมรที่รุกล้ำเข้ามาทุกวันทำหงอ ทุด !!