xs
xsm
sm
md
lg

มาร์ค-แม้ว เริ่มทิ้งห่างภาพที่ตัดกันสุดขั้ว !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
"ผ่าประเด็นร้อน"

บางครั้งกาลเวลาและสถานการณ์จะเป็นตัวการสำหรับอธิบาย และแยกแยะว่าสิ่งใหนควรไม่ควร หรือถูกผิดได้ด้วยตัวของมันเอง เหมือนกับการอธิบายภาพของคนสองคนระหว่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ ทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นอย่างดี

แรกเริ่มเดิมทีใครจะเชื่อว่า คนอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะมีวาสนาได้นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และเมื่อได้นั่งแล้ว จะอยู่ไปสักกี่น้ำ ในตอนนั้นเมื่อเกิดเหตุจลาจลเผาเมืองของ “ม็อบเสื้อแดง” ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา เชื่อว่า แทบทุกคนก็ต้องเชื่อว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ล่องจุ๊นไปแน่ๆ มิหนำซ้ำยังหวั่นใจอีกว่าจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่

เพราะหากว่ากันตามความเป็นจริงแล้วในช่วงนั้นยังมี ทหารบางกลุ่มคิดฉวยโอกาสผสมโรงออกมายึดอำนาจเงียบ และมีข่าวลอบสังหารออกมา แต่หลังจากที่ได้ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบีบให้กองทัพต้องทำตามคำสั่งเข้ามาควบคุมสถานการณ์ประกอบกับพฤติกรรมถ่อยเถื่อนของม็อบที่ทำให้คนไทยรับไม่ได้ จนในที่สุดทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย

รอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ และนับจากวันนั้นบารมีในตำแหน่งนายกฯก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ภาพของผู้นำเด็กที่ก่อนหน้านี้ถูกเยาะเย้ยจากฝ่ายตรงข้ามก็เริ่มลดน้อยลง

ฝ่ายที่เคยจะท้าทายอำนาจและคิดใช้เป็นเครื่องมือเป็น “นั่งร้าน” อำนาจ ก็เริ่มไม่ได้รับการยอมรับ สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะที่ผ่านมาคนพวกนี้ไม่สามารถสร้างผลงานเป็นที่ประทับใจกับสังคมได้เลย ซึ่งหากว่ากันอย่างตรงไปตรงมา เป็นกลุ่มที่อยู่ในหน่วยงานความั่นคงนั่นแหละ โดยภาพรวมถือว่า “ไม่เอาอ่าว” กลายเป็นว่าปัจจุบันต้องเป็นภาระให้กับนายกรัฐมนตรีเสียอีก

เมื่อแรงกดดันทางการเมืองเริ่มคลี่คลายลงทำให้ นายกฯอภิสิทธิ์ สามารถออกนโยบายให้เห็นผลงานได้เป็นกอบเป็นกำมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากก่อนหน้านี้ได้นำร่องไปในเรื่องนโยบายเรียนฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-คนพิการ อสม.และทีเด็ดล่าสุดคือโครงการประกันราคาสินค้าเกษตร รวมไปถึงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ แม้ในช่วงแรกๆอาจจะติดตัดบ้าง เพราะถูกขัดคอจากทั้งพรรคร่วมและฝ่ายตรงข้ามที่เสียประโยชน์ แต่หลังจากทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางมันก็ไหลลื่น บรรยากาศต่อต้านก็เริ่มเพลาลง

เพราะเมื่อเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่มีรายได้ไม่ขาดทุนกระจายไปอย่างทั่วถึงปัญหาก็จะเบาลง แม้แต่คนเสื้อแดงก็เริ่มวางเฉย บรรยากาศต่างกันจากสมัยก่อนลิบลับ

นอกเหนือจากนี้ภาพของความเป็นผู้นำอินเตอร์ก็ได้จังหวะพอดิบพอดี หลังจากได้โอกาสเป็นประธานอาเซียน และมีแรงส่งจากเลขาธิการอาเซียนคือ สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตคนกันเองจากพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากนี้ในยุคของ อภิสิทธิ์ มีการเข้าร่วมประชุมระดับผู้นำระดับโลกเป็นว่าเล่น ทั้งกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมใหญ่ยูเอ็น ประชุมเอเปก ผู้นำ จี20 ล่าสุดกำลังจะเดินทางไปร่วมประชุมแก้ปัญหาโลกร้อนที่เดนมาร์กอาทิตย์หน้า มีผู้นำทั่วโลกเข้าร่วมนับร้อย

เรียกได้ว่าในช่วงเวลาเพียงแค่ 11 เดือน นายกฯอภิสิทธิ์ สามารถเป็นที่รู้จักในเวทีโลกอย่างรวดเร็ว และเหนือความคาดหมาย

ขณะเดียวกัน เมื่อหันมาดูอีกด้านหนึ่ง สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร บ้าง ในตอนต้นภาพลักษณ์ที่เป็น “อัศวิน” ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสามารถสร้างความประทับใจให้กับบรรดารากหญ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นคนชั้นล่างของประเทศจำนวนมาก

โดยใช้กลไกการตลาดแบบ “ภาพลวงตา” ประชานิยมในยุคที่เศรษฐกิจโลกกำลังบูม ยังเพิ่มแรงอัดฉีดกระตุ้นเข้าไปอีก เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตแบบสองแรงบวก แต่อีกด้านหนึ่งก็ส่งผลดีให้กับธุรกิจของครอบครัวได้ขยายเติบโตพร้อมกันไปด้วย

อย่างไรก็ตามหลังจากถูกขับไล่พ้นจากอำนาจ ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี และถูกดำเนินคดีทุจริตพ่วงต่อท้ายอีกเป็นหางว่าว ประกอบกับการแสดงออกที่สังคมเริ่มจับได้ไล่ทันว่าทำเพื่อตัวเอง เพื่ออำนาจของตัวเองและทรัพย์สินของตัวเองเท่านั้น

ที่สำคัญสิ่งที่คนไทยรับไม่ได้ และเป็นเดือดเป็นแค้นก็คือการหลุด “ตัวตน” ออกมาจากการให้สัมภาษณ์จาบจ้วง ให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง ทำให้มวลชนเริ่มชิ่งหนี แม้แต่คนเสื้อแดงด้วยกันเองก็รับไม่ได้ หรือแม้กระทั่งก่อนหน้านั้นกรณีรับเป็นที่ปรึกษา “ฮุนเซน” ก็ถูกตราหน้าเป็นคนขายชาติ มีแต่ภาพลบ

ล่าสุดยังดึงดันไฟเขียวให้ชุมนุมในวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลแห่งความสุขของคนไทย เป็นบรรยากาศถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัว และการชุมนุมดังกล่าวยังเหมือนกับว่าเป็นการฝ่าฝืนพระราชดำรัสของพระองค์ท่านที่ทรงตรัสตอนหนึ่งว่า “ความสุขของข้าพเจ้าคือบ้านเมืองเป็นปกติสุข”

ดังนั้นการชุมนุมของเสื้อแดงและ ทักษิณ และการได้แนวร่วม “ถ่อย” อย่าง เสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล เข้ามาผสมโรงก็ยิ่งทำให้มวลชนระดับคุณภาพที่เคยเอาด้วย ต่างโบกมือลา และถือว่าได้ตอกฝาโลงฝังตัวเองจนเกือบจะสิ้นเชิงแล้ว และเชื่อว่าต่อไปคนกลุ่มนี้ก็จะทำได้เพียงแค่สร้างความรำคาญให้กับสังคมเท่านั้น และจะถูกถ่มถุยจนต้องหลีกเร้นไปในที่สุด

ที่ผ่านมาคือข้อเปรียบเทียบระหว่างคนสองคนที่นับวันช่องว่างจะเริ่มถ่างออกต่างกันสุดขั้ว คนแรกที่เริ่มต้นแบบกระท่อนกระท่อนแต่นานวันยิ่งแข็งแกร่ง ขณะที่อีกคนเริ่มต้นด้วยมวลชนนับแสนมีพลังสนับสนุนเปี่ยมล้นทั้งในและต่างประเทศ แต่นานวันเมื่อความจริงถูกเปิดโปงเรื่อยๆ ก็ยิ่งเผยให้เห็นถึงสันดานดิบข้างในทำให้มีแต่ความเสื่อมถอยถูกชิงชังรังเกียจจากสังคมมากขึ้นทุกวัน

และนี่คือภาพที่ต่างกันสุดขั้ว !!
ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี กำลังชักใยเสื้อแดงป่วนเมือง
กำลังโหลดความคิดเห็น