"ผ่าประเด็นร้อน"
เวลานี้ชัดเจนแล้วว่า นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ได้ไขก๊อกพ้นจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เซ็นลงนามอนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทีนี้ปัญหาก็คือจะเอาใครมาแทน จะเอา กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ จากรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจมาแทนหรือ เดี๋ยวก็จะมีปัญหาเกิดแรงกระเพื่อมทั้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ และลามไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ
หากเลวร้ายสุดๆ ก็อาจทำให้รัฐบาลโดยรวมซวนเซและเกิดภาพลบลงอีกโดยไม่จำเป็น
ขณะเดียวกันถ้าไม่ใช่กอร์ปศักดิ์ แล้วจะเอาใครมานั่ง
อย่างไรก็ดีก่อนที่จะไปในรายละเอียดตรงนั้นก็ขอย้อนกลับมาที่ปัญหาของนิพนธ์ เสียก่อนถึงสาเหตุที่ต้องลาออกจากเก้าอี้เลขาธิการนายกฯ ที่ถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตไม่เบา บางยุคสมัยใครที่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้เปรียบเหมือน “นายกฯ น้อย” ทีเดียว เพราะมีบทบาทมีอิทธิพลสูงมาก หากรู้จักใช้ให้เป็น
แต่สำหรับบทบาทของนิพนธ์ในช่วงที่ผ่านมาถือว่ามีบทบาทไม่น้อยเหมือนกัน แต่เป็นภาพที่ออกมากลับเป็นลักษณะเอื้อประโยชน์ให้กับ “กลุ่มอิทธิพล” อื่นๆ ในรัฐบาล และส่วนใหญ่ก็เห็นไปคนละทางกับนายกฯ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา ทั้งในรัฐบาลและในพรรคประชาธิปัตย์
เห็นได้ชัดกรณีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ที่นายกรัฐมนตรีต้องการผลักดัน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ขึ้นมา แต่ตนเองพร้อมด้วย “น้องเขย” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผนึกกำลังกับพรรคร่วมฯ เช่น “กลุ่มเนวิน” ไปสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย หน้าตาเฉย และเมื่อดันคนของตัวเองไม่ได้ก็ยื่นใบลาออก
หากจะบอกว่านั่นคือสปิริต ก็คงเป็นสปิริตที่พิลึกพิลั่นนั่นแหละ
วกกลับมาที่การหาคนมาแทนในตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ คนใหม่ ล่าสุดมีความเป็นไปได้สูงเช่นเดียวกันที่จะขยับ ปณิธาน วัฒนายากร จากรองเลขาธิการนายกฯ ขึ้นมา เพราะเห็นว่าระยะหลังเขาได้ทำหน้าที่ในฐานะเลขาฯ มากขึ้น ขณะที่อีกตำแหน่งที่รักษาการตำแหน่งโฆษกรัฐบาล ดูเหมือนว่าไม่มีความถนัดเอาเสียเลย
สำหรับ กอร์ปศักดิ์ นาทีนี้คงไม่อยากขยับพ้นจากเก้าอี้รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ เพราะนั่นหมายความว่า เขาจะถูกมองว่ามีปัญหาในการทำหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีความพยายามผลักดันจากพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะจากพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ชิดชอบ จนมีปัญหาคาใจกันหลายเรื่อง ที่เห็นกันชัดๆก็คือเรื่องการประมูลระบายข้าวในสต๊อกออกขายต่างประเทศของกระทรวงพาณิชย์
ว่ากันว่างานนี้หมูจะหามกันอยู่แล้วเชียว แต่ดันมีรายการเอาคานเข้ามาสอด ทำให้นักการเมืองบางกลุ่มเสียรายได้ไปมหาศาล ทั้งที่มีการ “จ่าย” กันล่วงหน้าไปแล้ว
ในฐานะที่เป็นรองนายกฯ ดูแลด้านเศรษฐกิจที่ “สกรีน” กันละเอียดยิบ จนสร้างความรำคาญให้พรรคร่วม จึงเป็นที่มาของการแซะให้พ้นทางมาตลอด
ขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ก็รับรู้เรื่องแบบนี้
อย่างไรก็ดีเมื่อ นิพนธ์ไขก๊อก ก็อาจสบช่องเพื่อหาทางออก โดยนายกฯ คงอยากให้ กอร์ปศักดิ์ มานั่งแทน ถึงกับลงทุนไปเจรจาทาบทามถึงบ้านย่านหัวหมากนานเป็นชั่วโมง แต่ก็เจ้าตัวไม่ยอมโอเคด้วย เพราะถ้ายอมก็หมายความว่าตัวเองทำงานผิดพลาดเสียเครดิต
อีกด้านหนึ่ง หากมีการขยับกอร์ปศักดิ์ มาเป็นเลขาธิการนายกฯ ก็ย่อมหมายถึงว่าจะต้องปรับคณะรัฐมนตรีกันใหม่ เพื่อหาคนเข้าไปแทน แต่สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ต้องนำชื่อเข้าหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค โอกาสที่เกิดการแย่งชิง คนที่เคยพลาดหวังเมื่อคราวที่แล้วจะขอเป็นมั่ง ยุ่งกันใหญ่
และดีไม่ดีอาจลามไปถึงพรรคร่วมอื่นๆ ที่จะขอปรับคณะรัฐมนตรีไปในคราวเดียวกัน จนเกิดแรงกระเพื่อมกันไปทั้งรัฐบาล และอาจเกิดปัจจัยแทรกซ้อนจากภายนอกมาผสมโรงอีกก็เป็นไปได้ เชื่อว่าทำให้นายกฯ ต้องคิดหนัก
แต่ท่าทีล่าสุดน่าจะออกมาในแบบที่หาคนอื่นมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ แค่ตำแหน่งเดียว โดยอาจจะขยับจากรองเลขาธิการนายกฯ คือ ปณิธาน หรืออาจจะมาจากคนในพรรคประชาธิปัตย์คนอื่นๆ ที่ยังพอมีอยู่หลายคน ถ้าเป็นแบบนี้ก็ใช้อำนาจนายกฯ แต่งตั้งได้เลย
อย่างไรก็ตามยังเหลือเวลาเป็นอาทิตย์ที่นายกฯ มีเวลาตัดสินใจ ซึ่งจะว่าไปแล้วทุกอย่างก็เป็นไปได้เสมอ เพราะถ้าจะปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อหวังผลในด้านเพิ่มประสิทธิภาพรัฐบาลในโควตาของพรรคประชาธิปัตย์ก็สมควรทำ เพราะหากไล่เรียงดูผลงานของรัฐมนตรีแต่ละคนตั้งแต่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ลงมาก็ไม่เห็นมีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็สมควรทำตั้งนานแล้ว
แต่บางครั้งความฝันกับความเป็นจริงมันไปด้วยกันไม่ได้
และนาทีนี้ถ้าให้เดาใจนายกฯ ยังให้น้ำหนักว่าคงไม่กล้าปรับคณะรัฐมนตรี อย่างน้อยก็ต้องผ่านการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนไปแล้ว หากจะทำก็น่าจะเป็นปีหน้ามากกว่า แต่บางครั้งอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะอย่างที่รู้ๆกันก็คืออำนาจเต็มไม่ได้อยู่ที่นายกฯคนเดียว !!