ไม่มีฤกษ์ผานาทีใดๆ เมื่อนาฬิกาตีบอกเวลาประมาณ 20.55 น. เสียง “ตูม” ใหญ่ๆ ก็ดังสนั่นกึกก้องที่ด้านหลังของเวที “รวมพลังแผ่นดิน” ซึ่งจัดโดยพันธมิตรฯ และภาคประชาชน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 พ.ย. ณ ท้องสนามหลวง ในระหว่างที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งใน 5 แกนนำพันธมิตรฯ และว่าที่หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ กำลังกล่าวปราศรัยในหัวข้อ “ทำไมต้องรัก และสู้เพื่อในหลวง”
นาทีนั้นเวทีปราศรัยยังดำเนินต่อไป ผู้ปราศรัยเพียงแค่ผินหน้ามายังที่มาของเสียงระเบิดแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็บรรยายความต่อไปไม่สะทกสะท้าน แถมยังปลอบผู้ชุมนุมไม่ให้เซ็งแซ่ต่อเสียงแปลกปลอมด้วยการชักชวนให้ประชาชนโห่ไล่เสียง “ตูม” นั้นอย่างร่าเริง และฮึกเหิม
ไม่ได้ “เผ่นหนีลงหลังเวที” อย่างที่ไทยรัฐรายงาน หรือ “ปิดเวทีทันควัน” อย่างที่สถานีโทรทัศน์ไทย พี บี เอส สรุป
ทันทีที่เกิดเสียงกัมปนาทขึ้นยังด้านหลังเวทีปราศรัย ผู้คนหลังเวทีซึ่งประกอบด้วย แกนนำพันธมิตรฯ-ผู้ปราศรัย-องค์กรภาคประชาชนที่เข้าร่วม-พ่อยก-แม่ยกจากภูมิภาคต่างๆ รวมถึง “คนดัง” จากวงการบันเทิงและ “บุคคลชั้นสูง” ต่างผินหน้าไปยังต้นเสียงบริเวณ “กลาโหม” โดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่มีใครตื่นตระหนกกับเสียง “ตูม” ซ้ำซาก เพราะถูกเตือนมาแล้วว่า มันเอาเราแน่! แค่เพียงอยากรู้ว่า “ไอ้หน้าไหนมันลอบกัด” และ “ไอ้หน้าไหนมันทำลายงานพลังแผ่นดิน”
“ยิงกันหน้าวัดหน้าวังเลยหรือเนี่ย?” คุณพิภพ ธงชัยที่ยืนอยู่ด้วยกัน กอดอกพูดด้วยสีหน้าและเสียงเรียบเฉย
เวลานั้นเห็น “น้องตั้ม พิชิตชัย” เดินสาวเท้ายาวๆ แหวกความโกลาหลของประชาชนเพื่อตรงไปที่เกิดเหตุ อีกไม่นานเขากลับมาส่งข่าวว่า “ เสียงระเบิด...ตกลงบนฟุตปาธหน้าวัดพระแก้ว มีคนเจ็บหลายคน” สั้นๆ แต่ได้ใจความ และความนั้นก็บานปลายในเวลาต่อมา
เมื่อคุณสนธิลงมาจากเวที เพื่อเตรียมขึ้นเวทีอีกครั้งกับ “พิธีจุดเทียน” เขานั่งนิ่งๆ เช็ดหน้าเช็ดตา ระหว่างนั้นก็ฟังรายงานถึงเสียง “ระเบิด” เวลาผ่านไปอีกนิดหน่อยก็สาวเท้าขึ้นเวทีกล่าวนำประชาชน “จุดเทียน” ถวายพระพรแด่ “พระเจ้าอยู่หัว” และ “พระราชินี” พร้อมพระบรมวงศ์ฯ ทุกพระองค์...ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...ไชโย
ลงจากเวทีอีกครั้งคุณสนธิออกเดินพบปะพูดคุยกับบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ และองค์กรภาคประชาชน ที่ออกันหลังเวทีด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจที่มาช่วยกันทำงานใหญ่ จากนั้นก็ถ่ายรูป และ แจกลายเซ็นตามธรรมเนียมคนรักกันชอบกัน แล้วก็นั่งอยู่ดูการปราศรัยและการแสดงอื่นๆ อีกต่อไป จนใกล้จะ 5 ทุ่ม งานใกล้จะเลิก คุณสนธิถึงได้กลับบ้าน
ไม่ได้เผ่นหนี ไม่ได้ปิดเวที และไม่กลัว
แม้ภายหลังจะชัดเจนว่า “เอ็ม 79 ลูกนั้นเพื่อสนธิโดยเฉพาะถึงกลางเวที” เขาก็ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
แม้จะได้ความคืบหน้าว่า “ส่งตรงมาจากตึกหลังนั้น โดยคนกลุ่มเดิม” เขาก็ไม่ตอบโต้ใดๆ...นิ่งยิ่งกว่าเงียบ ราบเรียบยิ่งกว่าสงบ...เพราะไม่กลัว...จึง...น่ากลัวยิ่งกว่า
หลังสิ้นเสียงระเบิดจางหาย การข่าวของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ผ่านไปสักพักใหญ่กลุ่ม “นายทหารเก่า” ได้สรุปความว่า เสียงตูมนั้นคือ “ระเบิดเอ็ม 79” และประชาชนบาดเจ็บ 12 คนเป็นชาย 8 หญิง 2 และ เด็ก2 คน
คนเจ็บ 3 คนถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดด่วนด้วยสะเก็ดระเบิดทะลุเข้าไปในร่างกาย ส่วนคนอื่นๆ มีบาดแผลเลือดอาบตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ จนถึงลึกฉกรรจ์
คุณสุริยะใส กตะศิลาและทีมงานของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล รุดเยี่ยมทันทีในวันรุ่งขึ้น ตามด้วยพลตรีจำลอง ศรีเมืองและคุณพิภพ ธงชัย ที่ส่งน้ำใจพันธมิตรฯ และค่ารักษาพยาบาลในวันถัดมา
“ลุงอรรณพ” วัย 73 ปี อยู่แถวคลองเตย เคยมีอาชีพค้าขาย ตอนนี้อยู่บ้านสบายๆ เพราะลูก 7 คนเลี้ยงดู ทั้งลุงและลูกๆ จัดว่าเป็นพลเมืองไทยเสื้อเหลืองจัด มักเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทุกครั้งไป แน่นอนลุงไปมาแล้วทั้งมัฆวานฯ ทำเนียบฯ และสนามบิน จะพลาดก็เพียง “7 ตุลา” ที่ลุงไปไม่ทัน
แต่สุดท้ายเมื่อ “เป่านกหวีด” ใน “รวมพลังแผ่นดิน” หลัง “แม้วกอดเขมร”และจาบจ้วงจนสุดทน ลุงอรรณพก็พาตัวเองมาที่สนามหลวงเพื่อ “ฟังสนธิ”
“ลูกสาวผมบอกว่า จะไปก็ได้แต่ต้องฟังอยู่ไกล ผมเลยหาที่ฟังโล่งๆ สบายๆ หลังเวที ฟังไปได้สักพักก็โดนตูมเลย” ลุงอรรณพเล่าคืนระเบิดบนเตียงผู้ป่วย หลังผ่านการผ่าตัดลำไส้เล็กออกไป 15 เซนติเมตร เพราะสะเก็ดระเบิดทะลุเข้าตรงช่องท้องด้านซ้าย แม้เจ็บหนักแต่กำลังใจยังดีเยี่ยม ก่อนร่ำลากันลุงอรรณพบอกว่า “ถ้าหายแล้วจะไปฟังคุณสนธิอีก...ชอบความตั้งใจของแก”
ที่ตึกเดียวกันได้พบกับ “สมร” คนยโสธร วัย39 ปี หนุ่มโรงงานของเราถูกสะเก็ดระเบิดที่ด้านขวาของศีรษะ เขายืนฟังคุณสนธิอยู่ใกล้ๆ กับลุงอรรณพ ตอนเสียงตูมตกลงมา เขายังไม่เข้าใจแม้เลือดอาบก็ยังมึนงง แต่ในวันที่แกนนำเข้าเยี่ยม สีหน้าเขาสุขใจยิ่งที่เห็นลุงจำลอง-อาจารย์พิภพ และน้องยะใส เมื่อถามว่าเจ็บแค่ไหน เขาตอบว่า “เจ็บใจมากกว่าเจ็บหัว” สมรตอบและย้ำว่า ถ้ามีการชุมนุมอีกก็จะมาอีก เพราะรักในหลวง “ผมเป็นคนอีสานเสื้อเหลือง” เขายิ้มภูมิใจ
ถัดไปห้องข้างๆ เราพบกับ “ชัยสิทธิ์” วัย 53 ปี อาชีพค้าขายบ้านอยู่ย่านศาลเจ้าพ่อเสือ เขาโดนสะเก็ดระเบิดเข้าอย่างจังตรงบริเวณใบหน้าทะลุกระพุ้งแก้มด้านซ้าย แรงระเบิดสะเทือนไปถึงตาและจมูกจนเขียวช้ำ คุณหมอผู้ดูแลบอกว่า ต้องผ่าแก้มคุณชัยสิทธิ์เอาสะเก็ดระเบิดออก และรักษารอยช้ำที่บวมเป่งอีกหลายวัน แต่เจ้าตัวกลับยันกายขึ้นมาถามลุงจำลองว่า
“ทำไมต้องเป็นเราเท่านั้นที่ถูกยิงฝ่ายเดียวมาโดยตลอด” ลุงจำลองไม่ตอบแต่เอ่ยปลอบว่า “อย่ากังวลใจรักษาตัวให้หายดีก่อน” ส่วนอาจารย์พิภพบอกว่า “การต่อสู้บนความถูกต้องจะเป็นฝ่ายชนะเสมอ ช้า หรือเร็วเท่านั้นเอง” ฟังคำตอบแล้วคุณชัยสิทธิ์ก็ล้มตัวลงนอน และส่งยิ้มให้คณะที่ร่ำลากลับบ้านพระอาทิตย์
ไม่มีใครกลัวระเบิด ไม่มีอะไรหยุดคนไทยใจรักชาติ และในหลวงได้ ทุกคนพร้อมสู้กับความอยุติธรรม
ไหนๆ ก็พูดถึงคนป่วย จะเล่าถึงผู้ป่วยอีกคนให้ได้ยินกันดังๆ คนนี้ไม่ใช่อื่นไกล “พี่เหลิม แฟนฉัน” คนนั้นไง ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ไปตรวจเช็กร่างกายหมอทหารบอกว่า “หัวใจไม่ค่อยดี ทำบายพาสสักหน่อยก็จะเข้าท่ากว่านี้” พี่เหลิม บางบอนฟังแล้วตบเข่าฉาด เข้าทางว่ะ เลยไปนอนให้หมอบายพาสซะงั้น ทั้งๆ ที่หมอย้ำแล้วย้ำอีกว่า อีก 6 เดือนหรือปีหน้ามาทำก็ยังทันถมเถไป แต่พี่เหลิมย้ำว่า “ไม่ ...ต้องทำเดี๋ยวนี้ จะผ่าจะให้ยาอะไรก็ได้” หมอถามว่าทำไมรีบนัก? แกตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
“กูไม่อยากไปเยี่ยมแม้วที่เขมรกลัวว่ะ ดีไม่ดีเดี๋ยวกลายเป็นกบฏขึ้นมาละยุ่งตายห่าเลย มาขึ้นเขียงกับหมอตอนนี้จะได้เอาไปอ้างได้ว่า นอนป่วย”
เรื่องมันยุ่งตรงนี้ ตรงที่ข้างห้องดันมีคนมานอนป่วยหนีแม้วอีกคน “พี่จิ๋ว” เมื่อเห็นว่า มีเพื่อนร่วมชมรมคนปอดแหกแล้ว สองคู่หูเลยเกี่ยวก้อยกันนอนยาว หมอไล่กลับก็แกล้งไม่ได้ยิน
สงสัยคงนอนอมยิ้ม...ฟังละครวิทยุคณะแม้วใจหมา เรื่อง มนต์รักเขมรแดงแทงใจดำ ตอน พระเอกมาช่วยแล้วจ้า...เอียนจนอ้วก!
นาทีนั้นเวทีปราศรัยยังดำเนินต่อไป ผู้ปราศรัยเพียงแค่ผินหน้ามายังที่มาของเสียงระเบิดแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จากนั้นก็บรรยายความต่อไปไม่สะทกสะท้าน แถมยังปลอบผู้ชุมนุมไม่ให้เซ็งแซ่ต่อเสียงแปลกปลอมด้วยการชักชวนให้ประชาชนโห่ไล่เสียง “ตูม” นั้นอย่างร่าเริง และฮึกเหิม
ไม่ได้ “เผ่นหนีลงหลังเวที” อย่างที่ไทยรัฐรายงาน หรือ “ปิดเวทีทันควัน” อย่างที่สถานีโทรทัศน์ไทย พี บี เอส สรุป
ทันทีที่เกิดเสียงกัมปนาทขึ้นยังด้านหลังเวทีปราศรัย ผู้คนหลังเวทีซึ่งประกอบด้วย แกนนำพันธมิตรฯ-ผู้ปราศรัย-องค์กรภาคประชาชนที่เข้าร่วม-พ่อยก-แม่ยกจากภูมิภาคต่างๆ รวมถึง “คนดัง” จากวงการบันเทิงและ “บุคคลชั้นสูง” ต่างผินหน้าไปยังต้นเสียงบริเวณ “กลาโหม” โดยพร้อมเพรียงกัน
ไม่มีใครตื่นตระหนกกับเสียง “ตูม” ซ้ำซาก เพราะถูกเตือนมาแล้วว่า มันเอาเราแน่! แค่เพียงอยากรู้ว่า “ไอ้หน้าไหนมันลอบกัด” และ “ไอ้หน้าไหนมันทำลายงานพลังแผ่นดิน”
“ยิงกันหน้าวัดหน้าวังเลยหรือเนี่ย?” คุณพิภพ ธงชัยที่ยืนอยู่ด้วยกัน กอดอกพูดด้วยสีหน้าและเสียงเรียบเฉย
เวลานั้นเห็น “น้องตั้ม พิชิตชัย” เดินสาวเท้ายาวๆ แหวกความโกลาหลของประชาชนเพื่อตรงไปที่เกิดเหตุ อีกไม่นานเขากลับมาส่งข่าวว่า “ เสียงระเบิด...ตกลงบนฟุตปาธหน้าวัดพระแก้ว มีคนเจ็บหลายคน” สั้นๆ แต่ได้ใจความ และความนั้นก็บานปลายในเวลาต่อมา
เมื่อคุณสนธิลงมาจากเวที เพื่อเตรียมขึ้นเวทีอีกครั้งกับ “พิธีจุดเทียน” เขานั่งนิ่งๆ เช็ดหน้าเช็ดตา ระหว่างนั้นก็ฟังรายงานถึงเสียง “ระเบิด” เวลาผ่านไปอีกนิดหน่อยก็สาวเท้าขึ้นเวทีกล่าวนำประชาชน “จุดเทียน” ถวายพระพรแด่ “พระเจ้าอยู่หัว” และ “พระราชินี” พร้อมพระบรมวงศ์ฯ ทุกพระองค์...ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน...ไชโย
ลงจากเวทีอีกครั้งคุณสนธิออกเดินพบปะพูดคุยกับบรรดาแกนนำพันธมิตรฯ และองค์กรภาคประชาชน ที่ออกันหลังเวทีด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจที่มาช่วยกันทำงานใหญ่ จากนั้นก็ถ่ายรูป และ แจกลายเซ็นตามธรรมเนียมคนรักกันชอบกัน แล้วก็นั่งอยู่ดูการปราศรัยและการแสดงอื่นๆ อีกต่อไป จนใกล้จะ 5 ทุ่ม งานใกล้จะเลิก คุณสนธิถึงได้กลับบ้าน
ไม่ได้เผ่นหนี ไม่ได้ปิดเวที และไม่กลัว
แม้ภายหลังจะชัดเจนว่า “เอ็ม 79 ลูกนั้นเพื่อสนธิโดยเฉพาะถึงกลางเวที” เขาก็ไม่ประหวั่นพรั่นพรึง
แม้จะได้ความคืบหน้าว่า “ส่งตรงมาจากตึกหลังนั้น โดยคนกลุ่มเดิม” เขาก็ไม่ตอบโต้ใดๆ...นิ่งยิ่งกว่าเงียบ ราบเรียบยิ่งกว่าสงบ...เพราะไม่กลัว...จึง...น่ากลัวยิ่งกว่า
หลังสิ้นเสียงระเบิดจางหาย การข่าวของเพื่อนร่วมอุดมการณ์ก็หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ผ่านไปสักพักใหญ่กลุ่ม “นายทหารเก่า” ได้สรุปความว่า เสียงตูมนั้นคือ “ระเบิดเอ็ม 79” และประชาชนบาดเจ็บ 12 คนเป็นชาย 8 หญิง 2 และ เด็ก2 คน
คนเจ็บ 3 คนถูกนำตัวเข้าห้องผ่าตัดด่วนด้วยสะเก็ดระเบิดทะลุเข้าไปในร่างกาย ส่วนคนอื่นๆ มีบาดแผลเลือดอาบตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ จนถึงลึกฉกรรจ์
คุณสุริยะใส กตะศิลาและทีมงานของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล รุดเยี่ยมทันทีในวันรุ่งขึ้น ตามด้วยพลตรีจำลอง ศรีเมืองและคุณพิภพ ธงชัย ที่ส่งน้ำใจพันธมิตรฯ และค่ารักษาพยาบาลในวันถัดมา
“ลุงอรรณพ” วัย 73 ปี อยู่แถวคลองเตย เคยมีอาชีพค้าขาย ตอนนี้อยู่บ้านสบายๆ เพราะลูก 7 คนเลี้ยงดู ทั้งลุงและลูกๆ จัดว่าเป็นพลเมืองไทยเสื้อเหลืองจัด มักเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ทุกครั้งไป แน่นอนลุงไปมาแล้วทั้งมัฆวานฯ ทำเนียบฯ และสนามบิน จะพลาดก็เพียง “7 ตุลา” ที่ลุงไปไม่ทัน
แต่สุดท้ายเมื่อ “เป่านกหวีด” ใน “รวมพลังแผ่นดิน” หลัง “แม้วกอดเขมร”และจาบจ้วงจนสุดทน ลุงอรรณพก็พาตัวเองมาที่สนามหลวงเพื่อ “ฟังสนธิ”
“ลูกสาวผมบอกว่า จะไปก็ได้แต่ต้องฟังอยู่ไกล ผมเลยหาที่ฟังโล่งๆ สบายๆ หลังเวที ฟังไปได้สักพักก็โดนตูมเลย” ลุงอรรณพเล่าคืนระเบิดบนเตียงผู้ป่วย หลังผ่านการผ่าตัดลำไส้เล็กออกไป 15 เซนติเมตร เพราะสะเก็ดระเบิดทะลุเข้าตรงช่องท้องด้านซ้าย แม้เจ็บหนักแต่กำลังใจยังดีเยี่ยม ก่อนร่ำลากันลุงอรรณพบอกว่า “ถ้าหายแล้วจะไปฟังคุณสนธิอีก...ชอบความตั้งใจของแก”
ที่ตึกเดียวกันได้พบกับ “สมร” คนยโสธร วัย39 ปี หนุ่มโรงงานของเราถูกสะเก็ดระเบิดที่ด้านขวาของศีรษะ เขายืนฟังคุณสนธิอยู่ใกล้ๆ กับลุงอรรณพ ตอนเสียงตูมตกลงมา เขายังไม่เข้าใจแม้เลือดอาบก็ยังมึนงง แต่ในวันที่แกนนำเข้าเยี่ยม สีหน้าเขาสุขใจยิ่งที่เห็นลุงจำลอง-อาจารย์พิภพ และน้องยะใส เมื่อถามว่าเจ็บแค่ไหน เขาตอบว่า “เจ็บใจมากกว่าเจ็บหัว” สมรตอบและย้ำว่า ถ้ามีการชุมนุมอีกก็จะมาอีก เพราะรักในหลวง “ผมเป็นคนอีสานเสื้อเหลือง” เขายิ้มภูมิใจ
ถัดไปห้องข้างๆ เราพบกับ “ชัยสิทธิ์” วัย 53 ปี อาชีพค้าขายบ้านอยู่ย่านศาลเจ้าพ่อเสือ เขาโดนสะเก็ดระเบิดเข้าอย่างจังตรงบริเวณใบหน้าทะลุกระพุ้งแก้มด้านซ้าย แรงระเบิดสะเทือนไปถึงตาและจมูกจนเขียวช้ำ คุณหมอผู้ดูแลบอกว่า ต้องผ่าแก้มคุณชัยสิทธิ์เอาสะเก็ดระเบิดออก และรักษารอยช้ำที่บวมเป่งอีกหลายวัน แต่เจ้าตัวกลับยันกายขึ้นมาถามลุงจำลองว่า
“ทำไมต้องเป็นเราเท่านั้นที่ถูกยิงฝ่ายเดียวมาโดยตลอด” ลุงจำลองไม่ตอบแต่เอ่ยปลอบว่า “อย่ากังวลใจรักษาตัวให้หายดีก่อน” ส่วนอาจารย์พิภพบอกว่า “การต่อสู้บนความถูกต้องจะเป็นฝ่ายชนะเสมอ ช้า หรือเร็วเท่านั้นเอง” ฟังคำตอบแล้วคุณชัยสิทธิ์ก็ล้มตัวลงนอน และส่งยิ้มให้คณะที่ร่ำลากลับบ้านพระอาทิตย์
ไม่มีใครกลัวระเบิด ไม่มีอะไรหยุดคนไทยใจรักชาติ และในหลวงได้ ทุกคนพร้อมสู้กับความอยุติธรรม
ไหนๆ ก็พูดถึงคนป่วย จะเล่าถึงผู้ป่วยอีกคนให้ได้ยินกันดังๆ คนนี้ไม่ใช่อื่นไกล “พี่เหลิม แฟนฉัน” คนนั้นไง ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย ไปตรวจเช็กร่างกายหมอทหารบอกว่า “หัวใจไม่ค่อยดี ทำบายพาสสักหน่อยก็จะเข้าท่ากว่านี้” พี่เหลิม บางบอนฟังแล้วตบเข่าฉาด เข้าทางว่ะ เลยไปนอนให้หมอบายพาสซะงั้น ทั้งๆ ที่หมอย้ำแล้วย้ำอีกว่า อีก 6 เดือนหรือปีหน้ามาทำก็ยังทันถมเถไป แต่พี่เหลิมย้ำว่า “ไม่ ...ต้องทำเดี๋ยวนี้ จะผ่าจะให้ยาอะไรก็ได้” หมอถามว่าทำไมรีบนัก? แกตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
“กูไม่อยากไปเยี่ยมแม้วที่เขมรกลัวว่ะ ดีไม่ดีเดี๋ยวกลายเป็นกบฏขึ้นมาละยุ่งตายห่าเลย มาขึ้นเขียงกับหมอตอนนี้จะได้เอาไปอ้างได้ว่า นอนป่วย”
เรื่องมันยุ่งตรงนี้ ตรงที่ข้างห้องดันมีคนมานอนป่วยหนีแม้วอีกคน “พี่จิ๋ว” เมื่อเห็นว่า มีเพื่อนร่วมชมรมคนปอดแหกแล้ว สองคู่หูเลยเกี่ยวก้อยกันนอนยาว หมอไล่กลับก็แกล้งไม่ได้ยิน
สงสัยคงนอนอมยิ้ม...ฟังละครวิทยุคณะแม้วใจหมา เรื่อง มนต์รักเขมรแดงแทงใจดำ ตอน พระเอกมาช่วยแล้วจ้า...เอียนจนอ้วก!