นายกฯ -ไปไกลมาก ไปไกลก็เลยคงจำเป็นต้องพยายาม ผมจะให้กระชับที่สุดนะครับ คือถ้าจะพูดเรื่องเปลือกเรื่องแก่นเนี่ย คุยกันเรื่องจิตวิญญาณประชาธิปไตย นี่คุยกันได้ยาวเลย นะครับ ผมเรียนอย่างนี้ก่อนว่า เรื่องของความเป็นประชาธิปไตยเนี่ย ผมไม่เคยพูดนะครับว่าเป็นประชาธิปไตยที่มันสมบูรณ์ ผมว่าหลายเรื่อง ประเทศไทยก็เดินมาไกลพอสมควร มีพัฒนาการที่ดี แต่หลายเรื่องก็ยังเป็นปัญหาอยู่ ในการที่จะไปบอกเลิกว่า รัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งฉบับใด เป็นประชาธิปไตย (เพลงชาติไทย 18.00 น.) และก็ทำงานมีความเข้าใจกันในระดับหนึ่ง แต่ว่ามันมีปัญหา ผมเคยถามเพราะว่า ในช่วงที่ผมก็ต้องประกาศใช้ พ.ร.ก. สอบถามกันเนี่ยท่านก็พูดชัดครับว่า ถ้ามีการประกาศใช้ พ.ร.ก.เนี่ย จริงๆ แล้วฝ่ายการเมือง หรือฝ่ายนโยบายเนี่ยจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนกลไกของทหารเนี่ย ก็คือผู้ปฏิบัติ นะครับตอนที่ท่านนายกฯสมัคร ประกาศครั้งแรกนั้นเนี่ย เหตุเกิดแล้วอะไรแล้วเนี่ยมีความสับสนตรงนี้ครับ ท่านก็อธิบายให้ผมฟัง
ส่วนเมื่อครั้ง นายกฯ สมชายเนี่ย ท่านนายกฯ สมชายท่านเลือกที่จะไว้ใจ พูดง่ายก็คือ ทางตำรวจ อันนี้คือสิ่งที่มีการอธิบายมา ผมสอบถามนะครับ ไม่ใช่ไม่สอบถาม แล้วก็เรื่องงบทหารเนี่ยนะครับ ก็อย่างที่เรียน ความจริงเนี่ย นายกฯสมัคร ก็เพิ่ม ผมว่ารัฐบาลชุดผมก็เพิ่มนะครับ เพราะว่าถ้าไปดูข้อเท็จจริงของภูมิภาคในขณะนี้ กับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เป็นเรื่องของเหตุและผลเหมือนกัน ส่วนตรงไหนที่เพิ่มเกินเลยไปไม่โปร่งใส ตรวจสอบกันนะครับ วันก่อนผมฟังอดีตนายกฯ ทักษิณ วิดีโอลิงก์เข้ามายังบอกเลยครับว่า ถ้ากลับมาเป็นนายกฯ จะเพิ่มงบทหารนะครับ เพราะฉะนั้นคงจะไปบอกไม่ได้ว่า เรื่องของตรงนี้มันเป็นเรื่องเผด็จการ หรือไม่เผด็จการ ส่วนกฎหมายทั้ง กอ.รมน.และบทบาทของทหารที่ผ่านมา ผมอยากทำความเข้าใจนิดนึงครับ ก่อนหน้าที่จะมีกฎหมายความมั่นคง และ กอ.รมน.ยุคใหม่ เวลาที่มีปัญหาความไม่สงบเกิดขึ้น มันต้องกระโดดไปใช้ พ.ร.ก.เลย แล้ว พ.ร.ก.ท่านทั้งหลายเองพูดตลอดเวลาว่า ไม่อยากเห็นการใช้ขึ้น เพราะมันจะเป็นการลิดรอนสิทธิค่อนข้างมาก กฎหมายความมั่นคงต้องปรามครับ ต้องปรามช่วยระงับเหตุการณ์ ผมอยากจะบอกว่า ทหารที่เข้าไปอยู่ในวัด ในโรงเรียนอะไรต่างๆ เขาไม่ได้ติดอาวุธ และนโยบายรัฐบาลนี้กำชับว่า เขาไปช่วยดูแลความปลอดภัยของประชาชน และผู้ชุมนุมด้วย ยุคนี้จะไม่เหมือนบางยุค ผู้ชุมนุมเจอเอ็ม 79 เจอปัญหามีการปล่อยให้มาตีกัน เราพยายามแก้ไขตรงนี้ การที่ทหารเข้าไปดูแลสภา เพื่อให้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจฝ่ายบริหารสามารถใช้ได้ ท่านอาจจะไม่ได้พูดนะครับเมื่อไปสภา แต่มีแกนนำคนอื่นพูดนะครับ พูดชัดเจนเลยว่า นายอภิสิทธิ์ไปที่ไหนให้ไปจับด้วย ไม่ใช่ให้แค่ไปปิดล้อม ไปจับด้วยความจริงมันแรงกว่านั้นด้วย ในการข่าวมีการดำเนินการมา ผมขอถือว่า อดทนอดกลั้นให้เกียรติว่า แกนนำมีหลายคน ถ้าทุกคนคิดเหมือนคุณหมอคงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่บางคนพูดชัดเจนจะทำสิ่งที่ผิดกฎหมายนะครับ แม้กระทั่งล่าสุดยังพูดอยู่เลยว่า จะบุกเข้าไปถ้ามีการประชุมคณะรัฐมนตรี ในทำเนียบรัฐบาล อันนี้คือข้อเท็จจริง ที่เราต้องวางลงมา และมันเป็นข้อคิดนะครับ เพราะว่าคุณหมอพูดถึงประเทศอังกฤษดีแล้ว มาตรการที่ใช้ทั้งหมด แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของท่านเอง ไม่ทราบว่าคุณหมอเคยดูกฎหมายชุมนุมในที่สาธารณะของอังกฤษไหมครับ ถ้ายอมรับว่า อังกฤษเป็นแม่แบบประชาธิปไตย หลายเรื่องที่พวกเราทำกันอยู่ อังกฤษไม่ให้ทำนะครับ ไปบ้านพักที่อยู่อาศัยส่วนบุคคล ไปที่ของเอกชน ไปในจำนวนมากๆ จนทำให้เกิดความหวาดกลัว ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งสิ้น แต่ประเทศไทยเราไม่มีกฎหมายนี้ ก็อะลุ่มอล่วยกัน เพราะฉะนั้นแก่นจริงมันคงต้องถกกันยาวนะครับ และผมคิดว่าเราจะมาสรุปง่ายๆ ว่าตรงนี้เผด็จการ ตรงนี้ประชาธิปไตย ผมว่าคงไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ เรื่องประชามติผมจำได้นะครับว่า ตอนนั้นเขามีองค์กรระหว่างประเทศมาสังเกตการณ์ ทำรายงานให้การยอมรับในกระบวนการประชามติตอนรับรัฐธรรมนูญ ผมก็ดูตามนั้น และถ้าคุณหมอบอกว่า มี 30 เปอร์เซ็นต์ที่เดินออกมา เอ็กซิทโพลบอกว่า รับไปเพื่อแก้ ผมหนึ่งในนั้น แต่ผมไม่สนับสนุนให้แก้เพื่อตัวเอง หรือแก้เพื่อนิรโทษกรรม เพราะฉะนั้นถ้าจะไปนับว่า ตรงนี้ต้องอยู่ในฝ่ายที่อยากจะไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญคงไม่ใช่นะครับ อันนี้ผมอยากจะเรียนให้ทราบ เขตเล็กเขตใหญ่ความจริงมันมีประเด็นที่จะถกกันได้เยอะ โดยเฉพาะถ้าจะพูดถึงเรื่องปรัชญา เขตเล็กเลือกได้คนเดียวจริงครับ แต่น้ำหนักเสียงกับการแบ่งเฉลี่ยต่อประชากร มันยังมีหลักของความเสมอภาคของมันอยู่ ผมไม่อยากลงรายละเอียดพวกนี้นะครับ เพราะว่าจะเสียเวลา เพียงแต่ว่ากลับมาที่ทางคุณจตุพรพูดว่า เอาง่ายๆ อย่างนี้ละกันยุบหรือไม่ยุบ เดินต่อหรือไม่เดินต่อกับสภาพบ้านเมืองขณะนี้ ผมอยากจะบอกอย่างนี้นะครับว่า ที่พูดว่าทางนี้ไปได้ บางภาคบางจังหวัดทางนี้ไปได้หรือไม่ได้ ตรงนี้วัดความเป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน ผมจำได้สมัยที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล รัฐมนตรีมหาดไทย ร.ต.อ.เฉลิม เดินทางไปจังหวัดกระบี่ มีคนไปล้อม ผมคนแรกให้สัมภาษณ์ว่า อย่างนี้ไม่สมควรทำ ไม่เป็นประชาธิปไตย ผมก็ถูกตำหนิจากผู้ชุมนุมนะครับ ทั้งๆ ที่ผมเป็นฝ่ายค้าน คนบอกว่าเป็นฝ่ายเดียวกัน ผมถูกตำหนิ ผมยืนยัน เพราะผมเห็นว่าลักษณะเช่นนี้ มันไม่เป็นการเปิดโอกาสให้แต่ละฝ่ายทำหน้าที่ เพื่อที่จะนำไปสู่การตัดสินใจของประชาชน ตามวิถีทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริงนะครับ และที่บอกว่า ไปได้ไม่ได้ บางทีต้องดูเหมือนกัน ผมเป็นคนที่พยายามรับฟัง ผมไปผมเจอพี่น้องเสื้อแดงหลายคนโกรธผม คิดว่าผมเป็นฆาตกร เชื่อว่าเป็นคลิปเสียงนะครับ เพราะเขาตะโกนเขาแสดงออก บางทีเขาโทรศัพท์มาหาผม ผมบอกได้เลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อสีอะไร ผมคนหนึ่งถ้ามีนายกรัฐมนตรีไปสั่งฆ่าประชาชน ผมก็ต่อต้านครับ แต่บังเอิญมันไม่ใช่ข้อเท็จจริง และพิสูจน์กันได้ พิสูจน์กันแล้วนะครับ แต่ว่ามันมีการไปสร้างความเข้าใจอย่างนี้ ผมถึงบอกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดนะครับ ถ้าบอกว่ายุบสภาพรุ่งนี้แล้ว ท่านคิดว่าท่านกดปุ่มได้ ว่าคนทั้งประเทศจะคลายอารมณ์ไม่ใช่นะครับ ผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเป็น ส.ส. ผมเป็นนักการเมือง ผมไม่เคยคิดเลยว่า จะเป็นเจ้าของประชาชน สั่งซ้ายหันขวาหันได้ไม่ใช่นะครับ อารมณ์ที่มันตกค้างจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ทั้งหลายฝ่ายนะครับ ไม่ใช่ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ต้องใช้เวลาในการคลาย ด้วยการมาทำกติกาที่ดีในการอยู่ร่วมกัน ผมถึงบอกว่า ทำไมเราจึงมีทางเลือกแค่ยุบสภาวันนี้ หรือพรุ่งนี้สุดแล้วแต่นะครับ กับการที่บอกว่า ต้องอยู่แบบรบลาฆ่าฟันกัน พูดกันทำนองนั้น ไม่ใช่หรอกครับ ถ้าเราอยากจะทำเพื่อบ้านเมือง เรามาดูสิครับว่า นอกจาก 2 ทางนี้ ทำอย่างไรเรายอมรับกันตรงกลาง เพราะพูดกันให้ตายวันนี้ ก็ไม่เห็นด้วยกันหลายเรื่อง และมีคนข้างนอกที่อาจจะไม่เห็นด้วยกับทั้งฝ่ายท่าน และฝ่ายผม หรือไม่เห็นด้วยกับทั้ง 2 ฝ่าย แต่มาทำบรรยากาศบ้านเมืองก่อน ถ้าคิดว่ามีความไม่เป็นธรรม ถ้าคิดว่าอยากจะปรับแก้รัฐธรรมนูญ ถ้าคิดว่ารัฐบาลนี้ไม่ควรที่จะได้อยู่ครบวาระ คุยได้ครับ แต่มาทำอย่างนี้ครับ ภาษาอังกฤษเค้านิยมกัน โรดแมพจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองตกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียก่อน คลายความเข้าใจที่อาจจะไม่ตรงกันบ้างเรื่อง คลายอารมณ์ของคนเสียก่อน เปิดโอกาสให้บ้านเมืองมันเดินไปเป็นปกติ และมากำหนดเวลากันก็ได้ จะทดสอบดูกันอีกสักยาวนานเท่าไหร่ ก็คืนอำนาจ ไม่มีปัญหาอะไรเลยครับ ไม่มีปัญหาให้กับฝ่ายใดๆ เลย แต่จะมีความเสี่ยงน้อยครับ แต่ถ้าวันนี้ในอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งรุนแรงกันหลายฝ่ายครับ อย่าไปคิดว่าฝ่ายที่แสดงออกรุนแรงมีความรู้สึกรุนแรงเพียงฝ่ายเดียว บางคนเขารับไม่ได้กับฝ่ายที่แสดงออกอย่างรุนแรง แต่เขาเก็บความรุนแรงไว้ในใจ บางทีเป็นความเกลียดชังเหมือนกันนะครับ ผมไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น ระหว่างพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกัน เราใช้เวลาสักนิดเถอะครับ มันไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาอะไรในเชิงโครงสร้าง แต่ว่าเราแก้ให้มันเป็นถาวรครับ ถ้ายุบสภาแล้วย้อนกลับมาสถานการณ์แบบนี้ จะมีเสื้อสีใหม่มาเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ และต้องมานั่งตั้งโต๊ะอย่างนี้ และผมถามเช่นเดียวนะครับว่า มีประเทศไหนครับที่เขายอมรับในหลักประชาธิปไตยว่า ถ้ามีการขู่ที่จะใช้กำลังไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม และต้องมีการเปลี่ยนแปลง เขาก็ไม่ยอมรับ เพราะนั้นเป็นแก่นของประชาธิปไตยเหมือนกันนะครับ
วันนี้พวกผมทั้ง 3 คนตรงนี้ ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลรับฟังสิ่งที่ท่านพูดบนเวที รับฟังเสียงสะท้อนความรู้สึกของประชาชน และผมถามคุณหมอก็ได้ครับว่า ต่อสู้มากี่สิบปีแล้ว มีนายกรัฐมนตรีคนไหนบ้างครับ พร้อมที่จะมานั่งแบบนี้ ท่านสู้มากี่สมัยแล้ว วันนี้ผมมาฟังแล้ว ผมยอมรับเหตุผลของท่าน ที่ผมเห็นว่าใช้ได้ แต่ไม่ได้เห็นด้วยทั้งหมด ผมมีหน้าที่ต้องฟังคนอื่นๆ ที่อยู่นอกห้องนี้ คนที่เป็นตัวแทนของกลุ่มอื่นๆ อีก แล้วเรามาช่วยกันหาคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย จะเชิญเขามาร่วมก็ได้ หรือว่าถ้าเราคิดว่ามีคำตอบที่ดี เปิดโอกาสให้สังคมเขาได้พินิจพิจารณาได้ไหม ว่านี่คือคำตอบที่แท้จริง เราอย่าเอาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นใหญ่ครับ แต่เอากันตามความเป็นจริง เพื่อมันทำให้เกิดบรรยากาศบ้านเมืองที่ดี
เพราะฉะนั้นผมต้องบอกกับคุณจตุพรนะครับว่า มานั่งกันแบบนี้แล้ว ผมว่าพี่น้องประชาชนจะเสียดายโอกาสอย่างมาก ถ้าเราจะมาบอกว่า ต้องวางกันอย่างนี้ หรืออย่างนี้ และทางหนึ่งมีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วย อีกทางหนึ่งก็มีคนจำนวนมากไม่เห็นด้วย มันไม่ใช่คำตอบสำหรับสังคม มันไม่ใช่พื้นฐานที่ดีของระบอบประชาธิปไตย ผมว่าเราใช้เวลานะครับ ผมไม่ทราบว่า พี่วีระก็คิดอยู่ เพราะว่าก่อนเดินเข้ามาพี่วีระบอกว่า รอบแรกน่าจะอย่างนั้นอย่างนี้สักหน่อย ผมเลยสันนิษฐานว่า ต้องมีรอบ 2 รอบ 3 รอบ 4 นะครับ เรามาดูกันสิครับว่า ตรงไหนที่เรามองตรงกันแล้ว ไปสู่จุดนั้นได้อย่างไร ตรงไหนมองไม่ตรงกัน จะมีคำตอบอย่างไร และอย่าตอบเฉพาะ 6 คน ตอบให้ได้ 63 ล้านคน เพราะฉะนั้นผมว่าเรามีเวลา ท่านไม่ต้องห่วงหรอกครับ จุดยืนผมชัดเจน ท่านจะชุมนุมหรือไม่ชุมนุม ข้อเรียกร้องที่มีเหตุมีผลผมต้องฟัง ท่านจะชุมนุมหรือไม่ชุมนุม อะไรผมคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับส่วนรวม ผมก็ไม่ทำ เสียงเรียกร้องมันมีเยอะครับให้ดำเนินการอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าผมถือว่าผมให้เกียรติกับทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คน ถ้าเราเริ่มต้นด้วยจิตใจที่ดีอย่างนี้ ผมว่าเราหาคำตอบได้ แต่ถ้าเรายังพยายามที่จะขีดเส้นตายบ้าง เส้นแบ่งบ้างนะครับ มันจะไม่จบ เอาให้มันจบดีกว่า วันนี้ผมว่ามันเป็นปรากฏการณ์แล้ว ที่มานั่งคุยกันอย่างนี้ คนทั่งประเทศที่เขาดูอยู่ เขาคงไม่คาดหวังว่า วันนี้มันจะต้องมายื่นคำขาดอะไรกัน มันต้องมาพูดคุยกัน และนั่งกันอยู่ตรงนี้อีกกี่ชั่วโมงก็ได้นะครับ ถ้าคิดว่าวันนี้เราจะพยายามแสวงหาคำตอบกัน
จตุพร - ขออนุญาตท่านนายกฯ นิดนึงว่า วันนี้ไม่ได้มาเพื่อจะยื่นคำขาดอะไร เพียงแต่ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น พวกเราความจริงแล้วไม่ควรจะพูดเรื่องอื่นใด เพราะว่าข้อเรียกร้องพวกผมมีข้อเดียวเท่านั้น คือ เรื่องการยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน ผมจำบรรยากาศของนายกฯ วันที่ท่านนายกฯ สมัครจัดประชุมร่วม 2 สภา ซึ่งความจริงแล้ว ท่านผู้นำฝ่ายค้านวันนั้น ท่านควรจะพูดคนแรก แต่ผมก็เป็นคนพูดคนแรก ผมลองฟังท่านพูดสรุปเป็นคนสุดท้าย เรื่องการรับผิดชอบทางการเมือง และท่านเห็นว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ เวลานั้น รัฐบาลควรจะรับฟัง เปรยๆ จนต่างประเทศเขาลาออกกันไปเสียแล้ว ผมเรียนอย่างนี้นะครับว่า นั้นคือวันที่ท่านเป็นฝ่ายค้าน แต่วันนี้ผมยังไม่ได้มองเห็นว่า การดำรงอยู่ของท่าน มันจะแก้ความขัดแย้งได้อย่างไร และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ไม่มีใครบอกว่าแก้ไขเผื่อตัวเอง หรือเรื่องการนิรโทษกรรมเลย เพราะฉะนั้นผมจึงเรียนว่า คนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างจากพวกผม เห็นด้วยกับท่าน ก็ไปวัดกันตอนเลือกตั้งนะครับ นั้นคือว่าประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ เขาจะได้เป็นคนตัดสินใจ เพราะฉะนั้นผมเรียนกับนายกฯ ว่า ไม่ใช่ว่าผมจะปิดโอกาสการพูดคุยที่ดีนะครับ สังคมไทยต้องการการพูดคุย ถ้าวันนี้ไม่เกิดสถานการณ์ทางการเมือง พูดตรงๆ ว่า ทหารไม่เข้ามาจุ้นจัดตั้งรัฐบาลให้กับท่าน และทหารออกมาเพ่นพ่านในลักษณะอย่างนี้ คือความยุติธรรมต่างๆ ไม่เกิดขึ้น และการที่ท่านพูดเป็นเรื่องที่น่าฟัง แต่บรรยากาศมันไม่ใช่ ในขณะที่ท่านนายกฯ ต้องรับรู้ข้อเท็จจจริงว่า พวกผมไม่ได้มีเส้นขีดแบ่งอะไร พวกผมเกิดมาทีหลังท่านเสียด้วยซ้ำนะครับ ท่านลองคิดดู ท่านนั่งเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเคยซักถามในสภา หรืออะไรก็ตาม คดีพันธมิตรฯ ยกตัวอย่างยึดสนามบิน ซึ่งท่านรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงบอกเวลาที่ประชุมร่วม 2 สภา หลังจากเกิดเหตุการณ์สงกรานต์ บอกว่าสัปดาห์หน้า ปรากฏว่า วันนี้เมื่อ 2 วันที่แล้ว รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านบอกว่าต้องสอบพยานอีก 1,500-2,800 ปาก คือหมายความว่า คนที่เขารู้นี่ไม่ได้มีความจงใจที่จะดำเนินคดีทางกฎหมาย นี่เป็นปรากฏการณ์ในลักษณะของท่าน ต่างๆ มากมาย อันนี้นำไปสู่เรื่องบอกกับท่านว่า ข้อเรียกร้องของพวกผมว่า ยุบสภาเพราะเหตุใด เพราะฉะนั้นให้ท่านสบายใจได้ แม้กระทั่งตัวท่านนายกฯ ทักษิณ ที่ท่านบอกว่า ท่านมีเรื่องการเจรจาเรื่องทรัพย์สินท่านนายกฯ ด้วยนั้น
อภิสิทธิ์ - ไม่ได้เป็นคนพูดครับ มีคนอื่นพูดขึ้นมา ผมบอกว่าทำไมถึงหยิบยกขึ้นมา
จตุพร - คือพวกผมมีข้อเรื่องยุบสภา
อภิสิทธิ์ - รู้สึกว่าจะเป็นคุณพายัพพูดขึ้นมา
จตุพร - ไม่มีเรื่องนี้เลย แล้วตัวท่านนายกฯ ทักษิณเอง ท่านบอกว่า อย่าเอาเรื่องของท่านมาเจรจา ท่านพูดชัดเจนเมื่อคืนนี้ เพราะฉะนั้นพวกผมมาพูดกับท่านในเรื่องเดียวเท่านั้น คือข้อเรียกร้องนะครับ ซึ่งมีข้อเดียวคือยุบสภา ถามว่าถ้าท่านไม่ยุบ พวกผมต้องต่อสู้กันไป และขณะเดียวกันให้ท่านสบายใจไว้ว่า พวกผมจะบุกเข้าไปยึดสถานที่ราชการ ไม่ว่าจะเป็นทำเนียบ วันที่พันธมิตรฯ ยึดทำเนียบ รัฐมนตรีคนสำคัญยังไปเยี่ยม คนในเขตเลือกตั้งท่านถึงทำเนียบนะครับ รัฐมนตรีบางคนอยู่เฝ้าประจำ แต่ผมบอกว่า ในภาพติดตาอย่างนั้นเราชิงชังอะไร เรารังเกียจอย่างนั้นไปด้วย และจะไม่ยอมทำ และความจริงถ้าคิดจะทำแบบนี้ พวกผมคงจะทำไปนานแล้ว แต่ทั้งหมดนั้นนะครับ เราพยายามแสวงหาความชอบธรรม ที่จะเห็นร่วมระหว่างกัน และผมเชื่อว่าในสถานการณ์ที่เรามีเวลาที่พูดคุยกันได้แบบนี้ ผมไม่เชื่อว่าอีก 1-2 วันสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ทหารของท่านตรึงขึ้นเรื่อยๆ แล้วจนกระทั่งว่าไม่ทราบฝ่าย ตรึงตามมากขึ้นมากขึ้น ซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นพวกท่านหรือเปล่า และพวกท่านมากล่าวหาว่าพวกผม ซึ่งพวกผมประกาศในทางสันติวิธีชัดเจน เพราะฉะนั้นผมเรียนว่า การดำเนินการทั้งหมด ผมไม่รู้ว่าจะมีจุดจบเมื่อไหร่อย่างไร แต่ข้อเรียกร้องพวกเรามีข้อเดียวเท่านั้น แต่ว่าสถานการณ์ที่ขณะนี้ ท่านต้องเข้าใจนะ การดำรงอยู่ของท่าน ยิ่งสร้างบาดแผลให้รอยร้าวมากขึ้น ที่ท่านมีความคาดหวังว่า จะมาแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ ท่านเห็นแล้วว่า มันไปไม่ได้
เพราะฉะนั้นเมื่อท่านมั่นใจว่า ได้ 240 เสียง เลขาฯ พรรคท่านบอกว่า หาตังค์ 693 ล้าน ได้ 280 เสียง ไอ้ที่จะตั้งรัฐบาลพรรคเดียวใหญ่อีกนะครับ พวกผมได้ชื่นชม และท่านชนะท่านว่าไปเลย พวกผมจะไม่เป็นอุปสรรค เป็นก้างขวางคอระหว่างท่านเลย
เพราะฉะนั้นผมจึงขอสรุปทุกคนว่า ขอพูดเรื่องเดียวว่า คือท่านจะยุบสภาหรือไม่ คือว่าพี่น้องจะได้ความชัดเจน หรือถ้าไม่ยุบพวกผมได้ต่อสู้กันไป ไม่มีปัญหาอะไร
อภิสิทธิ์ - ดีครับพูดมาดีแล้ว คืออยากจะย้ำอีกครั้ง เรื่องคดีความต่างๆ พอก้าวหน้าผมพยายามผลักดัน แต่ว่าเรื่องง่ายๆ ทำได้เร็ว เรื่องที่คนเยอะมีปัญหาตลอดและครับ เหมือนคดีเดือนเมษาเหมือนกันแหละครับ ไม่ง่ายหรอกครับ พอเวลาคดีไหนมีคนเยอะๆ ยากทั้งนั้น แต่ว่าผมยืนยันนะครับ มีปัญหาเรื่องเหล่านี้ซักถามสอบถามกันในสภา อภิปรายกัน และติดตามกัน และถ้าหากเห็นว่า จงใจทำผิดกฎหมายถอดถอนกันได้อยู่แล้ว อันนี้คือข้อเท็จจริงที่อยากจะให้เกิดความมั่นใจ
ทีนี้เรื่องยุบสภา เรื่องบรรยากาศบ้านเมือง คือที่ผ่านมาเราไม่ได้คุยกันไงครับ มันไม่ได้มาคุย วันนี้เมื่อเรามาคุยกันแล้ว ผมยังไม่เคยพูดเลยว่า ผมจะอยู่ครบวาระ ผมไม่เคยบอกเลยว่า ยุบสภาไม่ได้เด็ดขาดเลยไม่ใช่ แต่ที่ท่านยกสมัยท่านรัฐบาลสมัครดีแล้ว ตอนที่ผมอภิปรายนะครับ วันนั้นมันต่างกันนิดนึง ผู้ชุมนุมเรียกร้องให้ท่านนายกฯ สมัคร เขาไม่ยอมให้ยุบสภา เพราะเขาคิดว่ารัฐบาลท่านอาจจะชนะกลับเข้ามา เขาบอกว่าไม่เอายุบสภา เขาบอกว่า การเลือกตั้งยังมีการทุจริตนะครับ เป็นความเห็นของเขาด้วย ประเด็นคือว่า วันนั้นที่ผมลุกขึ้น ผมบอกว่าจริงๆ คนแสนคนมาถ้าไม่มีเหตุผล ต้องชี้แจงกัน คนหนึ่งคนมีเหตุผลต้องฟัง และผมเสนอเป็นทางออกว่า เมื่อเขาต้องการให้ลาออก ผมยังบอกเลยว่า ไปลาออกคงไม่ได้ ผมไม่กล้าเสนอให้นายกฯ สมัครลาออกเพราะอะไร 1.เพราะเท่ากับเป็นการยอมจำนนต่อแรงกดดันนอกสภา 2.เพราะบอกว่าผมมีส่วนได้เสีย เดี๋ยวมาบอกว่า ลาออกไปแล้วเป็นผู้นำฝ่ายค้านอยู่ จะมาแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรี ผมเลยบอกว่าไม่ใช่ทางออก แต่บังเอิญตอนนั้นด้วยการบริหารจัดการอะไรแล้วแต่ สถานการณ์ถึงขั้นนั้น ผมบอกว่ายุบสภาเป็นทางออก มาถึงวันนี้ผมฟังท่านไหม ฟังผมเลยได้เอาประเด็นเหล่านี้มาร้อยเรียง และผมบอกว่าบางประเด็นผมพูดเอาไว้เอง เรื่องวุฒิสภาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย เพราะถ้าจะมาแบบไม่เลือกตั้ง ต้องไม่มีอำนาจแบบนี้ เพราะบางประเทศเป็นประชาธิปไตย เขาไม่เลือกตั้ง แต่เขาไม่ให้อำนาจเยอะ มันมีหลักของมันอยู่เป็นปรัชญาของมันเรื่องประชาธิปไตย
ที่นี่เรื่องรัฐธรรมนูญผมต้องย้ำอีกครั้งนะครับว่า ตอนที่บอกว่าผมไม่พยายามเท่าที่ควร คือ 6 ประเด็นที่เขาหยิบออกมาแล้ว ความที่มันยังมีความเห็นที่แตกต่าง ผมบอกว่าทำประชามติเสีย แล้วยอมรับกัน แต่ 6 ประเด็นมาจากคณะกรรมการสมานฉันท์
จตุพร - คุณดิเรก ไม่ถึงฝั่ง
อภิสิทธิ์ - ทีนี่ผมบอกว่า ถ้าทำแล้วสมานฉันท์เดินหน้าทำกัน แต่พอทำแล้วมีฝ่ายหนึ่งบอกไม่ร่วมสังฆกรรม มันชัดอยู่แล้วว่า มันไม่สามารถสมานฉันท์ได้ มันจึงไม่เดินไงครับ ส่วนใน 2 ประเด็นของพรรรคร่วมนะครับ เป็นเรื่องภายในที่เราสื่อสารกัน แต่ผมบอกได้นะครับ วันที่ผมไปสยามซิตี ผมบอกในประเด็นเรื่องเขตเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่เป็นปัญหากับพรรคประชาธิปัตย์มาก เพราะเราเป็นผู้สนับสนุนเขตเลือกตั้งใหญ่ ในวันที่มีการร่างรัฐธรรมนูญนะครับ ส่วนประเด็นอื่นที่จะแก้ไขผมบอกได้ แต่บางประเด็นผมบอกเลยว่า อย่าไปเสี่ยงนะ ถ้าถูกตีความว่า แก้เพื่อตัวเอง หรือนิรโทรกรรม พูดกันชัดเจนครับ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นเรื่องภายใน อยากจะเรียนให้ทราบ ทีนี้ผมบอกอย่างนี้ว่า มาตั้งตนคุยกันสิครับ เอายุบสภาเป็นตัวตั้งนี่แหละ จะได้ไม่ต้องไปเรื่องอื่น แต่คำว่ายุบสภาเป็นตัวตั้ง เราต้องตอบคนทั้งประเทศ ไม่ใช่ตอบสนองความต้องการ หรือความไม่ต้องการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มันจึงเป็นที่มาที่ผมถามพี่วีระก่อนว่า ท่านว่ามาสิ ว่ายุบสภาเนี้ยะอะไร ท่านพูดไปถึงเรื่องปัญหาของมรดกรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการรัฐประหาร คุณหมอเหวงพูดถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่ในระบบของเรา ผมบอกว่าใช่ประเด็นเหล่านี้หยิบมาดู มันไม่นานเกินไปหรอกครับ ที่จะหาคำตอบตรงนี้ได้ ผมคิดว่ามันมีความพอดี แต่เราต้องดำเนินการให้บ้านเมือง มันกลับมาสู่บรรยากาศการเมืองที่ดี ถ้าผมไม่ตอบสนองเลยแน่นอนครับ อันนั้นแหละเราจะต้องเผชิญหน้าไปเรื่อย ถ้าผมไม่คิดจะตอบสนองเลย ผมไม่มานั่งคุยหรอกครับ ผมมานั่งคุยคนที่เขาไม่เห็นด้วย คนเสื้อแดงเขาต่อว่าต่อขานผมเยอะว่า มานั่งคุยทำไม ยุบสภาไม่ได้นะ ผมไม่เคยนะครับ แม้กระทั่งคนเอาดอกไม้มาให้บอกห้ามยุบสภา รับปากให้อยู่ครบวาระ ผมไม่เคยรับปาก เพราะผมรู้ว่ามันมีช่องว่างที่เราต้องมาช่วยกันอุดให้ได้ ที่เป็นช่องว่างระหว่างคนไทยด้วยกันนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะแก้ปัญหาให้กับประเทศ เราต้องคุยกันต่อ เดี๋ยวค่อยๆ กำหนดกรอบเวลาก็ได้ ถ้ากลัวว่ามันจะไม่จบไม่สิ้น เพราะว่าไม่จบไม่สิ้นคงเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าพี่น้องที่อยู่ตามท้องถนนไม่ยอมรับแน่นอน แต่ผมคิดว่าในกรอบเวลาที่เป็นเหตุเป็นผล มีกระบวนการที่รองรับทำให้เรามั่นใจว่า ระบบของเรากำลังเดินมาในทางที่ดี ผมไม่ติดใจหรอก
จตุพร - เมื่อเป็นการพุดคุยก็ตาม ในใจท่านนายกฯ คิดว่าจะไปสู่การยุบสภา
อภิสิทธิ์ - ผมคิดว่า ถ้าเราดู 2-3 ประเด็นที่เป็นหลักๆ ประเด็นที่ 1.คือว่าเรามาคุยเรื่องรัฐธรรมนูญให้ขาด เอากระบวนการที่ผมคิดว่าทุกฝ่ายยอมรับ เราทำตรงนี้ให้เร็ว ถ้ากลัวว่ามันจะช้าเกินไป อาจจะต้องบอกว่า ถ้างั้นต้องรับกติกาที่ท่านไม่ชอบแล้วไปเลือกตั้ง เดี๋ยวจะมีปัญหากันอีกครับ เรื่องที่ว่ายุบพรรคไม่ยุบพรรคนะครับ อะไรต่างๆ กกต.เป็นกลางไหมอะไรอีก มันก็ไม่จบหรอกครับ เพราะฉะนั้นเอาเรื่องกติกาตรงนี้ ซึ่งความจริงมันไม่ควรจะช้าหรอกครับ เพราะว่ามันศึกษากันไม่รู้กี่รอบแล้ว และมีจุดเริ่มต้น 6 ประเด็นที่ ถ้าอิงกับประชามติสักนิดเดียว วันนั้นถ้าท่านร่วมทำสังฆกรรมกับผม ในวันนี้ประชามติเสร็จไปแล้ว 3 เดือนแล้วใช่ไหมครับ ไม่เป็นไรหรอกเราไม่ว่ากัน เพราะเราเคารพการตัดสินใจ แต่ผมจะบอกว่า มันไม่ได้ต้องนาน อันนี้เป็นประเด็นที่หนึ่ง ประเด็นที่ 2.ผมคิดว่าเรากำลังที่จะเริ่มปูทางไปสู่ความสมานฉันท์ ความหมายคือว่า ท่านบอกเมื่อกี้ ทำไมทหารออกมาเพ่นพ่านมากความจริงถ้าไม่มีการชุมนุมใหญ่ ก็ไม่มีทหารมาเพ่นพ่าน และต่างคนต่างอยู่กันไป เขามาผมก็บอกแล้วว่าเขามา เพื่อดูแลความปลอดภัย และเมื่อวานท่านเห็นไหมครับ พอเข้าไปในที่ซึ่งเป็นที่สาธารณะ พูดคุยให้เขาออก เขาก็ออก และเขามาตั้งหลักวางแผนกันใหม่ว่า จะดูแลความปลอดภัยอย่างไร
ส่วนไอ้ที่ตู้มต้าม ตู้มต้ามนะครับ ขอประทานโทษนะครับ ผมไม่เคยไปกล่าวหาใครนะครับ แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการสืบสวนสอบสวนว่ากันไป ซึ่งเราไม่อยากให้เกิดขึ้นนะครับ แต่ความรุนแรงในบางส่วน คือบังเอิญว่าคนเสื้อแดงผมไม่แน่ใจ มันมี นปช. มีแดงสยาม เสธ.แดง นี่แดงอีกประเภทหนึ่งใช่ไหมครับ ไม่ได้พูดเหมือนกันเสมอไป เราต้องพยายามทำให้ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความสงบ ผมว่าเวลาที่ไม่นานเกินไปนัก แม้กระทั่งโดยกระบวนการของรัฐธรรมนูญ มันจะเป็นตัวช่วย ตัวช่วยคือ ท่านยังมีสิทธิในการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธนะครับ เป็นการชุมนุมเอาตามหลักที่ศาลปกครองวินิจฉัยไว้ก็ได้นะครับ ว่าตรงไหนคือ ชุมนุมปราศจากอาวุธ ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ตรงไหนที่ถือว่าเกินเลยไปเช่น การปิดล้อมอะไรก็ว่ากัน ผมไปไหนมาไหนท่านจะชูป้าย จะชูอะไรตบก็ว่าไปนะครับ สามารถทำได้ แต่ว่าประเภทที่ประกาศว่า ไปนี่จะจับจะตะครุบ จะอะไรต่างๆ ขว้างปาของใส่ อันนี้ไม่ได้ อันนี้คือสิ่งที่ผมบอกว่า เรามาใช้เวลาตรงนี้ ทำให้บ้านเมืองกลับมาเป็นความน่ารักของสังคมไทยได้ไหม แล้วเสร็จแล้วเราจะได้มั่นใจในการยุบสภา เพราะถ้ายุบสภาตอนนี้ นปช.ในส่วนของท่าน อาจจะไม่มีปัญหา แต่กลุ่มอื่นอาจจะมี เพราะฉะนั้นเราต้องมาสร้างบรรทัดฐานที่ดีของสังคมเสียก่อน แล้วเราจะได้เดินหน้าไป เท่านั้นเอง ผมมองว่า ถ้าเราจริงใจกันแบบนี้ มีเวลาที่จะคิด ผมไม่ทราบว่าพี่วีระ คิดว่าจะเอายังไง จะกลับไปหารือกับผู้ชุมนุมก่อนก็ได้ ผมต้องไปหารือกับพรรคร่วมก่อนก็ได้ จะมาเจอกันพรุ่งนี้ก็ได้นะครับ ผมไปบรูไน ไปเช้า-เย็นกลับ 5 โมงเย็นกลับมาถึงแล้ว มาคุยกันต่อก็ได้ ผมพร้อมทำงาน 24 ชั่วโมง ผมคิดว่าอะไรที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ผมต้องทำนะครับ
วีระ - คืออย่างว่า นักการเมืองคุยกัน 3 วัน 3 คืนก็คุยกันได้ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน เพราะคุณชำนิรู้ดี นั้นเป็นอาหารของนักการเมือง การคุยกัน แต่บังเอิญเรามีเวลาจำกัดด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย มีประเด็นที่จะฝาก อาจจะกำหนดกันต่อหรือไม่นะครับ คือ ประเด็นที่ 1.ผมต้องเรียนท่านนายกฯว่า เสื้อแดงเนี้ยะ เอารัฐบาลละกัน มีลูก 5 คน รัฐบาลแบ่งมรดก 4 คน เฉยๆ ไอ้ 1 คนบอกว่า ไม่เอาผมไม่พอใจ เพราะฉะนั้นท่านบอกว่า ต้องทำ 4 คนก่อน อันนี้มันก็ลำบากอยู่นะ เพราะ 4 คน มันไม่ว่าอะไร ไอ้คนว่าอะไรต้องมาพูดกัน อย่างที่พูดกันอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ 4 คน มาเป็นอุปสรรคสำหรับข้อเรียกร้องของ 5 คน มันจะเป็นปัญหา นี่คือข้อที่ 1 เสื้อแดงมันก็อย่างว่า เป็นคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พรรคการเมือง แต่ว่ามันคล้ายพรรคการเมือง มีข้อความคิดของเขา และมีระเบียบมีวินัยพอสมควร แต่ว่าจะให้สั่งการกันทีเดียวไม่ได้ แต่ว่าส่วนใหญ่ยังรักความสงบ รักความสันติ อันนี้คือ คนเสื้อแดง ซึ่งเป็นปัญหาที่ท่านต้องพิจารณาต่างหากเป็นพิเศษ เพราะว่าอย่างผมบอกว่า อีก 4 คนเขานิ่งๆ แล้วแต่ว่าเขาออกมาแสดงด้วยก็โอเค ออกมาร้องทุกข์ด้วยค่อยว่ากัน อันที่ 2.ความคิดเรื่องกติกาครับ คือเราไปยุบสภา แล้วไปหากติกากัน กับทำกติกาก่อน แล้วค่อยยุบสภา ข้อนี้เป็นข้อแตกต่างชัดเจน
ปัญหาของเสื้อแดงคือว่า เราคอยจัดการกับกติกามาตลอดเวลา แล้วมันสิ้นหวัง แม้แต่กับสภาเองนะครับ ไม่ใช่กับรัฐบาลอย่างเดียว กับรัฐบาลก็สิ้นหวัง เพราะฉะนั้นเขามีความเห็นว่า มันต้องยุบสภาแล้วเลือกตั้ง แล้วมาทำกติกา ถ้าใครเป็นตัวแทนของก้อนไหน ชนะก็ทำกติกานั้น ใครเป็นตัวแทนอีกก้อนหนึ่ง ชนะก็ไปจัดทำกติกามา เป็นความเห็นโดยสรุปของเสื้อแดงเป็นแบบนี้ จึงมาเรียกร้อง ถ้าหากว่าท่านนายกฯ มีความเห็นว่าน่าจะทำกติกาเสียก่อน 1. ก็คือว่า เวลาก็คงจะไม่น้อย ก็คงจะต้องใช้เวลานาน เพราะว่าที่ผ่านมาก็อย่างว่า แค่ร่างของ คปพร.ของคุณหมอ 70,000 เสียง สภาไม่สนใจของเขาเลย 2 แสนเซ็นมา แต่ตรวจสอบแล้ว ผิด/ถูก ตรวจสอบดูแล้ว 70,000 ก็ปรากฏว่าคาอยู่อย่างนั้น นี่คือความสิ้นหวังต่อการจะพึ่งพิงสภา นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นความแตกต่างจึงอยู่ที่ว่า เราจะมาทำกติกาเสียก่อนแล้วไปเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งเพื่อมาทำกติกา ตรงนี้ล่ะครับเป็นประเด็นที่ต้องฝากให้ท่านคิด
อภิสิทธิ์ - คืออย่างนี้ครับ 1. เลือกตั้งแล้วทำกติกา หรือทำกติกาแล้วเลือกตั้ง คือผมก็เปรียบเทียบว่าความพยายามที่จะเลือกตั้งแล้วมาทำกติกา มันทำกันมารอบหนึ่งแล้ว ปี 50 ก็คล้ายๆ แบบนี้ครับ ทีนี้ผมคิดว่าวันนี้เราไม่ได้เริ่มต้นจาก 0 สิ่งที่สองสภาเขาเห็นพ้องกันไว้เบื้องต้นระดับหนึ่งก็มี 6 ประเด็นที่ว่า ทีนี้ความละเอียดอ่อนของบางประเด็น เราก็ยอมรับด้วยกันทั้งสองฝั่งเห็นตรงกันอยู่แล้วว่า ถ้าประชาชนว่าอย่างไรเราก็เอาอย่างนั้น ผมว่าเรากำหนดตารางเวลาได้เลย ถ้าอยากจะเดิน มีประชามติ จบเลย แล้วแต่ละตัวมีตัวล็อกของมันที่ชัดเจนพอสมควร เราก็ว่ากันไป อันนี้ประเด็นหนึ่ง ส่วนลูก 5 คน ผมขออนุญาตพี่วีระนะครับ คือลูก 4 คนที่เฉยอยู่ ไม่ใช่เขาไม่มีข้อเรียกร้อง บางคนเขาเก็บไว้ในใจ บางคนเขาก็บอกว่าเขารอเวลา บางคนเขาก็พูดนะครับว่า ถ้าไปตามใจ 1 คน เขาก็จะได้เรียกร้องบ้าง เขาจะได้กลับไปตามใจเขาบ้าง มันไม่ได้หรอกครับ คนเสื้อแดงก็ย้ำเรื่องความเสมอภาคอยู่แล้ว ใครจะร้อง ใครจะไม่ร้อง ต้องฟังทุกคนครับ ต้องฟังทุกคน อันนี้คือสิ่งที่ผมอยากจะให้เราระมัดระวัง เพราะว่าที่จริงวันนี้ผมทราบว่าบางคนก็เริ่มขยับแล้ว บอก เฉพาะที่ผมมาเจรจานี่เอาแล้ว จะขอเคลื่อนไหวบ้าง จะได้เจรจากับเขาบ้าง คือผมก็ไม่ต้องการสร้างค่านิยมในลักษณะนั้น อย่างที่ผมบอก ผมเคารพสิทธิในการชุมนุมนะครับ แล้วก็แสดงออกมาโดยตลอดว่าเคารพสิทธิในการชุมนุม อยู่ในขอบเขตนั่นล่ะครับ เหมือนในวันนี้ที่เรามานั่งโต๊ะตรงนี้ได้ ผมก็ขอบคุณ เราคุยกันว่าถ้าสมมุติจะลดการเผชิญหน้าตรงหน้าราบ 11 เสีย นัดเวลากันเลย ก็เจอกันได้ เราก็ทำได้แล้ว เราทำมาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็เดินต่อไปอีกก้าวหนึ่ง มาสู่เนื้อหาสาระที่พี่น้องเสื้อแดงเรียกร้องกัน มาคุยกัน ผมว่ามันไปได้
จตุพร - คือประเด็นรัฐธรรมนูญ คือผมอยู่ในสภา และเป็นคนที่พูดเรื่องนี้กันมากคนหนึ่ง คือผมไม่มีความเชื่อเลยว่าสภาชุดนี้ แม้กระทั่งตัวท่านนายกรัฐมนตรีรับปากและจะเดินตามแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ก็ขนาดพรรคร่วมฯ กับท่านเสนอมา ท่านยังไม่รับเลย
อภิสิทธิ์ - นี่ไงฮะ ผมบอกว่าถ้าเรามีกระบวนการที่แสดงออกถึงความยอมรับประชาชนนี่มันจบสำหรับทุกพรรค
จตุพร - ทีนี้ประเด็นของผมก็คือว่า พวกผมนี่พร้อมจะไปตายเอาดาบหน้า และกติกาอันนี้ที่ท่านคิดว่าฝ่ายผม หรือฝ่ายใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ ต้องให้ประชาชนเป็นคนตัดสิน ที่พวกผมประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมตอนนั้นไม่ใช่ว่าจะไปขัดขวาง แต่ผมไม่เชื่อว่าความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดขึ้น พวกผมบอกกับเพื่อนๆ ว่าเราต้องอดเปรี้ยวไว้กินหวาน นั่นคือหมายความว่าเราไประหว่างทางเราก็ถูกทิ้งอยู่ดี ไม่ถึงทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ และก็มาสะท้อนตอนที่พรรคร่วมฯ พวกท่าน ยื่นแก้ไขเพียง 2 ประเด็นจาก 6 ประเด็น แล้วสุดท้ายก็ไปค้างเติ่ง ไปต่อร่าง คปพร.เฉกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเรื่องกติกาจึงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะฉะนั้นก็ให้ไปตายดาบหน้า คือหมายความว่าเอาเสียงประชาชนเป็นตัวตั้ง ถ้าประชาชน ลูก 4 คนที่ท่านพูด เขาเห็นด้วยกับท่าน ท่านก็ได้ 280 หรือ 240 เป็นอย่างต่ำ ก็คือหมายความว่าคนที่เขาเห็นด้วยกับท่าน ก็สามารถที่จะออกมาสนับสนุนท่านได้ เพราะฉะนั้น ณ ขณะนี้มันอยู่ที่ท่านว่าจะตัดสินใจอย่างไร คือถ้าท่านเห็นว่าท่านมีความมั่นใจว่าเสียงส่วนใหญ่เอาท่าน ท่านจะยุบสภาทำไม เพราะฉะนั้นท่านก็อยู่กับความเชื่อของท่านไป แต่ว่าความเชื่อของผมเห็นว่าวันนี้มันไปกันไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าใครจะเสียงข้างมากข้างน้อย ตราบใดที่ยังไม่ไปหย่อนเสียงบัตรเลือกตั้ง มันกล่าวอ้างกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมจึงเรียนกับท่านว่า ท่านควรจะเป็นคนที่สง่างาม เพื่อการเลือกตั้งครั้งต่อไป ถ้าได้คะแนนเหมือนอย่างที่ว่า ทุกคนก็จะไม่ไปวอแวกับท่าน แต่บ้านเมืองวันนี้มันไปด้วยสถานการณ์นี้ไม่ได้
สอง ที่ท่านบอกว่าการปูทางสู่สมานฉันท์นั้น ผมเองก็เห็นว่าการดำรงอยู่ของท่านมันไม่ไปสู่หนทางนี้เลย มิหนำซ้ำ ที่ผมใช้คำว่าบาดแผลยิ่งลึก แล้วก็ลึกมากขึ้น ท่านไม่ต้องห่วงใย พวกผมนี่ชัดเจน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน กลุ่มอื่นก็เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของเขา ไม่เกี่ยวกัน ผมต้องเรียนอย่างนี้นะครับ แม้กระทั่งว่าคนของท่านไปชุมนุมพันธมิตรฯ ก็เป็นเรื่องของบุคคล แต่ผมเรียนอย่างนี้ว่า พวกเรามีข้อเสนอที่มีความชัดเจน แล้วท่านนายกรัฐมนตรีต้องตัดสินใจ ซึ่งเป็นอำนาจของท่าน เพราะผมเชื่อว่าท่านเองก็คงจะไม่ยุบสภาหรอก ฟังท่านดู และผมเองก็ไม่เชื่อว่าสภาชุดนี้จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ นี่ผมอยู่ในตรงนั้นและผมเห็นมาแล้วว่ามีความพยายาม 2 ครั้ง และล้มเหลวกันโดยสิ้นเชิง ยิ่งครั้งที่ 3 ในวันนั้นท่านก็จะต้องให้เหตุผลอีกว่า แม้ว่าเป็นการพูดของท่านกับผู้อื่นก็ตาม แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเรื่องของสภา เรื่องของสภาท้ายที่สุดก็นำพาสู่การล้มเหลว ผมไม่ต้องการให้การเจรจาครั้งนี้ ผมเองรู้ทั้งรู้ และก็มารับปากบนสถานการณ์ที่ผมรู้เต็มอกว่ามีความเป็นไปไม่ได้ และผมก็ไปหลอกลวงพี่น้องประชาชนเขาว่านี่คือความหวัง เพราะฉะนั้นกติกาเรื่องเขตเลือกตั้ง ท่านมั่นใจท่านได้เปรียบ นี่คือหมายถึงว่าเป็นจุดยืนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของท่านดีกว่าว่า เรื่องคลิปเสียง คือท่านไม่สบายใจ ท่านก็ต้องแจ้งความดำเนินคดีให้กระบวนการยุติธรรมว่าไป แล้วก็ไปต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ผมก็ต้องเอาไปต่อสู้กับท่าน ก็ต้องใช้หลักฐานเหตุผลต่างๆ ประกอบ ทุกๆ อย่างก็มาว่ากัน คือเราใช้กระบวนการยุติธรรมไปว่ากัน แฟร์ๆ ไม่มีปัญหาอะไร คือท่านเป็นห่วงว่าตอนเลือกตั้งประชาชนจะเข้าใจอะไรผิด โยนให้เป็นเรื่องของศาลยุติธรรมว่าไป ก็มี 3 ศาล ว่าไป
เพราะฉะนั้นผมสรุปอย่างนี้แล้วกันว่า คือท่านต้องตกผลึกว่า ถ้าท่านมั่นใจว่าเหตุผลที่ท่านมี การดำรงอยู่ของการเป็นนายกฯ ของท่าน ท่านยังอยู่ได้ต่อไป และบ้านเมืองจะเป็นเหมือนอย่างที่ท่านคิด ซึ่งผมมีความคิดต่าง ก็ให้ท่านได้ตัดสินใจ แล้วท่านเห็นว่าวันหนึ่งที่ท่านคิดเห็นตรงกับพวกผม ท่านค่อยมาคุยกันใหม่ แต่ผมดูว่าการคุยกัน คือผมเข้าใจท่าน ท่านเป็นคนที่พูดมีเหตุผลมากมาย แต่เรารู้ว่าในโลกของความเป็นจริงนั้น ตอนนี้มันไปกันไม่ได้ทุกฝ่าย ผมไม่ได้ทายท้าอะไร แม้กระทั่งกลไกของกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีของท่านก็ให้ อบต.ไปใช้งบประมาณแสนบาท หมู่บ้านละ 25 คน ก็ทำแล้วก็ปรากฏการณ์อย่างที่เห็น แล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ที่ใช้งบประมาณแผ่นดินนำมาเพื่อให้ประชาชนมาต้านกันเอง เพราะฉะนั้นท่านอาจจะมีงบประมาณมากมายที่มาจ่ายเบี้ยเลี้ยงทหารที่มาอยู่ดูแลอยู่เวลานี้วันละ 60 กว่าล้าน ที่ผมทราบนะ แล้วก็ได้ครบบ้าง ไม่ครบบ้าง ท่านต้องการให้ประเทศเป็นอย่างนี้หรือ เพราะฉะนั้นเมื่อท่านมั่นใจว่าท่านได้รับความนิยมอย่างท่วมท้น ท่านจะได้เสียงข้างมาก ทำไมไม่คืนอำนาจกลับให้พี่น้องประชาชน แล้วท่านก็จะกลับมาอย่างผู้ยิ่งใหญ่ ในฐานะนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการยอมรับจากประชาชน แทนที่อยู่ไปวันนี้มันยิ่งจะสร้างปัญหาให้กับตัวท่านเองและประชาชน
อภิสิทธิ์ - ผมก็เรียนสั้นๆ นะครับ ผมไม่ได้สนใจหรอกว่ายุบสภาแล้วจะแพ้/ชนะ ไอ้นั่นไม่สำคัญเท่ากับว่ายุบสภาแล้วบ้านเมืองเดินหน้าได้จริง บรรยากาศที่ทำกันอยู่ขณะนี้ ไปเลือกตั้งมีแต่คนกลัวนะครับ กลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งบาดหมางกัน ลูกที่ยังไม่ร้อง ก็จะมีคนร้องเพิ่มขึ้นมาอีก แล้วก็จะทำให้กระบวนการของเราในวันข้างหน้าที่จะประคับประคองประชาธิปไตยยากขึ้น วันนี้ผมไม่ได้มองว่ามันต้องเป็นอย่างนั้น มันต้องเป็นอย่างนี้ วันนี้ผมมองว่าพวกเราแม้จะไม่ใช่ทุกฝ่าย อยู่ตรงนี้ ถ้าจริงใจที่จะทำให้มันสงบ ทำได้ และถ้าผมมาหลอกลวงท่านนะ คือหมายความว่าไม่พยายามตกลงอะไรกันเลย รับปากอะไรไปแล้วไม่ทำ เชื่อเถอะครับ วันนั้นใครก็อยู่ไม่ได้ ผมก็มีประสบการณ์ทางการเมืองมาเยอะพอสมควร ผมทราบครับว่ามาอย่างนี้แล้ว มาต้องเปิดใจกว้าง มาต้องมีความจริงใจ ผมไม่ยื้ออะไรเลยครับ ผมถึงบอกว่าถ้าสนใจจะคุยกัน เราหาคำตอบได้ แต่ถ้าบอกว่าวันนี้ยังไงก็เดินไปด้วยกันไม่ได้ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ มันก็ยาก อยู่ที่ท่านล่ะครับ เพราะว่ารัฐบาลมาแล้วนะครับ มาแล้ว เพื่อที่จะบอกว่ามาหาคำตอบร่วมกันสำหรับสังคม มันไม่ใช่เรื่องว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะยอมไปตายดาบหน้า ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะให้สังคมไปตายดาบหน้าครับ ผมต้องพยายามหาคำตอบให้กับสังคมวันนี้ เพราะเป็นความรับผิดชอบของผม
จตุพร - คือ ณ วันนี้ ลูกที่ไม่ได้ร้องเขามีพรรคการเมืองของเขา ซึ่งความจริงเขาร้องมานานกว่าเพื่อน เขาก็ไปเสนอตัวให้กับประชาชน ที่ผมเรียนกับท่านนายกฯ อย่างนี้ก็คือว่า ถ้าเราเคารพเสียงประชาชนจริงตามที่เรากล่าวอ้างกัน ต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้าง ทั้งท่านและผม เราก็ควรให้ประชาชนเจ้าของประเทศเขาเป็นคนตัดสินใจ
อภิสิทธิ์ - ผมไม่ได้มีปัญหาครับ ถ้าเราสามารถจัดการเลือกตั้งให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้
จตุพร - พวกผมเองก็จะมาชวนกับท่าน ว่าพรรคการเมืองส่วนพรรคการเมือง ประชาชนที่เป็นกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อบ้านเมืองกลับสู่สถานะเดิมที่เราสามารถไปไหนดได้ ใช้ชีวิตตามปกติกันทุกฝ่าย ท่านก็ไปหาเสียงได้ตามปกติ ในระหว่างท่านเป็นนายกฯ รักษาการหรืออะไรก็ตาม สมมุติว่ายุบสภาไปแล้ว ท่านก็ไปทำภารกิจหน้าที่ในเวลาราชการ ไม่มีใครไปต่อต้าน
อภิสิทธิ์ - ผมเห็นด้วยเลยครับ แต่ผมคิดว่ามันมีกระบวนการเวลาที่ต้องพิสูจน์กันสักนิดหนึ่งวันนี้ เพราะอย่าลืมนะครับเวลาเกิดอะไรขึ้น ท่านก็พูดล่วงหน้าไว้เลยบอกนั่นไม่ใช่แดง นั่นเป็นแดงเทียม คือมันต้องมาช่วยกันนะครับ วันนี้อย่างที่บอก ตูมตามๆ ไม่รู้ฝ่ายไหน เราไม่ต้องโทษกันดีกว่า เราช่วยกันหาคนที่ทำแล้วมาช่วยกันประณาม แล้วช่วยกันไม่ให้มันเกิดขึ้น ผมถือหลักอย่างนี้ ไม่งั้นบ้านเมืองก็เดินไปไม่ได้หรอกครับ ต่างฝ่ายต่างก็พยายามโยน โยนกันไปโยนกันมาแล้วก็เรียกร้อง
จตุพร - ท่านนายกฯ ครับ แดงแท้ แดงเทียม ดูกันไม่ยาก เพราะฉะนั้นการที่ผมบอกว่า สมมุติว่าเราตั้งเวลาไม่นานนัก ท่านก็ยังปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และเมื่อถึงวันยุบสภา มันก็มีเวลาที่ทดสอบหัวใจกันอยู่ เพียงแต่ว่าทุกฝ่ายจะต้องจริงใจ เพราะฉะนั้นที่พูดในเวลานี้ เป็นเวลาที่ไม่นานนัก เพราะฉะนั้นเพื่อให้ประเทศมันเดินหน้าไป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปที่ไหน ไม่ต้องรายล้อมอย่างนี้ ท่านก็อยากจะดูวิวพื้นถนนบ้าง แทนที่จะมองมาจากข้างบน
อภิสิทธิ์ - ผมไม่มีปัญหาหรอกครับ ไม่รายล้อมก็ได้ครับ แต่อย่าทำผิดกฎหมาย
จตุพร - คืออย่างนี้ คือสถานการณ์วันนี้มันอยู่ ณ จุดของความไม่พอใจอย่างแรง มันเป็นแผลที่ถูกเปิดมาตั้งแต่ปี 48 จนกระทั่งถึงยึดอำนาจ 19 กันยายน ปี 49 อย่างที่ท่านทราบกัน แล้วจนกระทั่งรัฐบาลของท่านไปจัดตั้งในค่ายทหาร มันยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของคน เพราะฉะนั้นที่พวกผมเรียกร้องให้ยุบสภา ขอกลับไปที่จุดของความเท่าเทียมเสียก่อน เมื่อเท่าเทียมกันแล้วประชาชนเจ้าของประเทศเขายกอำนาจของเขาให้กับใคร เราทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็น นปช. เป็นพันธมิตรฯ เป็นประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ภูมิใจไทย รวมใจไทยชาติพัฒนา หรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นทุกฝ่ายร่วมเคารพกติกาอันนี้ เป็นสัตยาบันที่ชวนให้มาลงกันเพื่อชาติกันได้ เพียงแต่ว่าการกล่าวอ้างว่าคนที่ไม่ออกมาเวลานี้ แล้วจะออกมาวันหน้า เราก็เชิญชวนมาสิครับว่า คืนอำนาจให้กับประชาชน เมื่อประชาชนเจ้าของประเทศเสียงข้างมากเขากำหนดอย่างไร เราก็เคารพกันอย่างนั้น แล้วบ้านเมืองมันจะไป เดินหน้ากันไปได้ มันไม่มีความหมางเมินกันเลย แล้วทุกคนยอมรับกติกาและสู้กันตามกติกา นี่แฟร์ที่สุด ท่านกลับมาท่านก็กลับมาอย่างคนยิ่งใหญ่ ถ้าประชาชนเลือกใครท่านก็เคารพคนนั้น เหมือนกับพวกผมก็จะเคารพคนนั้น และระหว่างหาเสียงต่างคนต่างใช้สิทธิเสรีภาพกันอย่างเต็มที่ ให้บ้านเมืองมันไปอย่างนี้ไม่ดีกว่า? การที่ท่านนั่งนับตำแหน่งนายกฯ และเกิดปัญหาอย่างนี้ แล้วก็ไม่มีทางที่จะจบ แต่ถ้าท่านมั่นใจท่านคุมสภาพประเทศนี้ได้ต่อไป ท่านก็ไม่ต้องยุบสภา พวกผมก็ต่อสู้กันไป อันนี้แฟร์กันที่สุด
กอร์ปศักดิ์ - ขออนุญาตพี่วีระ เพราะว่าได้คุยกับคุณหมอเหวงมาในช่วงประสานงาน แล้วก็ได้คุยกับพี่วีระด้วย ความรู้สึกเหมือนๆ กันก็คือว่า ต้องหาข้อยุติให้ได้ เพราะว่าเป็นห่วงพี่น้องที่เสื้อแดงที่อยู่ตรงผ่านฟ้าฯ หลายหมื่นคน ทุกคนก็ตั้งความหวังว่าให้มีข้อยุติ เป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่ไม่ได้นั่งอยู่อีกหลายสิบล้าน ที่ก็กังวลแล้วก็รู้สึกดีอกดีใจที่พวกเราจะมานั่งคุยกัน ชั่วโมงกว่าๆ ที่ผ่านไป ก็คงไม่ว่ากัน ก็ระบายกันนิดหน่อย ในเรื่องของการเจรจา ซึ่งท่านนายกฯ อภิสิทธิ์พูดเมื่อสักครู่ ว่าเมื่อพูดเรื่องอดีตกันไปบ้างแล้ว จริงๆ เราควรจะพูดสิ่งที่จะเดินต่อได้จะดีกว่า เพราะหากจะพูดย้อนกลับไปเรื่องอดีต มันไม่จบหรอกครับ ทีนี้ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่า พูดกันหนักเรื่องกติกา ว่ากติกามันแก้ยาก ส.ส.บอกว่าไม่เชื่อว่าจะแก้ได้
จตุพร - ครับ เชื่ออย่างนั้นจริงๆ ว่าแก้ไม่ได้
กอร์ปศักดิ์ - ผมก็เชื่อคล้ายๆ ท่าน แก้ยากครับ ผมก็เป็นผู้แทนมา รู้จักพี่วีระมาตั้งแต่ปี 29 ก็ยังไม่ค่อยได้เห็นครับว่ารัฐธรรมนูญมันแก้กันได้ง่าย ทีนี้เมื่อแก้ยาก ก็ถามว่าแล้วจะทำอย่างไร พี่วีระเสนอมาว่า ให้คนที่ชนะการเลือกตั้งเป็นคนที่ไปดำเนินการแก้ไข มันก็มีคำถามนิดหนึ่งครับว่าผู้ชนะมันชนะเป็นเสียงข้างมากเต็มไปหมดหรือเปล่า แล้วประชาชนที่เขาเลือกให้ชนะ เขาอยากให้แก้ประเด็นไหนบ้าง อย่างไร ความจริงเรื่องของการสอบถามประชาชนในประเด็นการแก้รัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องปกติที่ประเทศที่เขาพัฒนาแล้วเขาทำกัน ความหมายก็คือว่า เลือกตั้งก็เลือกไป แต่ยังมีอีกใบหนึ่งที่ระบุชัดว่าอยากให้แก้ประเด็นไหนบ้าง ช่วยบอกผมหน่อย แล้วใครจะชนะหรือแพ้ต้องแก้ตามนั้น ก็หมายถึงว่าแก้ตามที่ประชาชนต้องการ ไม่ใช่แก้ตามใจพรรคการเมืองที่ชนะต้องการ วิเคราะห์ออกไหมครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราจะพูดกันว่ากติกา มันยาก แล้วก็หากพูดถึงกติกา เดี๋ยวก็ไม่ได้ยุบเสียที เพราะคุยกติกากันไม่รู้เรื่องเสียที เราก็สามารถที่จะเอาประเด็นต่างๆ ซึ่งต้องมานั่งคุยต่อว่ามีอะไรบ้าง แล้วเราก็แยกประเด็นนั้นออก อย่างนี้ก็ทำได้ นี่ก็เป็นการพบกัน คือผมกังวลนะครับ กังวล 3 เรื่อง คุยกันตรงนี้แล้ว เดี๋ยวก็จะจบ แล้วก็ต่างคนต่างเดินกลับ แล้วก็พี่น้องประชาชน 4-5 หมื่นคน 6 หมื่น แสนนึง ที่เป็นกองเชียร์ของท่านก็จะผิดหวัง ที่เหลือจากนั้นก็จะผิดหวัง ตกลงเราก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของเรา ผมคิดว่าที่ท่านนายกฯ เปิดไว้เมื่อสักครู่ ถ้าเราจะเดินต่อ ก็พรุ่งนี้เช้าท่านก็จะต้องเดินทางไป ท่านกลับมาแล้วเราก็คุยต่อ ในระหว่างที่ท่านไม่อยู่ผมจะคุยกับพี่วีระ เพื่อวางแนวไว้ก็ย่อมทำได้ ถ้าหากเราเดินไปอย่างนี้ ผมคิดว่มันน่าจะมีจุดจบ น่าจะมีจุดที่เราพอจะหาทางออกกันได้
วีระ - ก็น่าสนใจ เราได้คุยกันครบ ได้แสดงความเห็นทุกคน เดี๋ยวคุณหมอก็อยากจะคุยต่อ แต่ผมแทรกตรงนี้ จะถามว่าเราจะไม่ไปห้องน้ำกันเลยเหรอ สักหน่อยไหม
เหวง - คือผมมีความรู้สึกว่าท่านนายกฯ มองอะไรต่างๆ ดูหรูเลิศไปเสียทั้งหมด ผมไม่แน่ใจว่าท่านนายกฯ ยอมรับหรือเปล่าว่าวันนี้ความขัดแย้งทางการเมืองมันลึกซึ้ง กว้างขวาง และขยายตัวมากมาย คือท่านนายกฯ มองไม่เห็นตรงนี้ผมก็เป็นห่วงท่านนายกฯ นะครับ ข้อที่ 1 มันไปรวมศูนย์อยู่ที่ท่าทีต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันนี้ คือความเห็นทั้งหมดมันมารวมก้อนตกผลึกที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ คือท่าทีต่อรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ท่านนายกฯ อาจจะสงสัยว่าคุณหมอคิดอย่างไร เอาง่ายๆ 2-3 เรื่อง ที่นายกฯ บอกว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่เคยสั่งฆ่าคน ผมสงสัย ด้วยความเคารพท่านนายกฯ ผมเห็นภาพจากบีบีซี จากซีเอ็นเอ็น ซีซีทีวี ฝรั่งเศส เห็นภาพชัด ทหารชันเข่าและเล็งใส่ประชาชน กระสุนทุกนัดก็กระสุนจริงนะ ไม่มีกระสุนปลอมเลย เพราะผมมีความรู้ทางการทหารนิดหน่อย คือปลายมันแหลม ถ้ากระสุนปลอมหัวมันต้องบุบบิบบู้บี้ แล้วการที่ชันเข่ายิง ทางภาษากฎหมายเขาเรียกว่าเล็งเห็นผล หรือประสงค์ต่อผล แล้วพลทหารไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ถ้านายไม่สั่ง แล้วในระดับ ขออนุญาตท่านนายกฯ นะครับ ผมยังไม่ได้กล่าวหาท่านนะ เพียงแต่ว่านายระดับเหนือๆ ขึ้นไปในที่สุดก็ต้องไล่ไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในที่สุดก็น่าจะถึงรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงภายใน แล้วท่านนายกฯ ก็คงจะพ้นความรับผิดชอบตรงนี้ไม่ได้ ไม่ทราบท่านนายกฯ จะเห็นหรือเปล่า แต่ผมเห็นและมีภาพด้วย ถ้าท่านนายกฯ อยากได้ภาพผมจะเอาให้ ทหารที่ควงปืน M16 และดูเหมือนว่าบางคนจะเล็งใส่ประชาชน สวมปลอกแขนสภากาชาด มีภาพนะฮะ ท่านชำนิไม่ต้องส่ายหน้า ผมมีภาพ ผมให้ท่านได้ คือกำลังจะอธิบายท่านนายกฯ ว่าท่านอย่าปฏิเสธเถอะครับว่าวันนี้มันมีความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงมาก และผมเองก็เลย ท่านนายกฯ ถามก่อนเลยว่าคุณยุบไปทำไมเพื่อประโยชน์อะไร ผมจะบอกท่านนายกฯ ว่าที่จริงท่านนายกฯ เคยไปอยู่ประเทศอังกฤษ และน่าจะมีโอกาสไปทางประเทศยุโรปหลายประเทศ จริงๆ ทุกประเทศที่เป็นอารยประเทศ ที่เป็นประชาธิปไตย เวลามีความขัดแย้งทางการเมืองที่ดุเดือดเลือดพล่าน ทุกประเทศตัดสินใจในการยุบสภาและคืนอำนาจสูงสุดให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองใหม่ทั้งสิ้น เขาไม่พูดเรื่องอื่นเลยครับ กติกา ไม่ต้อง จะซื้อเวลาต่อไป เพราะผมไม่อยากให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปภายใต้วิกฤตการณ์ที่นับวันจะแหลมคมและแตกแยกหนักหน่วงลึกซึ้งมากว่านี้ยิ่งขึ้น อย่างที่ท่านนายกฯ อาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่นะครับ เขาพูดว่า ขณะนี้มันกลายเป็นความขัดแย้งทางชนชั้นไปแล้ว ระหว่างชนชั้นอภิสิทธิ์ชน จำนวนน้อยนิด กับชนชั้นมหาศาลอยู่ข้างล่าง แล้วนี่ถ้าแก้ปัญหาไม่ถูกความขัดแย้งทางชนชั้นก็จะขยายตัวบานปลาย อาจจะกลายเป็นสงครามแห่งชนชั้น ท่านนายกฯ ก็อาจจะพูดว่าไม่เป็นไร ตรงนี้ก็เก็บเป็นประเด็นที่เราจะอภิปรายกันต่อไปก็ได้
ที่ผมยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็คือว่า หนทางเดียวที่อยากจะกราบเรียนท่านนายกฯ ด้วยความเคารพ และเป็นประโยชน์ต่อท่านเองด้วย เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองด้วย วิธีง่ายๆ ที่จะแก้ความขัดแย้งทางการเมือง ก่อนที่มันจะบานปลายไปมากกว่านี้ก็คือว่า ยุบสภาเถอะครับ อย่าไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย อย่าชวนผมไปพูดเรื่องอื่นเลย ที่เมื่อกี้ท่านนายกฯ ชวนผมไปพูดเรื่องรัฐธรรมนูญเสียยาว ผมขออนุญาตที่จะดึงท่านนายกฯ กลับมา อย่าชวนผมไปพูดถึงเรื่องอื่นเลย ชวนว่าเราจะยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่มันบานปลายอย่างหนักหน่วง ลึกซึ้ง แทบจะทุกครัวเรือนอยู่แล้วในวันนี้ อันตั้งต้นด้วย 19 กันยาฯ 2549 โดยการยุบสภาแล้วก็คืนอำนาจทางการเมืองให้ประชาชนเถอะครับ แล้วประชาชนก็จะตัดสิน แล้วถ้าประชาชนเขารักท่านนายกฯ เขาจะเลือกมาด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เชื่อผมเถอะครับ 280 เสียง เป็นไปได้แน่นอนถ้าประชาชนรักท่านนะครับ
อภิสิทธิ์ - ก่อนจะเข้าห้องน้ำ สั้นๆ นะครับ ผมทราบดีครับว่าความขัดแย้งมันลึกซึ้ง กว้างขวาง ขยายตัว มันจึงลึกซึ้ง กว้างขวาง และขยายตัวเกินกว่าที่จะแก้ได้ด้วยการยุบสภาโดยไม่มาทำบรรยากาศบ้านเมืองให้ดีเสียก่อน ผมเรียนนะครับ เรื่องเหตุการณ์เดือนเมษาฯ เราเปิดโอกาสให้สภาเขาสอบเหตุการณ์ต่างๆ อย่างละเอียด ท่านมีอะไรเพิ่มเติมส่งมาได้ครับ ผมเอาจริงเอาจังอยู่แล้วเรื่องนี้ เพราะผมมีความจริงใจ ไม่เคยพยายามที่จะปิดบังอะไรทั้งสิ้น แต่ที่ผมพูดเรื่องคลิปเสียงเพราะว่ามันพิสูจน์แล้วมันตัดมาจากตอนไหน อย่างไร กี่จุด กี่วินาที วินาทีไหน แต่ก็มีการนำไปขยายผล ผมจบสุดท้ายเท่านั้นล่ะครับที่บอกว่า ประเทศที่เขาดูความขัดแย้งแล้วก็กลับไปหาประชาชน ส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องอย่างนี้ครับ เรื่องนโยบาย เรื่องความเป็นอยู่ แล้วก็ประเทศทั้งหลาย เขาก็จะไม่ปล่อยให้ค่านิยมของการแสดงออกซึ่งมีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าต้องรบราฆ่าฟันกันนะครับ แต่ว่าเป็นอารมณ์ความเกลียดชังอะไรต่างๆ ในสถานการณ์อย่างนี้เขาจะพยายามมาปรับบรรยากาศให้มันดี แล้วก็กลับไปเลือกตั้ง ผมไม่ซื้อเวลาหรอกครับ แต่ผมไม่ต้องการที่ว่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าวันนี้แล้วสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าวันข้างหน้า โดยเฉพาะถ้ายังมีการไปพูดเกินเลยจากเรื่องยุบสภา ไปเรื่องชนชั้น ไปเรื่องอะไรต่างๆ มันเป็นบาดแผล ซึ่งจะไม่สามารถแก้ได้เลยด้วยการยุบสภา ผมไม่ได้ชวนคุยเรื่องอื่นครับ ผมเริ่มให้พี่วีระ พี่วีระเป็นคนอธิบายว่าที่มาของปัญหามันมาจากเรื่องรัฐธรรมนูญที่มาจากรัฐประหาร แล้วก็เป็นจุดที่สะสมมาถึงเรื่องการเปลี่ยนรัฐบาล แล้วก็มาเป็นข้อเรียกร้องในการยุบสภา มันเป็นเหตุเป็นผลกัน แต่ถ้าวันนี้เราเพียงแต่จะมาบอกว่ายุบ/ไม่ยุบ เราคงไม่ต้องมานั่งกันอย่างนี้หรอกครับ เราก็ต้องเอาเหตุเอาผลมาว่ากัน ผมว่าเราคุยกันถึงในอนาคตนะครับ
จตุพร - คือท่านนายกฯ สบายใจได้ว่าอะไรที่มันเป็นข้อกฎหมาย เช่นเรื่องคลิปเสียงที่ท่านว่า เข้ากระบวนการยุติธรรมไปว่ากัน
อภิสิทธิ์ - ไม่มีปัญหา ท่านอย่าว่าศาลลำเอียงก็แล้วกันนะ
จตุพร - คือผมไปในศาลผมก็จะบอกว่าผมแสวงหาความยุติธรรม ก็ดำเนินการกันไป สู้ทางกระบวนการยุติธรรม ท่านชนะผม ผมก็ถูกดำเนินคดี ผมชนะท่าน ท่านก็ต้องถูกดำเนินคดีในเรื่องอื่นเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น เพื่อให้เกิดรอบหน้าเราไปปัสสาวะกัน ผมว่าใช้เวลาสัก 5 นาที ท่านก็สุมหัวท่าน ผมก็สุมหัวพวกผม ว่าเราจะว่าอย่างไรกันต่อ (***พักเข้าห้องน้ำ***)
อภิสิทธิ์ - นำมาสู่การแก้ไขปัญหาคู่ขัดแย้งมากมาย ซึ่งคู่ขัดแย้งนี้ไม่ได้มีเฉพาะรัฐบาล กับเสื้อแดงแน่นอน มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชาติไทยว่าได้ และผมแน่ใจว่าคนไทยไม่พร้อมที่จะอยู่ในภาวะที่ไม่ปกติสุขอย่างนี้นานเกินจากนี้ได้แล้วเหมือนกัน ซึ่งอันนี้ผมเข้าใจได้ ผมเข้าใจคนที่เคลื่อนไหว เข้าใจความรู้สึก ผมยกตัวอย่างว่า การยุบสภามันเป็นทางออกได้จริงหรือ ที่เป็นคำถามไม่ได้ปฏิเสธ ที่จะไม่มีการยุบ หรือไม่ยุบ เพราะว่ามันเคยมีกรณีของการยุบสภา และเอาการเมืองออกจากวิกฤต และมันมีทั้งตัวอย่างของการยุบสภา นำการเมืองไทยไปสู่วิกฤตใหม่ ยกตัวอย่างผมคิดว่าคนรุ่นเรา ได้อยู่กับทั้ง 2 เหตุการณ์ การยุบสภาเมื่อปี 35 ชัดเจนครับ ยุบสภาแล้วเอาการเมืองออกจากวิกฤต ไปเลือกตั้งใหม่ 35/2 การเมืองการเลือกตั้งวันนั้น คนทั้งประเทศหายใจโล่งอก แล้วเรียกร้องให้มีการยุบสภา วันนั้นเราอยู่ในสภาเพียง 3 เดือนกว่าๆ เอง เพราะฉะนั้นเวลาสั้น หรือยาว จึงไม่ได้เป็นปัญหาว่า ยุบได้ หรือยุบไม่ได้ เรายุบสภาวันนั้น การเมืองออกจากวิกฤตได้ แล้วผมยกตัวอย่างอีก เมื่อปี 48 หรือ 49 เรามีการยุบสภาอีกครั้ง การยุบสภาครั้งนี้ ถามว่ารัฐบาลตัดสินใจไหม ได้ไหมได้ แต่การยุบสภาวันนั้น รัฐบาลคิดว่าจะเอาวิกฤตที่อยู่ในสังคมให้มันจบ เพื่อที่จะไปสู่การเลือกตั้ง แต่การเลือกตั้งวันนั้น มันได้นำวิกฤตใหม่มาสู่สังคมไทย และนั้นเป็นความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ จนกระทั่งเหตุการณ์มาถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้เรายอมรับว่า มันเป็นความขัดแย้งที่เห็นได้ชัดเจน และดำรงอยู่อย่างยาวนานถาวรด้วย จนกระทั่งเราตั้งหลักว่า นี่ไม่ใช่เป็นการเจรจาบนผลประโยชน์ของคน 2 ฝ่าย แต่เจรจากันบนผลประโยชน์ของคนทั้งประเทศ และเราจะหาทางออกนี้ได้อย่างไร คำถามมีนิดเดียวว่า ถ้าเรายุบสภา แล้วการเมืองออกจากวิกฤตได้แน่นอน มันเป็นเรื่องความเห็นพ้องต้องกันของคนทั้งประเทศ หรือทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วม ผมคิดว่าอันนี้ไม่ยาก แต่ขณะนี้มันเป็นข้อสงสัยอยู่ตรงที่ว่า การยุบสภามันนำไปสู่แบบการเลือกตั้งครั้งที่ 2 ที่เราเคยเจอหรือเปล่า มันให้คำตอบได้จริงหรือเปล่า ที่นี่ปัญหาคือ ที่ท่านวีระได้ยกขึ้น ที่เราพูดถึงกรณีรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญตรงนี้มันเป็นปัญหาหนึ่ง ที่จะไปหาคำตอบจากการเลือกตั้ง พอเราอธิบายว่า มันไม่ใช่ หรือมันมีมากกว่านั้น หรืออันนั้นอาจจะเป็นได้ แต่ว่ามันไม่ใช่เพียงเรื่องเดียว ถ้าเป็นอย่างนี้ผมคิดว่า เราคิดว่ามันมีกระบวนการอะไรที่จะไปรองรับการตัดสินใจว่า ไปยุบสภาแล้วไปเลือกตั้งกัน แล้วมีหลักประกันว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ จบในสนามเลือกตั้ง ซึ่งขณะนี้ความเห็นเรายังต่างกันอยู่นิดเดียว ทางคุณวีระกล่าวว่า ยุบสภาเถอะแล้วการเมืองออกจากวิกฤตได้ แต่ว่ารัฐบาลกลับยังมองเห็นว่า เนื่องจากเรื่องนี้ ไม่ใช่เรา 2 ฝ่าย ผมค่อนข้างแน่ใจว่า ยุบคำนี้นำไปสู่วิกฤตได้ ถ้าเราสัญญากันว่า เอาละเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีใครกวนใครกันนะ ปล่อยให้ไปนะ อันนี้ผมไม่ไปโทษว่า ที่ผ่านมา 2 ปี ผมบอกได้ว่า ท่านนายกฯ ผมไปไหนไม่ได้เลย แต่พอเป็นแล้วไม่ได้เลยมันมาจากไหน มันมาเหตุการณ์ มันมาจากวิกฤตของสังคมไทย มาจากการเผชิญหน้าของคนหลายฝ่าย ไม่โทษว่าเป็นของใคร ทีนี้ถ้ามันลงตรงนี้ ผมคิดว่า เราหาคำอธิบายตรงนี้นิดนึง แล้วผมคิดว่า มันเป็นการเริ่มต้น อย่างน้อยผมคิดว่า เราเห็นพ้องว่า การเมืองอนาคตไปสู่การเลือกตั้งใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องของระยะเวลาที่แน่นอน และเรามีกระบวนการจัดการอย่างไร ให้การเลือกตั้งนั้นมีหลักประกันเชื่อได้ว่า ไปเลือกตั้งครั้งนี้เอาการเมืองออกจากวิกฤต นี่เป็นคำถามที่ต้องหาคำตอบด้วยกัน และปรึกษาด้วยกัน และผมคิดว่าไปปฏิบัติการด้วยกันได้ นี่มันเป็นความเห็นครับ
วีระ - ข้อนี้คงจะตอบด้วยความไม่สบายใจอยู่ เหตุเพราะว่า คือกระบวนการคนเสื้อแดงทีได้ดำเนินการต่อสู้มา เนื่องจากว่า มันยาวนานนะครับ มันยาวนานมัน 3 ปี เข้าสู่ปีที่ 4 เหตุผลอะไรต่างๆ มันได้ถกกันมาจนตกผลึก มันมีความชัดเจน ดังนั้นข้อเสนอมันเป็นข้อเสนอซึ่งเป็นผลรวมจากความรู้สึกนึกคิด และประสบการณ์ และเมื่อคนเสื้อแดงมีกำหนดมากขึ้น จนกระทั่งรัฐบาลเห็นว่า เป็นปัญหา ถึงกับมานั่งคุยกัน และคนเสื้อแดงเองตอบว่า ถ้ามีการยุบสภาแล้วเลือกตั้ง ยุติปัญหา แต่จะบอกว่า ให้คนเสื้อแดงให้หลักประกันว่า ยุบสภาเลือกตั้งแล้ว มันเรียบร้อยไปหมด อะไรที่มันเกินจากคนเสื้อแดงมันรับไม่ได้ ปัญหามันอยู่ว่า รัฐบาลมองเห็นรึเปล่าว่า คนเสื้อแดงมีปัญหา บัดนี้ปัญหาคนเสื้อแดงจบแล้ว เพราะคนเสื้อแดงบอกว่า ยุบสภาก็จบ ปัญหาคนเสื้อแดงก็จบ แต่ปัญหาอื่นซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับปัญหาคนเสื้อแดง ใครไปรับกันไม่ได้ ใครไปค้ำประกันไม่ได้ ดังนั้นผมคิดว่า มันคงจะต้องกลับมาสู่ประเด็นตรงนี้ว่า รัฐบาลเองให้ความสำคัญต่อว่า ปัญหาที่คนเสื้อแดงนำเสนอ ซึ่งขณะนี้เราเห็นกันอย่างตรงกันข้าม อย่างน้อยที่สุดท่านเห็นว่า ยุบสภาเลือกตั้งยังไม่ใช่หนทางแก้ไขปัญหา แต่เสื้อแดงเห็นว่า ยุบสภาแล้วเลือกตั้งแก้ปัญหา และคนเสื้อแดงมีความเห็นต่อไปว่า เลือกตั้งแล้วคนมันจะมาทำกติกาเพื่อเริ่มต้น การเดินไปที่ดีของประเทศไทย จะเริ่มที่ตรงนั้น ท่านเองมีความเห็นว่า ควรจะทำอะไรต่ออะไรเรียบร้อยก่อน ถึงจะไปตรงนั้น อันนี้มันเป็นตรงกันข้าม คือไม่อาจจะเห็นพ้องร่วมกันได้เลย ในประเด็นนี้นะ คราวนี้ถ้าหากว่า เราจะคุยกัน คืนนี้มันหมดประเด็นจะพูดแล้ว เพราะข้อสรุปมันไปอยู่ตรงนี้นิดเดียว ตรงว่ายุบ หรือไม่ยุบ มันยังไปไม่ถึงว่ายุบเมื่อไหร่ด้วยซ้ำ ยุบหรือไม่ยุบอันไหนจะดีกว่ากัน เอางี้อันไหนจะดีกว่ากัน มันจะสาธยายกันไปมากกว่านี้ มันก็ไม่ได้เรื่องแล้ว ประเด็นมันหมด คือหมายถึงว่าเราพูดกันมาเป็นปีๆ แล้ว ในเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่า ท่านลองกลับกันไป ลองทบทวนดู พวกผมก็กลับไปสู่มวลชนผม แล้วทบทวนดู และถ้าจะติดต่อกันอีกทีแบบวันนี้ ว่ากันอีกทีน่าจะดีกว่า บางทีอาจจะได้ไปพักกัน หรือไปคุยกันเองยาวๆ อาจจะเกิดหนทางพอที่จะเชื่อมประสานกันได้ จากที่ยังขึงตึงกันอยู่อย่างตรงกันข้าม น่าจะดีกว่า และที่สำคัญคือว่า พวกผมไปนั่งคอยอยู่กลางถนน ปัญหาคนคอยกลางถนน กับคนคอยอยู่บ้านมันคนละอารมณ์
อภิสิทธิ์ - ไม่ขัดข้องนะครับ ที่จะพักกันไป และจะประสานอะไรกันก็ว่ามา แต่ขอเรียนนิดนึงว่า ผมไม่ได้มองว่า เราเห็นตรงกันข้าม คงไม่ใช่เรื่องของการที่จะมาตั้งเงื่อนตั้งแง่ว่า ยุบก่อนแก้ แก้ก่อนยุบ ผมคิดว่าทางรัฐบาลเองฟังคนเสื้อแดง เห็นประเด็น และมองว่า การยุบสภามันเป็นทางออกหนึ่ง เพียงแต่มองว่า เราต้องทำอะไรบางอย่างเท่านั้น ให้การยุบสภามันเป็นทางออก ไม่ใช่สำหรับคนเสื้อแดงอย่างเดียว แต่ว่าคนทั้งประเทศ คือผมไม่ติดใจหรอกครับ ที่จะบอกว่า ไม่เป็นไรท่านรับประกันอย่างนั้นอย่างนี้ ผมต้องการให้ยุบสภาแล้ว ทุกคนกลับมาหลอมรวมกันเป็นสังคมไทย คิดไม่เหมือนกันไม่เป็นไร แต่ว่าถ้าเราผลีผลามทำ และอารมณ์ความรู้สึกยังแรง และอย่าลืมว่า รัฐประหารครั้งสุดท้ายคือ ระหว่างการเลือกตั้ง ไม่ได้ยึดอำนาจจากคนที่เป็นรัฐบาล มีอำนาจเต็มด้วยซ้ำ เพราะมีความไม่แน่นอน มีอะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมว่าถ้าเราไม่อยากเห็นการรัฐประหารอีก กลับฐานสังคมสักนิด ไม่นานเกินไปหรอกครับ อยู่ที่ความจริงใจของทุกฝ่าย และผมว่าเป็นประโยชน์ของทุกฝ่าย ที่จะมาพิสูจน์ความจริงใจกัน จะพักกลับไปต่างคนต่างคิด ฟังเสียงรอบข้าง เพราะว่าผมต้องฟังจากฝ่ายอื่นๆ ด้วยไม่เป็นปัญหานะครับ
จตุพร - เรียนอย่างนี้ได้ไหมท่านนายกฯ คือเพื่อว่าให้มันชัดเจนขึ้น วันพรุ่งนี้นะครับ พวกผมขอให้การเจรจาไม่ติดขัดในวันต่อไป เพื่อไม่ให้ย้ำอยู่กับที่ พวกผมขอเสนอเงื่อนไขการยุบสภานะครับ และพวกผมขอยื่นเวลา ภายใน 2 สัปดาห์ หมายถึงว่า กระบวนการยุบสภานะครับภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนท่านจะดำเนินการอย่างไร หรือมีแนวทางอย่างไร วันพรุ่งนี้ท่านค่อยให้คำตอบ ซึ่งท่านไม่ยุบก็ได้ เป็นสิทธิของท่าน ท่านจะยุบเดินหน้ากันไปนะครับ คือผมอยากให้การเจรจา ณ วันนี้ คือพวกผมตกผลึกกันหมดแล้ว คือผมยังไม่ได้ก้าวล่วงเรื่องการบริหารราชการของท่าน เพราะจะเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากันที่อื่น เพียงแต่ว่ามันมาถึงจุด คือการเจรจาวันนี้ เพื่อพี่น้องประชาชน เขาได้มีความรู้สึกตรงกันว่า บ้านเมืองมาถึงจุดนี้จริงๆ และการเจรจานั้น ควรที่จะรีบเร่ง เพราะว่าสภาพทุกฝ่าย ทั้งรัฐบาล และประชาชน เขาอยู่ในสภาพที่ไม่ปกติ เพราะฉะนั้นผมเรียนว่า ถ้าวันพรุ่งนี้ การเจรจายังมีขึ้น ขอยื่นเรื่องนี้ให้ท่านพิจารณา พวกผมจะกลับไปพิจารณาว่า เราจะว่ายังไงกันต่อ แต่พวกผมคุยมาเหมือนกันว่า การยุบสภาจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ หรือ 15 วัน หรือครึ่งเดือนก็ว่า เพื่อท่านจะได้ดำเนินการอย่างไรได้ต่อ แต่ว่าถ้าท่านไม่ทำเป็นสิทธิของท่าน เพราะนี่คือการพุดคุยนะครับ เพราะว่าข้อเรียกร้องความจริง เราเรียกร้องให้ยุบสภาทันที แต่ว่าเพื่อให้มันเป็นจุดกึ่งกลางว่า มันสามารถที่จะเดินไปได้ และการเจรจาสามารถเดินกันไปได้ ซึ่งสุดแท้แต่ท่าน ถ้าท่านไม่รับไม่มีปัญหาอะไรนะครับ นี่แฟร์ๆ กันนิด
อภิสิทธิ์ - ก็เป็นสิทธิ มาขีดจุดกึ่งกลางแปะกันเลยนะ วาระเหลือตั้ง 2 ปี ทันทีขีดมาเลย 2 สัปดาห์ ไม่เป็นไรเข้าใจ
วีระ - เพื่อให้ท่านสบายใจคือว่า พวกผมเองนะครับ 1.ได้ต่อสู้ได้พูดอะไรมามากมาย ทั้งเรื่องการบริหารประเทศ เรื่องปมการทุจริตคอร์รัปชันที่มาอะไรแล้วแต่นะครับ เราได้พูดกันไปมาก และเห็นว่าบ้านเมืองมันกำลังเป็นปัญหา ส่วนท่านจะมองปัญหาเหมือนกับพวกผมหรือไม่นะครับ อยู่ที่ดุลยพินิจของท่าน เข้าใจว่าพวกผมมองด้วยปัญหาอย่างนี้ ซึ่งวันพรุ่งนี้ถ้าท่านบอกว่า ไม่ยุบสภาไม่เจรจาก็ได้ หรือว่ามานั่งพูดคุยต่อไป ผมจะได้พูดกันประเด็นอื่น สุดแท้แต่
อภิสิทธิ์ - วันนี้คงไปได้แค่นี้
วีระ - ยังไงต้องขอบคุณนะครับ
อภิสิทธิ์ - ทีนี้พรุ่งนี้อย่างไรครับ
วีระ - เหมือนเดิม ลองค่อยคุยกัน กลับมาจากบรูไนตอนกี่โมง
อภิสิทธิ์ - ผมเข้าใจผมถึง 5 โมงเย็น ขอบคุณครับ สวัสดีครับ