“ผ่าประเด็นร้อน”
ต้องยอมรับว่าสร้างความแปลกใจที่จู่ๆ มีการการรื้อฟื้นคดีที่เกี่ยวข้องกับซาอุดีอาระเบียอย่างเอาจริงเอาจัง โดยเฉพาะคดีการหายตัวไปของนักธุรกิจซาอุฯ ที่ชื่อ มูฮัมหมัด อัลรูไวรี ที่มีศักดิ์เป็นพระญาติของกษัตริย์ไฟซาลแห่งซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี 2533 ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเขาถูกอุ้มฆ่าโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มหนึ่ง
ล่าสุด เมื่อวานนี้ (12 ม.ค.) ทางอัยการสูงสุดก็ได้สั่งฟ้องผู้ต้องหารวม 5 คน ซึ่งเป็นตำรวจทั้งหมดอันประกอบด้วย พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 ผบช.ภ.5 พ.ต.อ. สรรักษ์ หรือสมชาย จูสนิท ผกก.สภ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน พ.ต.อ.ประภาส ปิยะมงคล ผกก.สภ.น้ำขุ่น จ.อุบลราชธานี พ.ต.ท.สุรเดช อุดมดี และ จ.ส.ต.ประสงค์ ทอรั้ง ตำรวจนอกราชการ ในความผิดในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อหาหน่วงเหนี่ยว ปกปิดการกระทำอื่นของตน และหลีกเลี่ยงความผิดอาญา ความผิดอื่นที่ตนได้กระทำ และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
หากย้อนพลิกดูความเป็นมาของคดีดังกล่าว ก็พบว่ามีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนและมีความเกี่ยวพันกับบุคคลหลายฝ่ายและที่สำคัญเป็นหนึ่งในคดีสำคัญที่เป็นต้นเหตุทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับไทยต้องสะบั้นลงตั้งแต่บัดนั้นนอกเหนือจากคดีขโมยเพชรซาอุฯ เมื่อปี 2532 และจากนั้นเป็นต้นมาทางการซาอุฯ ก็ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตเหลือแค่ระดับอุปทูตเท่านั้น
ที่ผ่านมา ดูเหมือนมีความพยายามจะรื้อฟื้นคดีและมีการติดตามหาหลักฐานร่องรอยของผู้ตาย รวมไปถึงการหาตัวคนร้ายมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ปรากฏว่าทุกอย่างก็เงียบหายไปกับสายลมนานนับสิบปี จนกระทั่งในปลายยุคของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก่อนจะลุกไปจากเก้าอี้อธิบดีกรมสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ได้สั่งรื้อฟื้นคดีดังกล่าวขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งในตอนนั้นก้ได้สร้างความกังขาขึ้นมาไม่น้อย
อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นก็คือคดีดังกล่าวมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนมาตั้งแต่เริ่มต้นและเกี่ยวพันกันหลายกลุ่มทั้งในกลุ่มข้าราชการ และฝ่ายการเมืองเกี่ยวเนื่องไปจนถึงกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องว่ากันทีละขั้นตอน แต่ในที่นี้น่าจะพิจารณาในตอนปัจจุบันและย้อนกลับไปไม่นานนักมาตั้งข้อสังเกต
เริ่มจากการโฟกัสไปที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ก่อน ซึ่งก่อนที่จะมานั่งเก้าอี้ใหญ่ที่ดีเอสไอ เคยเป็นนายตำรวจกองปราบเคยมีบทบาทในการทำคดีสำคัญมาแล้วมากมาย และที่สำคัญเป็นที่รู้กันว่ามีความใกล้ชิดกับ “ระบอบทักษิณ” หากยังจำกันได้หลังจากมีการเด้ง สุนัย มโนมัยอุดม พ้นจากอธิบดีกรมดีเอสไอ แล้ว นำ พ.ต.อ.ทวี มานั่งแทนก็มีการสั่งไม่ฟ้องคดีแอสซีแอสเซท ที่ ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ถูกกล่าวหาคนสำคัญ นอกเหนือจากความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะ “พิเศษ” กับคนในครอบครัว “ชินวัตร” อีกด้วย
ขณะที่ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม เมื่อหลายปีก่อนก็เป็นนายตำรวจมือปราบมีบทบาทสำคัญในการจับกุมคนร้าย จนกระทั่งเกิดคดีการหายตัวไปของ “อัลรูไวรี” นักธุรกิจซาอุฯ ทำให้ชื่อของ สมคิด ต้องสะดุดลงและหลบกระแสไปพักใหญ่ อย่างไรก็ดีความเป็นน้องชายของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม อดีตหัวหน้าสำนักงานเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ขับเคี่ยวกับระบอบทักษิณ มาอย่างหนัก ก็ถูกจับตาไม่น้อย หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 คุมพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นพื้นที่ “สีแดงแจ๋”
ที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่านับตั้งแต่ พล.ต.ท.สมคิด ไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้ทำให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงทำได้ไม่สะดวก บรรดาแกนนำหลายคนถูกติดตามดำเนินคดีอย่างจริงจัง ทำให้ภาคเหนือมีความสงบเกิดขึ้นพอสมควร
การที่ พ.ต.อ.ทวี รื้อฟื้นคดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯมาเล่นงาน พล.ต.ท.สมคิด ในตอนแรกก็ช่วยไม่ได้ที่มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเพื่อหาทางเด้งให้พ้นจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงนั่นเอง
ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาสองสามวันนี้บังเอิญว่ามีความเคลื่อนไหวของ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีทุจริตที่จงใจปูดข่าวอ้างว่าได้รับเชิญจากเจ้าชายซาอุฯให้พบและได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาในเรื่องผังเมือง เหมือนกับต้องการชี้ให้เห็นเป็นนัยว่าขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังเสื่อมทราม แต่ตัวเองกลับมีความสำคัญ จงใจสื่อให้เห็นว่าในอนาคตตัวเองนี่แหละคือความหวังในการสร้างความเข้าใจอาจทำให้แรงงานไทยได้กลับเข้าไป “ขุดทอง”ตะวันออกกลางอีกครั้งอะไรประมาณนี้แหละ
หากจะให้คาดเดาเมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของนักโทษระดับเศรษฐีดังกล่าวก็ทำให้เห็นร่องรอยว่าเขากำลังจะหาช่องทางย้ายฐานกบดานจากดูไบไปหาที่แหล่งใหม่ในซาอุดีอาระเบีย โดยอาศัยช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในลักษณะของการป้อนข้อมูลเชิงลบบางอย่างเข้าไป
ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีอุปทูตซาอุฯ ประจำประเทศได้เข้าพบนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการหารือกันอยู่ครู่ใหญ่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นกำหนดการที่มีการเปิดเผยรับรู้กันมาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนที่ ทักษิณ จะมาอ้างในทวิตเตอร์เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา
หากพิจารณามาถึงตรงนี้ก็ทำให้คิดกันไปต่างๆนานา เพราะล่าสุดวานนี้ (12 ม.ค.) อัยการสูงสุดก็ได้สั่งฟ้อง พล.ต.ท.สมคิด กับพวกรวม 5 คนแล้ว ขณะเดียวกันศาลก็ยกคำร้องของ 5 ผู้ต้องหาที่ให้ไต่สวนคำฟ้องของพนักงานอัยการในคดีดังกล่าว
ข้อสังเกตก็คือ เป็นการรับ-ส่งสัญญาณกันไปมาระหว่างไทยและซาอุฯ ในเรื่องที่จะรื้อฟื้นความสัมพันธ์โดยอาศัยคดีอุ้มนักธุรกิจมาเป็นข้อพิสูจน์ความจริงใจของฝ่ายไทย ซึ่งแม้ว่าในตอนแรกอาจดูเหมือนว่าเป็นเกมการเมืองของฝ่ายทักษิณที่รื้อคดีขึ้นมาเพื่อหาทางเด้ง พล.ต.ท.สมคิดให้พ้นไปจากพื้นที่ภาคเหนือก็ตาม แต่ในเมื่อสถานการณ์มันพัฒนามาไกลไปอีกแบบ ทุกอย่างก็อาจเข้าทางของนายกฯ อภิสิทธิ์ ทันที เหมือนกับยิงนกทีเดียวได้นกสองตัว
เพราะในกรณีนี้ถือว่า นายกฯ สามารถลอยตัว ปล่อยให้ทุกอย่างว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม เพียงแต่เร่งรัดให้มีการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาโดยที่ไม่เข้าไปแทรกแซงหรือกดดัน และไม่ว่าผลของคดีในชั้นศาลจะออกมาอย่างไรก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นความคืบหน้าที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่เคยมีมา และนี่ก็อาจจะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่สะบั้นลงมานานให้กลับมาต่อติดกันใหม่อีกครั้งก็เป็นได้
นั่นย่อมหมายความว่าจะส่งผลดีในด้านแรงงานไทยที่จะไปขุดทองในตะวันออกกลางในอนาคต รวมไปถึงจะได้ใช้เป็นตัวเชื่อมในกลุ่มประเทศอิสลาม (โอไอซี) ซึ่งประเทศซาอุฯมีอิทธิพลสำคัญ ซึ่งจะได้ประโยชน์ในทางเศรษฐกิจแล้วยังรวมไปถึงการแก้ปัญหาชายแดนใต้อีกด้วย
ซึ่งต้องจับตาให้ดี เพราะงานนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน!!