**เพราะคนอย่าง “บรรหาร” อ่านไม่ยาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และบรรดาปรมาจารย์พรรคประชาธิปัตย์ ถึงจับทางได้ กล้าที่จะส่งสัญญาณ“แตกหัก”ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาล ที่มีหลงจู๊ เป็นโต้โผป่วน
บรรหาร ศิลปอาชา ถูกเรียกขานในฉายาว่า “หลงจู๊เติ้ง” ที่หัวสมองหลงจู๊ ก็คือเรื่องกำไร-ขาดทุน มองทุกเรื่องอย่างเป็นการค้าการขาย ที่ต้อง“ได้”ไปหมด ตั้งแต่ทำอาชีพขายโอเลี้ยงกาแฟ อยู่ที่สุพรรณบุรี
กาลเวลาไม่สามารถปรับเปลี่ยนคุณลักษณะนิสัยที่ติดแน่นคงทนและถาวรของ “บรรหาร”ได้ แม้จะอยู่ในฐานะของนักการเมืองรุ่นใหญ่ ที่เคยผ่านตำแหน่งสูงสุด เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย บริหารบ้านเมืองมาแล้วก็ตาม
**“ประโยชน์ส่วนตัว” ยังอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
ไม่ต้องทวงถามคำว่า “เสียสละ”จากนักการเมืองแซ่เบ๊ผู้นี้ เพราะมองประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ใครๆ ถึงมองออกว่า ที่บรรหาร เดินสายเป็นโต้โผตระเวนนัดกินข้าวกับบรรดาคีย์แมนตัวจริงพรรคร่วม เพื่อผนึกกำลังต่อรองพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถึงฉากหน้าจะมุ่งในประเด็นปรับเปลี่ยนมาตราที่เกี่ยวกับเขตเลือกตั้ง มาเป็นระบบเขตเล็ก ที่เป็นประเด็นเห็นพ้องกับบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อย เนื่องจากกระแสไม่สามารถสู้กับพรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย ได้ในสนามเลือกตั้งแบบรวมเขตเรียงเบอร์
**แต่ไม่มีใครไว้วางใจในวาระซ่อนเร้น ที่คนอย่างบรรหาร ปิดไว้ไม่มิด
เคลื่อนไหวในเรื่องรัฐธรรมนูญ ถึงที่สุดเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกบรรจุในวาระพิจารณาของสภาฯ “บรรหาร” ก็มีช่องที่จะกดปุ่มให้ลูกพรรคชาติไทยพัฒนา สอดไส้ ลักไก่เรื่องที่ตัวเองต้องการ
**หาทางปลดชนัก ตัดโซ่ตรวน แหกคุกการเมือง ที่ตัวเองและลูกๆ รวมทั้งสมุนบริวารถูกจองจำพันธนาการอยู่
กระแสข่าวที่สนับสนุนเรื่องนี้ คือข่าวการต่อสายเชื่อมถึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำที่กลายเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ต่างแดน และหาช่องทางทุกอย่างในการโค่นล้มอำนาจรัฐปัจจุบัน เพื่อฟื้นคืนระบอบทุนสามานย์ของตัวเอง
**“หลงจู๊”กับ “เสี่ยใหญ่ดิจิตอล” อย่างทักษิณ บ้านร่วมถนนจรัญสนิทวงศ์ สายสัมพันธ์ไม่เคยตัดขาด แม้จะยืนอยู่ต่างฝ่าย และพร้อมที่ร่วมทุนในทางการเมืองกันได้เสมอ ยามที่ผลประโยชน์สอดคล้องต้องตรงกัน
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึง “ตัวต่อ” ที่คอยประสานสองฝ่ายให้มาร่วมในเกมสมคบคิดล้มรัฐบาล เพราะ “ทักษิณ” กับ“บรรหาร” ยกหูถึงได้เสมออยู่แล้ว และในเกมที่พูดถึงกัน ก็เป็นเรื่องที่แกนนำรัฐบาลจากประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ ประมาทไม่ได้
โดยคนแซ่เบ๊-ม้า อย่างบรรหารคงยอมเป็น “ม้าใช้” ให้ทักษิณ ในการเปิดเกมด้านแนวรบทางสภาฯ ที่สมุนของนักโทษชายเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมนี้ ควบคู่ไปกับแนวรบมวลชนนอกสภาฯ ของ“ม็อบนางแมว” เรียกฝน กลุ่มเสื้อแดง ที่ป่วนหนักขึ้นทุกที
นอกจากเกมสอดไส้เรื่องปลดชนัก นิรโทษกรรมความผิด ที่ทั้งคู่ได้ประโยชน์ร่วม โดยคาดการณ์กันได้ว่า เมื่อใดที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภา ก็เป็นไปได้ว่า
**พรรคเพื่อไทยของทักษิณ อาจจะพลิกมติเข้าร่วมวงครั้งนี้ด้วย
โดยอาจยื่นร่างที่มีการแก้ไขประเด็นที่ต้องการของนายใหญ่ประกบ ไม่ว่าจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับหมอโหวงเหวง ที่จ่อคิวรออยู่ หรือไม่ก็ยกรัฐธรรมนูญปี 2540 เข้ามาอย่างที่ชูธงในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงนอกสภาฯ มาทั้งฉบับ
ไม่เท่านั้น มีการวิเคราะห์ประเมินถึงท่าทีพรรคร่วมรัฐบาลนำโดย “บรรหาร” ที่ส่งสมุนมือขวาที่เลี้ยงแล้วแสนเชื่องอย่าง “เสี่ยตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ออกมาบริภาษโวยวายนายกฯ อภิสิทธิ์ ว่าด้วยสัญญาใจเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า”
อาจจะเอาคืน สางความแค้นด้วยการลงมติสวนไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถูกจับขึ้นเขียงเชือดในศึกซักฟอก ไปจนกระทั่งอาจเล่นแรงถึงขึ้นพลิกขั้วกลับไปจับมือพรรคเพื่อไทย ตั้งรัฐบาล
**เพราะช่วงนั้นนายกฯไม่สามารถใช้ไพ่ตายยุบสภาได้
อย่างไรก็ดี กลเกมต่างๆ ตามที่ “บรรหาร” สมคบคิดไว้ ก็ใช่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมองไม่ออก อย่างกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อภิสิทธิ์ เด็ดเดี่ยวที่จะไม่ยอมตามแรงบีบของพรรคร่วม เพราะหากยอมพรรคร่วม ก็คงได้คืบเอาศอก โดยเฉพาะนายบรรหาร ทั้งเมื่อพร้อมที่จะแตกเป็นแตก หักเป็นหัก “อภิสิทธิ์” เตรียมรับมือก่อนที่จะถึงเวลาเส้นความสัมพันธ์กับเพื่อนพรรคร่วมฯขาดสะบั้นลงไปอย่างไร
**“อภิสิทธิ์” คงประเมินแล้ว เสียงเอะอะโวยวาย แต่ถึงเวลาจริง พรรคร่วมคงไม่กล้าหัก
**ตัวเล็กเสียงดังอย่างบรรหาร ก็อย่างที่ทุกคนรู้ และอ่านออก ผลประโยชน์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ในระยะสั้นที่ทำโมโหโกรธา ก็แค่เพื่อเพิ่มน้ำหนักการต่อรอง
ชูหางยกความสำคัญของตัวเอง โดยเฉพาะหลังจากมีกระแสข่าวช่วงปีใหม่ ที่นายอภิสิทธิ์ เข้าพบ“ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่ว่านายกฯเด็กไปอ้อนผู้ใหญ่ให้ช่วยเคลียร์กับบิ๊กตัวจริงพรรคชาติไทยพัฒนา ใน เรื่องรัฐธรรมนูญ และท่าทีในการร่วมรัฐบาล
“บรรหาร” เลยออกอาการผยอง มองว่าตัวเองถูกยกระดับความสำคัญถึงขั้นที่ต้องพึ่งพาระดับพล.อ.เปรม มาพูดมาจาด้วย ถึงได้ออกอาการกร่างขั้นรุนแรง เดินสายเคลื่อนไหว ดึงพรรคเล็กพรรคน้อยมาเป็นแนวร่วม
เมื่อถึงตรงนี้ “อภิสิทธิ์” เลือกที่จะตบหัวไปแล้ว การที่จะสยบแรงกระเพื่อมจากพรรคร่วมเพื่อให้อยู่ช่วยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ประคับประคองเก้าอี้นายกฯ ต่อไป ก็คงใช้การ “ลูบหลัง” ที่เพียงเบาๆ เล็กๆ เชื่อว่าส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าคิดที่จะแยกทาง
โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ โครงการต่างๆ ทั้งจากแผนไทยเข้มแข็ง ที่ทยอยออกจากคลัง มาอัดฉีดกันไม่หมดล็อต หรืองบฯปี2554 ที่เสนอตั้งแผนงานกันแล้ว เท่านี้พรรคร่วมส่วนใหญ่ ก็คงตาลุกวาว
เมื่อยังถืออำนาจ ร่วมรัฐบาลอยู่ หนำซ้ำได้โควตากระทรวงรับผิดชอบอย่างที่ปกติจำนวนเสียงของหลายพรรคคงไม่ได้สมบูรณ์พูนสุขขนาดนี้ คงไม่คิดสั้นแยกตัวพลิกขั้วกลับไปอดอยากในอุ้งมือมารหน้าเหลี่ยม
**ในเกมบีบประชาธิปัตย์ เท่าที่เห็นอาการกระเหี้ยนกระหือรือ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็กระฟัดกระเฟียด ที่เด่นชัดก็มีเฉพาะนายบรรหาร ส่วนตัวเอ้ ที่ตามหลังอย่างนายเนวิน ชิดชอบ แต่ถ้าสังเกตให้ดี เหมือนจะถีบ บรรหารให้ออกหน้ามากกว่า โดยเฉพาะหลังเจออาการของขึ้นของนายกฯอภิสิทธิ์ ประกาศแตกหัก เนวินก็ฝ่อลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนพรรคร่วมอื่นๆคงไม่อยากที่จะแยกตัว ให้เกิดเหตุล้มกระดานต้องไปเหนื่อยในสนามเลือกตั้งก่อนเวลา รวมทั้งหากจะพลิกกลับไปหาพรรคของทักษิณ ก็ประเมินออกว่า อะไรจะเกิดขึ้น การตั้งรัฐบาลไม่มีทางราบรื่น และอาจเกิดเหตุฉุกเฉินจาก “อำนาจสีเขียว” ได้ทุกเมื่อ
แม้กระทั่งชาติไทยพัฒนา ที่ทุกการขับเคลื่อนอยู่ในมือของนายบรรหาร ที่ไม่มีเสี่ยงขาดทุนอยู่แล้ว หากมีข้อเสนองามๆ ก็คงเลือกเอาจากที่เห็น “ตรงหน้า”ไว้ก่อน มากกว่าที่จะไปสุ่มเสี่ยงตายเอาดาบหน้ากับน้องรักทักษิณ ที่ยังไร้วี่แววจะได้กลับมามีอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้ง
ถ้าจับอาการกันได้ จากกรณีการโยกเอาคนของตัวเองในสำนักงบฯ มาเป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คนเก่าที่ไม่สามารถสนองงาน และความโลภของหลงจู๊ได้ นั่นก็ทำให้เห็นว่า “บรรหาร” ยังตั้งใจที่จะอยู่ปฏิบัติการ ล้วงควัก กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ต่อไป
**“อภิสิทธิ์”และคนพรรคประชาธิปัตย์ ก็เห็นไต๋หลงจู๊ จึงเลือกที่จะแตกหัก ขัดใจเพื่อน และสุดท้ายก็คงจะใช้วิธีลูบหลังด้วยการหา “เค้กก้อนใหญ่” มาทดแทนให้หลงจู๊ ที่ติดนิสัยเลียริมฝีปาก ไม่ยอมอดอยากปากแห้ง ให้หยุดป่วน หยุดซ่าส์ กันไปได้อีกพักใหญ่
ยามใดที่คนแซ่เบ๊ เป็นม้าพยศ ก็ต้องสยบด้วยการลงแส้ และปรนเปรอปลอบใจ ด้วยหญ้าเป็นมัดฟ่อนในรางอาหาร เท่านี้ก็คงยอมสยบอยู่ในคอกชั่วคราว
เว้นเสียแต่ว่า ทักษิณ จะมีเงื่อนไขพิเศษที่คนอย่างบรรหาร ไม่สามารถปฏิเสธได้
**แต่ถ้าพยศเมื่อไหร่ก็ต้องตามลงแส้อีกเมื่อนั้น เพราะต้นตำรับแห่งความลื่นไหล ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แบบ “คนอย่างบรรหาร” ใครก็เอาอยู่ได้ยาก !!
----------------------------------------------------------------------------------------------------
โปรย--
“หลงจู๊”กับ“เสี่ยใหญ่ดิจิตอล” อย่างทักษิณ บ้านร่วมถนนจรัญสนิทวงศ์ สายสัมพันธ์ไม่เคยตัดขาด แม้จะยืนอยู่ต่างฝ่าย และพร้อมที่ร่วมทุนในทางการเมืองกันได้เสมอ ยามที่ผลประโยชน์สอดคล้องต้องตรงกัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึง “ตัวต่อ” ที่คอยประสานสองฝ่ายให้มาร่วมในเกมสมคบคิดล้มรัฐบาล เพราะ“ทักษิณ”กับ “บรรหาร” ยกหูถึงได้เสมออยู่แล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------
บรรหาร ศิลปอาชา ถูกเรียกขานในฉายาว่า “หลงจู๊เติ้ง” ที่หัวสมองหลงจู๊ ก็คือเรื่องกำไร-ขาดทุน มองทุกเรื่องอย่างเป็นการค้าการขาย ที่ต้อง“ได้”ไปหมด ตั้งแต่ทำอาชีพขายโอเลี้ยงกาแฟ อยู่ที่สุพรรณบุรี
กาลเวลาไม่สามารถปรับเปลี่ยนคุณลักษณะนิสัยที่ติดแน่นคงทนและถาวรของ “บรรหาร”ได้ แม้จะอยู่ในฐานะของนักการเมืองรุ่นใหญ่ ที่เคยผ่านตำแหน่งสูงสุด เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย บริหารบ้านเมืองมาแล้วก็ตาม
**“ประโยชน์ส่วนตัว” ยังอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
ไม่ต้องทวงถามคำว่า “เสียสละ”จากนักการเมืองแซ่เบ๊ผู้นี้ เพราะมองประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ใครๆ ถึงมองออกว่า ที่บรรหาร เดินสายเป็นโต้โผตระเวนนัดกินข้าวกับบรรดาคีย์แมนตัวจริงพรรคร่วม เพื่อผนึกกำลังต่อรองพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ถึงฉากหน้าจะมุ่งในประเด็นปรับเปลี่ยนมาตราที่เกี่ยวกับเขตเลือกตั้ง มาเป็นระบบเขตเล็ก ที่เป็นประเด็นเห็นพ้องกับบรรดาพรรคเล็กพรรคน้อย เนื่องจากกระแสไม่สามารถสู้กับพรรคใหญ่ ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย ได้ในสนามเลือกตั้งแบบรวมเขตเรียงเบอร์
**แต่ไม่มีใครไว้วางใจในวาระซ่อนเร้น ที่คนอย่างบรรหาร ปิดไว้ไม่มิด
เคลื่อนไหวในเรื่องรัฐธรรมนูญ ถึงที่สุดเมื่อร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกบรรจุในวาระพิจารณาของสภาฯ “บรรหาร” ก็มีช่องที่จะกดปุ่มให้ลูกพรรคชาติไทยพัฒนา สอดไส้ ลักไก่เรื่องที่ตัวเองต้องการ
**หาทางปลดชนัก ตัดโซ่ตรวน แหกคุกการเมือง ที่ตัวเองและลูกๆ รวมทั้งสมุนบริวารถูกจองจำพันธนาการอยู่
กระแสข่าวที่สนับสนุนเรื่องนี้ คือข่าวการต่อสายเชื่อมถึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตผู้นำที่กลายเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ต่างแดน และหาช่องทางทุกอย่างในการโค่นล้มอำนาจรัฐปัจจุบัน เพื่อฟื้นคืนระบอบทุนสามานย์ของตัวเอง
**“หลงจู๊”กับ “เสี่ยใหญ่ดิจิตอล” อย่างทักษิณ บ้านร่วมถนนจรัญสนิทวงศ์ สายสัมพันธ์ไม่เคยตัดขาด แม้จะยืนอยู่ต่างฝ่าย และพร้อมที่ร่วมทุนในทางการเมืองกันได้เสมอ ยามที่ผลประโยชน์สอดคล้องต้องตรงกัน
ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึง “ตัวต่อ” ที่คอยประสานสองฝ่ายให้มาร่วมในเกมสมคบคิดล้มรัฐบาล เพราะ “ทักษิณ” กับ“บรรหาร” ยกหูถึงได้เสมออยู่แล้ว และในเกมที่พูดถึงกัน ก็เป็นเรื่องที่แกนนำรัฐบาลจากประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะอภิสิทธิ์ ประมาทไม่ได้
โดยคนแซ่เบ๊-ม้า อย่างบรรหารคงยอมเป็น “ม้าใช้” ให้ทักษิณ ในการเปิดเกมด้านแนวรบทางสภาฯ ที่สมุนของนักโทษชายเตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจในสมัยประชุมนี้ ควบคู่ไปกับแนวรบมวลชนนอกสภาฯ ของ“ม็อบนางแมว” เรียกฝน กลุ่มเสื้อแดง ที่ป่วนหนักขึ้นทุกที
นอกจากเกมสอดไส้เรื่องปลดชนัก นิรโทษกรรมความผิด ที่ทั้งคู่ได้ประโยชน์ร่วม โดยคาดการณ์กันได้ว่า เมื่อใดที่พรรคร่วมรัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่สภา ก็เป็นไปได้ว่า
**พรรคเพื่อไทยของทักษิณ อาจจะพลิกมติเข้าร่วมวงครั้งนี้ด้วย
โดยอาจยื่นร่างที่มีการแก้ไขประเด็นที่ต้องการของนายใหญ่ประกบ ไม่ว่าจะเป็นร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับหมอโหวงเหวง ที่จ่อคิวรออยู่ หรือไม่ก็ยกรัฐธรรมนูญปี 2540 เข้ามาอย่างที่ชูธงในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงนอกสภาฯ มาทั้งฉบับ
ไม่เท่านั้น มีการวิเคราะห์ประเมินถึงท่าทีพรรคร่วมรัฐบาลนำโดย “บรรหาร” ที่ส่งสมุนมือขวาที่เลี้ยงแล้วแสนเชื่องอย่าง “เสี่ยตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ออกมาบริภาษโวยวายนายกฯ อภิสิทธิ์ ว่าด้วยสัญญาใจเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า”
อาจจะเอาคืน สางความแค้นด้วยการลงมติสวนไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อถูกจับขึ้นเขียงเชือดในศึกซักฟอก ไปจนกระทั่งอาจเล่นแรงถึงขึ้นพลิกขั้วกลับไปจับมือพรรคเพื่อไทย ตั้งรัฐบาล
**เพราะช่วงนั้นนายกฯไม่สามารถใช้ไพ่ตายยุบสภาได้
อย่างไรก็ดี กลเกมต่างๆ ตามที่ “บรรหาร” สมคบคิดไว้ ก็ใช่ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมองไม่ออก อย่างกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่อภิสิทธิ์ เด็ดเดี่ยวที่จะไม่ยอมตามแรงบีบของพรรคร่วม เพราะหากยอมพรรคร่วม ก็คงได้คืบเอาศอก โดยเฉพาะนายบรรหาร ทั้งเมื่อพร้อมที่จะแตกเป็นแตก หักเป็นหัก “อภิสิทธิ์” เตรียมรับมือก่อนที่จะถึงเวลาเส้นความสัมพันธ์กับเพื่อนพรรคร่วมฯขาดสะบั้นลงไปอย่างไร
**“อภิสิทธิ์” คงประเมินแล้ว เสียงเอะอะโวยวาย แต่ถึงเวลาจริง พรรคร่วมคงไม่กล้าหัก
**ตัวเล็กเสียงดังอย่างบรรหาร ก็อย่างที่ทุกคนรู้ และอ่านออก ผลประโยชน์อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ในระยะสั้นที่ทำโมโหโกรธา ก็แค่เพื่อเพิ่มน้ำหนักการต่อรอง
ชูหางยกความสำคัญของตัวเอง โดยเฉพาะหลังจากมีกระแสข่าวช่วงปีใหม่ ที่นายอภิสิทธิ์ เข้าพบ“ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ที่ว่านายกฯเด็กไปอ้อนผู้ใหญ่ให้ช่วยเคลียร์กับบิ๊กตัวจริงพรรคชาติไทยพัฒนา ใน เรื่องรัฐธรรมนูญ และท่าทีในการร่วมรัฐบาล
“บรรหาร” เลยออกอาการผยอง มองว่าตัวเองถูกยกระดับความสำคัญถึงขั้นที่ต้องพึ่งพาระดับพล.อ.เปรม มาพูดมาจาด้วย ถึงได้ออกอาการกร่างขั้นรุนแรง เดินสายเคลื่อนไหว ดึงพรรคเล็กพรรคน้อยมาเป็นแนวร่วม
เมื่อถึงตรงนี้ “อภิสิทธิ์” เลือกที่จะตบหัวไปแล้ว การที่จะสยบแรงกระเพื่อมจากพรรคร่วมเพื่อให้อยู่ช่วยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ประคับประคองเก้าอี้นายกฯ ต่อไป ก็คงใช้การ “ลูบหลัง” ที่เพียงเบาๆ เล็กๆ เชื่อว่าส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าคิดที่จะแยกทาง
โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณ โครงการต่างๆ ทั้งจากแผนไทยเข้มแข็ง ที่ทยอยออกจากคลัง มาอัดฉีดกันไม่หมดล็อต หรืองบฯปี2554 ที่เสนอตั้งแผนงานกันแล้ว เท่านี้พรรคร่วมส่วนใหญ่ ก็คงตาลุกวาว
เมื่อยังถืออำนาจ ร่วมรัฐบาลอยู่ หนำซ้ำได้โควตากระทรวงรับผิดชอบอย่างที่ปกติจำนวนเสียงของหลายพรรคคงไม่ได้สมบูรณ์พูนสุขขนาดนี้ คงไม่คิดสั้นแยกตัวพลิกขั้วกลับไปอดอยากในอุ้งมือมารหน้าเหลี่ยม
**ในเกมบีบประชาธิปัตย์ เท่าที่เห็นอาการกระเหี้ยนกระหือรือ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็กระฟัดกระเฟียด ที่เด่นชัดก็มีเฉพาะนายบรรหาร ส่วนตัวเอ้ ที่ตามหลังอย่างนายเนวิน ชิดชอบ แต่ถ้าสังเกตให้ดี เหมือนจะถีบ บรรหารให้ออกหน้ามากกว่า โดยเฉพาะหลังเจออาการของขึ้นของนายกฯอภิสิทธิ์ ประกาศแตกหัก เนวินก็ฝ่อลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนพรรคร่วมอื่นๆคงไม่อยากที่จะแยกตัว ให้เกิดเหตุล้มกระดานต้องไปเหนื่อยในสนามเลือกตั้งก่อนเวลา รวมทั้งหากจะพลิกกลับไปหาพรรคของทักษิณ ก็ประเมินออกว่า อะไรจะเกิดขึ้น การตั้งรัฐบาลไม่มีทางราบรื่น และอาจเกิดเหตุฉุกเฉินจาก “อำนาจสีเขียว” ได้ทุกเมื่อ
แม้กระทั่งชาติไทยพัฒนา ที่ทุกการขับเคลื่อนอยู่ในมือของนายบรรหาร ที่ไม่มีเสี่ยงขาดทุนอยู่แล้ว หากมีข้อเสนองามๆ ก็คงเลือกเอาจากที่เห็น “ตรงหน้า”ไว้ก่อน มากกว่าที่จะไปสุ่มเสี่ยงตายเอาดาบหน้ากับน้องรักทักษิณ ที่ยังไร้วี่แววจะได้กลับมามีอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้ง
ถ้าจับอาการกันได้ จากกรณีการโยกเอาคนของตัวเองในสำนักงบฯ มาเป็นปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ คนเก่าที่ไม่สามารถสนองงาน และความโลภของหลงจู๊ได้ นั่นก็ทำให้เห็นว่า “บรรหาร” ยังตั้งใจที่จะอยู่ปฏิบัติการ ล้วงควัก กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ต่อไป
**“อภิสิทธิ์”และคนพรรคประชาธิปัตย์ ก็เห็นไต๋หลงจู๊ จึงเลือกที่จะแตกหัก ขัดใจเพื่อน และสุดท้ายก็คงจะใช้วิธีลูบหลังด้วยการหา “เค้กก้อนใหญ่” มาทดแทนให้หลงจู๊ ที่ติดนิสัยเลียริมฝีปาก ไม่ยอมอดอยากปากแห้ง ให้หยุดป่วน หยุดซ่าส์ กันไปได้อีกพักใหญ่
ยามใดที่คนแซ่เบ๊ เป็นม้าพยศ ก็ต้องสยบด้วยการลงแส้ และปรนเปรอปลอบใจ ด้วยหญ้าเป็นมัดฟ่อนในรางอาหาร เท่านี้ก็คงยอมสยบอยู่ในคอกชั่วคราว
เว้นเสียแต่ว่า ทักษิณ จะมีเงื่อนไขพิเศษที่คนอย่างบรรหาร ไม่สามารถปฏิเสธได้
**แต่ถ้าพยศเมื่อไหร่ก็ต้องตามลงแส้อีกเมื่อนั้น เพราะต้นตำรับแห่งความลื่นไหล ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง แบบ “คนอย่างบรรหาร” ใครก็เอาอยู่ได้ยาก !!
----------------------------------------------------------------------------------------------------
โปรย--
“หลงจู๊”กับ“เสี่ยใหญ่ดิจิตอล” อย่างทักษิณ บ้านร่วมถนนจรัญสนิทวงศ์ สายสัมพันธ์ไม่เคยตัดขาด แม้จะยืนอยู่ต่างฝ่าย และพร้อมที่ร่วมทุนในทางการเมืองกันได้เสมอ ยามที่ผลประโยชน์สอดคล้องต้องตรงกัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน ไม่จำเป็นต้องพูดถึง “ตัวต่อ” ที่คอยประสานสองฝ่ายให้มาร่วมในเกมสมคบคิดล้มรัฐบาล เพราะ“ทักษิณ”กับ “บรรหาร” ยกหูถึงได้เสมออยู่แล้ว
-----------------------------------------------------------------------------------------------