xs
xsm
sm
md
lg

ทุจริตใน สธ.สั่นสะเทือนรัฐบาล “อภิสิทธิ์” เข้าจังเบอร์!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วิทยา แก้วภราดัย
“ผ่าประเด็นร้อน”

ต้องบอกว่าเหนือความคาดหมายสำหรับผลการสอบสวนของคณะกรรมการตรวจสอบทุจริตการจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์และการก่อสร้างอาคารของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขตามโครงการไทยเข้มแข็งวงเงินงบประมาณ 8.6 หมื่นล้านบาท ที่มี นพ.บรรลุ ศิริพานิช เป็นประธาน และมี พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ ร่วมเป็นกรรมการสอบสวน ซึ่งทั้งคู่ไม่ต้องอธิบายแนะนำตัวกันให้มากในเรื่องของความ “ตงฉิน” ตรงไปตรงมา สังคมให้ความเชื่อถือเต็มร้อย

ในที่สุดผลสอบก็สรุปออกมาและส่งถึงมือนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันจันทร์ที่ 28 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยในเบื้องต้นพบความผิดส่อไปในทางทุจริต เอื้อประโยชน์ให้กับส่วนตัวและพรรคพวก ชนิดที่เรียกว่าเล่นกันเป็นเครือข่าย เป็นขบวนการ

สำหรับรายชื่อที่เข้าข่ายกระทำผิดและต้องรับผิดชอบมีทั้งนักการเมืองและข้าราชการโดนกันกราวรูด และเป็นระดับบิ๊กทั้งหมด ไม่มีประเภทปลาซิวปลาสร้อยให้รำคาญใจ ส่วนจะผิดจริงถูก จริงหรือไม่ให้รอพิสูจน์กันอีกชั้นในศาลหรือในขั้น ปปช.ต่อไป

ผู้ที่อยู่ในข่ายแยกออกมาคร่าวๆ ดังกล่าวนี้ ฝ่ายการเมืองนำโดย วิทยา แก้วภราดัย ในฐานะเจ้ากระทรวง มานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการ นพ.กฤษฎา มนูญวงศ์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีสาธารณสุข

กรณีของ วิทยา ถือว่าต้องรับผิดชอบ เนื่องจากเป็นผู้บริหารสูงสุดในหน่วยงานที่เปิดช่องให้มีการทุจริต ขณะที่ มานิต มีพฤติการณ์แทรกแซง ล้วงลูกกดดันให้มีโครงการลงพื้นที่ของตัวเอง

ขณะเดียวกัน ระดับข้าราชการที่เป็นผู้บริหารระดับสูงสุดที่อยู่ในข่ายความผิดก็ไล่ลงมาตั้งแต่ปลัดกระทรวงคนปัจจุบันและคนก่อนที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว รองปลัดฯ อธิบดีกรมการแพทย์ เป็นต้น

เมื่อผลสอบออกมาแบบนี้มันก็ส่งผลสะเทือนต่อรัฐบาลโดยตรง และรุนแรงจนน่าเป็นห่วง

ในเรื่องของตัวบุคคล ทั้ง วิทยา-มานิต นาทีนี้ถือว่านั่งอยู่ในเก้าอี้รัฐมนตรีต่อไปไม่ได้อีกแล้ว แม้ว่าในแง่หลักการแล้วยังถือว่าบุคคลดังกล่าวยังบริสุทธิ์ ยังไม่ถือว่ามีความผิด เพราะต้องผ่านการพิสูจน์ในชั้นศาล หรือ ป.ป.ช.ต่อไป แต่ในฐานะของ นักการเมืองจะต้องมีมาตรฐานทางจริยธรรมที่สูงเด่นมากกว่าคนทั่วไป


ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาหัวหน้ารัฐบาลคือ นายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ได้ประกาศกฎเหล็ก 9 ข้อ เป็นสัญญาประชาคมเพื่อป้องกันในเรื่องทุจริต และมาตรฐานทางจริยธรรมของคณะรัฐมนตรีและนักการเมือง สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นกรอบที่ต้องเดินตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การลาออกของทั้ง วิทยา และมานิต หากเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าทั้งคู่จะมีความผิดโดยทันที แต่หมายความว่าเป็นการแสดงสปิริต เพื่อเข้าสู่การพิสูจน์ในขั้นต่อไป

กรณีที่ระบุว่าผลสอบการทุจริตในกระทรวงสาธารสุขดังกล่าวย่อมส่งผลสะเทือนใหญ่โตต่อรัฐบาล นอกเหนือจากความเสื่อมศรัทธา หรือต่อนายกรัฐมนตรีแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องมีแรงกดดันให้รัฐมนตรีทั้งคู่ต้องลาออก และเมื่อลาออกแล้วก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวภายในพรรคร่วมรัฐบาล อย่างน้อยก็มีถึงสองพรรคคือ ประชาธิปัตย์และภูมิใจไทยที่เป็นต้นสังกัดของรัฐมนตรีทั้งสองคน

ที่น่าจับตาก็คือ มาบังเกิดเอาในช่วงที่รัฐบาลกำลังจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยพรรคฝ่ายค้านอยู่พอดี และเพิ่งได้รับคำยืนยันจากปากของนายกรัฐมนตรีล่าสุดว่าจะมีการปรับคณะรัฐมนตรีหลังจากผ่านพ้นศึกซักฟอกไปแล้ว ในเวลานี้ถ้าจะมีก้เพียงแค่ตำแหน่งรองนายกฯ ของ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ที่จะโยกไปนั่งเก้าอี้เลขาธิการนายกฯ แล้วให้ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี มาเสียบแทนเท่านั้น

แต่นั่นเป็นการพูดก่อนที่จะรู้ผลสอบ อย่างไรก็ดีหากมองอีกมุมหนึ่งก็อาจมีความเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่า นายกฯ รู้ระแคะระคายเกี่ยวกับผลสอบว่าจะต้องออกมาแบบนี้จึงรีบพูดตัดไฟเสียแต่ต้นลม เพราะหาก วิทยา-มานิต ลาออกก็เพียงแค่ตั้งรัฐมนตรีคนอื่นไปรักษาการ หรือตัวนายกฯเองเป็นผู้ดูแลควบชั่วคราวไปก่อนก็เป็นได้ เพื่อป้องกันแรงกระเพื่อมภายใน

แต่ถึงอย่างไรปัญหาก็ย่อมเกิดขึ้นแน่ และปัญหาที่ว่าไม่ใช่อยู่ที่ วิทยากับ มานิต เพราะนาทีนี้ถือว่านั่งอยู่ในเก้าอี้รัฐมนตรีต่อไปอีกไม่ได้อยู่แล้ว แต่ที่น่าหนักใจก็คือตำแหน่งที่จะว่างลงว่าจะมีใครมานั่งแทน และที่สำคัญเป็นเก้าอี้ตัวใหญ่เป็นที่หมายปองของระดับขาใหญ่ทั้งนั้น

นี่แหละที่บอกว่ามันจะส่งผลสะเทือนไปไกล!!

มานิต นพอมรวดี
กำลังโหลดความคิดเห็น