“บรรหาร” ใส่สเกต ไม่ได้เป็นหัวโจกแก้รัฐธรรมนูญ อ้างทำเพื่อประโยชน์ประชาชน ปูดคนประชาธิปัตย์พูดที่บ้าน “นิพนธ์” จะแก้ ม.237 แต่ตนค้านขอเขตเลือกตั้งอย่างเดียว ไล่ไปถามเอาเองใครเป็นคนพูด ลั่นไม่จริงเขตเล็กซื้อเสียง สวนกลับ ปชป. เขตเลือกตั้งเดิมพรรคไหนได้ประโยชน์ แต่ยอมรับพรรคเล็กเสียเปรียบ ยังหวั่นใจเสียงโหวตในสภาฯ แต่ถ้าไม่ผ่านก็จบ เห็นใจ “น้องเทือก” พร้อมช่วยรัฐบาลให้อยู่ครบเทอม ถ้ายังไม่ทิ้งกัน ยันรักษาสัจจะไม่เปลี่ยนขั้ว สอน “มาร์ค” อดทน ใจกว้าง รู้เขารู้เรา เป็นนายกฯ ได้ 8 ปี ฟันธง!!!
วันนี้ (1 ก.พ.) ที่ จ.สุพรรณบุรี นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ให้สัมภาษณ์รายการ “เช้าข่าวข้น” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า หากไม่เล่นการเมืองเล่นจะเป็นคนนำเที่ยวในเมืองสุพรรณบุรี ผู้ดำเนินรายการถามถึงบทบาทขณะนี้ได้กลับมาเป็นผู้นำการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายบรรหารกล่าวว่า เรื่องนี้มันทุกข์ใจอย่างหนึ่งที่จริงอยู่เฉยๆ เลยเพราะเว้นวรรค 5 ปีไม่ได้ทำอะไร เรื่องเดิมพรรคร่วมรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย (ภท.) พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา (รช.) และพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) ทั้ง 3 พรรค มาหาตน แต่ละคนหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค เคยทำงานกับตนสมัยเป็นนายกฯ เพราะเห็นว่าตนเป็น ส.ว.(สูงวัย) ขอคำแนะนำ ตอนร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาเล่นคำว่าให้แก้ แต่ไม่รู้แก้ตรงไหน เพราะเดิมรับปากว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อครั้งไปบ้านายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ อดีตเลขาธิการนายกฯ เห็นด้วยให้ว่าจะแก้และจะให้แก้มาตรา 237 (รัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการยุบพรรค) ด้วย
เมื่อถามย้ำว่า เห็นว่าให้แก้มาตรา 237 ด้วยหรือ นายบรรหารกล่าวว่า ใช่เห็นด้วยจะแก้ด้วย แต่ผมไม่บอกนะว่าใครพูดให้แก้ ผมได้ยินกับหูเลยนี่แล้วให้ตั้งกรรมการสมานฉันท์ฯ ได้ผลมา 6 ประเด็นแต่เงียบหายไป มีข้อแม้ว่าพรรคฝ่ายค้านต้องร่วมด้วยก็จบแล้วพรรคร่วมรัฐบาลจะทำอย่างไร ผมก็เอางี้ไหมแก้ 6 ข้อไม่สำเร็จหรอกยิ่งแก้มาตรา 237 เดี๋ยวเสื้อต่างๆก็มาคัดค้านอีก
“ก็เลยบอกว่าแก้แค่เขตเลือกตั้งได้ไหม ผมชี้แจงว่า การเลือกตั้งมีวันแมนวันโหวตเขตเล็ก กับเขตใหญ่ 3 คน พวกเรามองเห็นว่าการให้ดูแลราษฎรได้ทั่วถึงคือเขตเล็ก จะดูได้ครบทุกหมู่บ้าน แต่ถ้าเขตใหญ่จะดูแลไม่ทั่วถึง มี 3 คนก็เกี่ยงกันหาราษฎร แล้วเขตใหญ่ใช้เงินมาก เขตเล็กใช้เงินน้อย ถ้าบอกว่าเขตเล็กซื้อเสียง ผมบอกไม่จริง เพราะผมลงเลือกตั้งมาหลายสมัยไม่จริง ผมเถียงแน่นอน ก็แนะว่าเมื่อเป็นแบบนี้ก็แก้แค่มาตรา 190 กับเขตเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์น่าจะโอเคไม่มีปัญหา เพราะเล็กนิดเดียวไม่เอา มาตรา 237 นะ และผมได้แนะไปไม่ใช่หัวโจกนะ ทีนี้เวลาพูดกับใครต้องมีน้ำหนัก ผมบอกว่าอย่าเอาตัวผมเกี่ยวเลยน่าให้คำแนะนำเท่านั้นคิดว่าน่าจะออกทางที่ดี” นายบรรหาร กล่าว
นายบรรหารกล่าวว่า เมื่อมติของพรรคประชาธิปัตย์ออกมาไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ บางคนผู้ใหญ่ในพรรคไม่เอ่ยชื่อนะ บอกเป็นการเสียผลประโยชน์ของนายบรรหาร และนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรค ภท. ถ้าหากว่าแก้เขตเลือกตั้งแล้ว ตนบอกไม่ใช่ หากแก้เขตเล็กตนได้ผลประโยชน์ ตนถามกลับว่าถ้าอยู่อย่างนี้พรรคไหนได้ประโยชน์ ก็ล่อมาเป็นพวงเลยพรรคเล็กก็แย่ เมื่อถามว่า ถ้าแก้เป็นเขตเล็กหมายความว่ากำลังบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์จะได้ประโยชน์เอง นายบรรหารกล่าวว่า ก็ถูกต้องนี่แต่ดันมาว่าพวกตนว่าแก้แล้วตนได้ประโยชน์
เมื่อถามว่า เป็นข้อตกลงหนึ่งในการเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายบรรหารกล่าวว่า ไม่มี คือเราพูดแค่ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้พูดว่าจะแก้ข้อไหนแต่ เห็นว่าข้อนี้เบาที่สุด ทั้งนี้ตอนร่วมรัฐบาลก็ไม่ได้พูดถึงขนาดชัดเจนจะให้แก้อะไรบ้าง แต่มาตรา 237 ก็มีพูดกันที่บ้านนายนิพนธ์ ว่าต้องการให้แก้ด้วย เมื่อถามว่า ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์ประชุมด้วยหลายคนหรือไม่ นายบรรหารกล่าวว่า ไม่ตอบ ให้ไปถามคนพรรคประชาธิปัตย์เอง เป็นใครตนไม่บอก
เมื่อถามว่า นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค เขียนจดหมายถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อย่างหัวเสียเหมือนกันมีการรับปากจริงหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า นายสมศักดิ์อยู่ในเหตุการณ์ ตนคุยกันนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และเลขาธิการพรรคปชป. หลายรอบแล้ว ตนเห็นใจนายสุเทพ “หากผมเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อรักษาน้ำใจพรรคร่วมรัฐบาลผมจะออก 2 มติ คือ 1.มติไม่เห็นด้วยที่จะให้สมาชิกพรรคไปเซ็น (ร่วมญัตติ) อันนี้รับได้รักษาน้ำใจพรรคร่วมแล้ว 2.ฟังการอภิปรายในสภาก่อนว่ามีเหตุผลอย่างไร ตรงนี้อาจไม่เอาก็ได้ ก็ถือเป็นรักษาน้ำใจพรรคร่วมรัฐบาล มันก็ดี พรรคชทพ.ไม่กลัวเขตเลือกตั้งไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก พรรคชทพ.ไม่กลัว แต่ที่ทำไปเพราะเห็นประโยชน์แก่ราษฎรมากกว่า ราษฎรจะดูแลได้ทั่วถึง ไม่ได้ใช้จ่ายเงินมากน้อยหรอก”
เมื่อถามว่า พรรคร่วมหารือทำไมไม่เชิญพรรคประชาธิปัตย์มาหารือกรณีนี้ด้วย นายบรรหาร กล่าวว่า ก็มีนายสุเทพมา แต่นายสุเทพเป็นผู้ประสานงาน และนายสุเทพก็เหมือนพล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษาพรรค ชทพ.เป็นคนใจดี ใจกว้าง รับฟังเหตุและผล พรรคประชาธิปัตย์เห็นใจอย่างพรรคเขาทำเป็นระบบและมติ แต่มติอะไรก็โน้มน้าวได้แต่ผู้ใหญ่ในพรรคมาแสดงว่าไม่เห็นด้วยเรื่องก็จบ
“ผมอยู่การเมืองมานาน สมัย 10 มกราฯ ผมล็อบบี้ให้ ปชป.เอง สมัยโหวตในสภา ผมช่วย ปชป.สมัย วีระ (มุสิกพงศ์) มีกี่เสียงผมต้องไปล็อบบี้ให้ ปชป.อีก” นายบรรหารกล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าอาจล็อบบี้พรรคประชาธิปัตย์ต่อได้ นายบรรหารกล่าวว่า ไม่ขอตอบแต่เราพูดให้เห็นใจได้ แต่อย่าไปตอบว่า จุดยืนเขาเป็นอย่างนี้ต้องการพวงใหญ่ ตนไม่คุยเอง ตอนนี้ กกต.จ้องดูตนอยู่ ตนอยู่เฉยๆ แบบนี้ดีกว่า ส่วนตนจะอยู่ในฐานะใดตอนนี้ก็แค่สังเกตการณ์เท่านั้น ตนอยู่ข้างหลังเท่านั้น
เมื่อถามย้ำว่า อยู่ข้างหลังแต่เสียงดังกว่าคนข้างหน้า นายบรรหารกล่าวว่า คิดกันเอาเอง คล้ายกับว่าเป็นหลักของพรรค ถ้าพรรคไม่มีหลัก ตอนนี้มีนอนิมีหมด เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ตนเป็นหลักแต่ยุ่งไม่ได้ เวลาไปร่วมหารือก็เชิญไป ไปกินข้าวด้วย
เมื่อถามว่า ส่วนตัวคุยกับพรรคประชาธิปัตย์ได้ทุกคนหรือไม่นอกจากนายสุเทพ นายบรรหาร กล่าวว่า ตนไม่คุยพรรคประชาธิปัตย์ ไม่อยากคุย ไม่จำเป็น เพราะรัฐธรรมนูญไม่ซีเรียส เพราะไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ตนจะช่วยให้อยู่ต่อไปอาจครบเทอมก็ได้ ตนจะช่วยให้อยู่ แต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญนายกฯ บอกว่าเรื่องของสภา พรรคชทพ.ไม่ทิ้ง พรรคประชาธิปัตย์
เมื่อถามว่า พรรค ชทพ.ไม่ทิ้ง พรรคประชาธิปัตย์ใช่หรือไม่ นายบรรหารกล่าวว่า ก็ต่างคนต่างไม่ทิ้งกัน ณ ตอนนี้ยังไม่มีใครทิ้ง ถ้าทิ้งไปต้องบอกกัน
เมื่อถามว่า หากยื่นญัตติเข้าไปจะผ่านสภาหรือไม่ นายบรรหาร กล่าวว่า ขณะนี้เราไม่แน่ใจว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน เพราะต้องอาศัยเสียงวุฒิสภา และฝ่ายค้านด้วย แต่เราไม่มีกฎเกณฑ์ว่าไม่ผ่านต้องมีปัญหาไม่ใช่ เมื่อไม่ผ่านก็ไม่ผ่าน
เมื่อถามว่า พรรคร่วมจะหารือกับฝ่ายค้านหรือไม่เพื่อเปลี่ยนขั้ว นายบรรหารกล่าว่า “ไม่มีเปลี่ยนขั้ว คนอย่างนายบรรหารรักษาสัจจะไม่มีเปลี่ยนแปลง นึกถึงอดีตที่ผ่านมา สมัย ปชป.เล่นงานผม ปู่ย่าตายาย ผมเจ็บใจไม่หาย ตอนนั้นท่านสนั่นเป็นเลขาฯ ปชป. ให้พรรคชาติไทยหนุนนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ ผมคิดสามวันสามคืน ไอ้แล้วก็แล้วไป ผมรับปากท่านสนั่นไปตอนนั้นกับ ปชป.คืนคำไม่ได้ นี่คือบรรหาร”
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์มีสัจจะ ต่อนายบรรหารหรือไม่ นายบรรหารกล่าวว่า คงมีมั้ง และตนบอกว่าเมื่อช่วยให้เป็นรัฐบาลต้องอยู่ให้ตลอด อย่าล้มตัวเอง
นายบรรหารยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้ว่า การเมืองต้องพูดจากันถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่ตอนนี้ไม่ถ้อยทีกัน มันจะชนลูกเดียว หมายถึงว่าเข่นฆ่าท่าเดียว ตอนนี้พรรคร่วมคุยได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็คุยได้ แต่รัฐธรรมนูญไม่เกี่ยว หากไม่ผ่านสภาก็จบ ทั้งนี้เมื่อครั้งเลือกตั้งเราไม่ยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะตนรักษาชาติไทยมาก็ถูกยุบแบบไม่ทำความผิด แต่เราเห็นว่าน่าจะรับร่างไปก่อนแล้วค่อยแก้ไขรัฐธรรมนูญมันแก้ได้ อันไหนไม่ดีก็ต้องแก้
เมื่อถามว่า เป็นนายกฯ มาก่อนช่วยประเมินวิสัยทัศน์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ขณะนี้ในฐานะรุ่นน้องอย่างไร นายบรรหารกล่าวว่า “แหม...ไม่อยากประเมินแบบนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แต่ก็ถือว่าเป็นรุ่นหลาน” และว่า พ่อนายอภิสิทธิ์เป็นเพื่อนตน นายอภิสิทธิ์ก็เป็นคนเก่ง ทำงานเร็ว วิสัยทัศน์ดี ศึกษางานเยอะ แต่บางอย่างด้อยไปหน่อย หนึ่งความอดทนไม่มี อยากให้ใจกว้างกว่านี้ อย่าแคบต้องใจกว้าง และสองต้องรู้เขารู้เรา สำคัญ รู้ว่าคนนี้เป็นอย่างไรมาตัดสินวินิจฉัยเอา อย่างอื่นดีหมด แต่ต้องเพิ่มแบบนี้จะเป็นนายกฯ ได้ 8 ปี
เมื่อถามว่า หลานบอกไม่แก้รัฐธรรมนูญรับได้หรือไม่ นายบรรหารกล่าวว่า เป็นเรื่องของท่านไม่เกี่ยวกัน เมื่อพรรคเห็นอย่างนี้เราไม่ว่า เราก็เดินไปในสภา ไม่โกรธกัน แต่ตนไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค ชทพ. แค่ให้คำปรึกษาเท่านั้น ทั้งนี้ หวังว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่โกรธที่ตนพูดแบบนี้ไป