จวนผ่านพ้นไปเสียทีกับปีวัวบ้า วิ่งไล่ขวิดไล่ชนทำคนไทยอกสั่นขวัญผวา เหตุหนึ่งก็ด้วยน้ำมือของคนปีวัว “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ที่ถึงวันนี้ก็ครบ 5 รอบ 60 ปี อยู่ในวัยปลดเกษียณแล้ว
ปูนนี้แทนที่จะได้สำนึกสำเหนียกในสิ่งผิดชอบชั่วดี แต่กลับยังแยกแยะไม่ออก ด้วยโลภะ โทสะ มีแต่ด้านมืดครอบงำมาตลอดชีวิต จนบั้นปลายก็ยังสลัดทิ้งเรื่องต่ำทรามเลวร้าย ทำลายประเทศชาติบ้านเมืองกันไม่รู้จบ
ปีหน้า พ.ศ.2553 ที่คิดว่าจะมีอะไรดีๆเกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา ก็มีทีท่าว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว เมื่อคนกลุ่มเดิม “เสื้อแดง” โดยผู้บงการเจ้าเก่า นักโทษชายหนีคดีมันเอาแน่
ส่งสัญญาณให้บรรดาหัวขวด หัวครก คางคก คิงคองในเมืองไทย ลุยกันอีก
ประกาศก่อ “ม็อบเสื้อแดง” ตั้งแต่ต้นปีหน้านี้ แบบที่ว่ายังดิบเถื่อนถ่อยได้อีก โดยหนนี้ถึงขั้นประกาศกันว่าจะทำสงคราม ลุยรบแตก และตั้งแต่ปลายปีนี้ก็พอเห็นสัญญาณร้ายมาเยือนประเทศไทยอีกครั้ง
การป่วนบ้านเมืองตามนช.ทักษิณบงการรอบนี้ รายงานข่าวและจากที่ ลิ่วล้อเสื้อแดงประกาศ น่าตกใจ โดยเฉพาะที่นักร้องอมฮอลล์ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เปิดแผน“แดงทั้งแผ่นดิน”
จะระดมกลุ่มคนเสื้อแดง แบ่งทีมไปปิดล้อมสถานที่ราชการ จุดยุทธศาสตร์สำคัญๆของประเทศ 50 จุดใน กทม. เพื่อกดดันรัฐบาลให้ยุบสภา และจะเข้ายึดสถานีวิทยุ-โทรทัศน์ สั่งการให้คนเสื้อแดงบุกยึดศาลากลางจังหวัด และจัดการพร้อมกันทั่วประเทศ
โดยมีกองกำลังอดีตนักรบรับจ้างชุดดำ ที่มีอาวุธคู่กาย จัดเตรียมปืนไว้อีก5หมื่นกระบอกที่ระดมมาซ่อนไว้ เป็นกำลังหลักของคนเสื้อแดง
ประกอบกับรายงานข่าวทางลับที่น่าตกใจ กองทัพของทักษิณ มีการจัดตั้งกองกำลังส่วนตัว ระดม นปช.สายฮาร์ดคอร์มาฝึกและติดอาวุธ เตรียมพร้อมอยู่ในค่ายฝึกลับในพื้นที่ภาคอีสาน เตรียมเคลื่อนเข้ากรุงโจมตี
“ลิ่วล้อทักษิณ” เหิมเกริม ท้าทายอำนาจรัฐ ประกาศแผนแดงทั้งแผ่นดิน เปิดสงคราม ปูพรมเผาบ้านเผาเมือง ก็ต้องดูว่าถ้าเกิดขึ้นจริง คนไทยทั่วไปยอมหรือไม่ ที่สำคัญรัฐบาลอภิสิทธิ์มีปัญญาจะจัดการหรือเปล่า?
ทั้งนี้ทั้งนั้น ที่บรรดาสาวกทักษิณ ทัพเสื้อแดง ฟื้นสภาพกลับมาฮึกเหิมได้อีกครั้ง ส่วนหนึ่งนั่นก็เป็นเพราะความล้มเหลวของอำนาจรัฐ ทั้งที่หลังการก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองช่วงสงกรานต์ คนไทยทั่วไปรู้เช่นเห็นชาติ และเกิดอาการฝ่อไปพักใหญ่
และก็พูดได้เช่นกัน เป็นเพราะผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขาดความเด็ดขาด เอาจริงเอาจังกับการหยุดยั้งกลุ่มคนที่สร้างความแตกแยกเสียหายขึ้นในบ้านเมือง
ถึงตรงนี้ คอลัมน์นี้ก็ขอสรุปรวม ประเมินผลงานของรัฐบาลในรอบปี 2552 ที่ผ่านมา ที่ก็สอดคล้องกับหลายฝ่าย ที่ให้คะแนนนายกฯอภิสิทธิ์ และรัฐบาลประชาธิปัตย์ ออกมาในทำนองเดียวกัน
สอบผ่านเรื่องความตั้งใจ แต่ผลงานหลายด้านยังติดลบ หรือยังต้องรอพิสูจน์ฝีมือกันต่อไป ตรวจสมุดพกแล้ว รัฐบาล “โอบามาร์ค” ยังติด “ร”
เห็นได้จากโพลสำรวจของหลายสำนัก การให้คะแนนผลงานรัฐบาลจากฝ่ายต่างๆ ทั้งวุฒิสภา นักวิชาการ ภาคธุรกิจเอกชน หอการค้า อุตสาหกรรม ทุกภาคส่วนลงคะแนนสอดคล้องตรงกัน ยังให้ “โอกาส” กับนายกฯ อภิสิทธิ์
ยังเห็นใจที่รัฐบาลนี้เข้ามาในสถานการณ์ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ถึงได้ให้คะแนน “สอบผ่าน” แต่ก็ผ่านแบบฉิวเฉียด แต่ผลงานหลายด้านติดลบ
ปัญหาหลายจุดของประเทศ ยังไม่ได้ลงไปรีบสะสาง โดยต้องยอมรับในเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่า “นายกฯ อภิสิทธิ์” ยังใช้การบริหารงานด้วยลมปาก ถนัดแต่ปาฐกถา เป็นผู้นำบนโพเดียม
การบริหารงานอืด ล่าช้า ไม่เด็ดขาด หลายต่อหลายเรื่องใช้วิธีการยื้อเวลา ยืดสถานการณ์ออกไป โดยหากไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา ก็ปล่อยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดการกันไปเอง หรือบางครั้งก็สั่งสมปัญหา หมักหมมเอาไว้
รวมทั้งยังติดอยู่กับกรอบทำงานในภาวะปกติ สลัดไม่พ้นขั้นตอนกระบวนการระบบราชการที่อืดอาดชักช้า ซ้ำรอยสมัย “รัฐบาลชวน หลีกภัย” ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเชื่องช้า บริหารงานตามพิมพ์เขียวราชการ
ถูกเปรียบเป็นแค่ “ปลัดประเทศ”
ที่ต้องโฟกัสก็คือ การ “สอบตก” ของนายกฯ อภิสิทธิ์ ในเรื่อง ความไม่สงบเรียบร้อยในสังคม ที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เคยได้ชื่อว่ารักสันติ รักความสงบ สมัครสมานสามัคคี มีน้ำจิตน้ำใจให้กัน
วันนี้สยามเมืองยิ้ม กลับกลายเป็นสังคมแห่งการประหัตประหาร ใช้ความรุนแรงพร้อมฆ่าแกงกันได้ทุกเมื่อไปแล้ว
โดยเฉพาะการใช้กำลัง อาวุธ เข้าทำร้ายทำลายชีวิตซึ่งกันและกันในสังคมไทยตลอดปีที่ผ่านมา นับจากเหตุการณ์สงกรานต์ ที่ม็อบเสื้อแดง ก่อเหตุทำลายบ้านเมือง ก็มีเหตุการใช้อาวธุธสงครามร้ายแรง ลอบสังหารบุคคลเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งกรณีลอบสังหาร “สนธิ ลิ้มทองกุล” แกนนำกลุ่มมวลชนพันธมิตร นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี การยิงนักธุรกิจหญิงคนดังในวงการอสังหาริมทรัพย์ การยิงระเบิดเอ็ม79 ใส่กลุ่มคนเสื้อเหลือง ที่ท้องสนามหลวง ฯลฯ
หลายกรณีที่เป็นคดี กลับถูกปล่อยปละละเลย เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถลากคอมือสังหาร ผู้บงการ มาชดใช้ความผิด นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯที่ดูแลความมั่นคงของประเทศ ยังถือได้ว่า “ผู้นำประเทศ” เองก็มีส่วนร่วมรับผิดชอบที่ปล่อยให้สังคมมีการใช้ความรุนแรง เพราะไม่ใส่ใจในปัญหานี้
ที่สำคัญในเรื่องการใช้ความรุนแรงก็คือ การเคลื่อนไหวของมวลชนกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีทักษิณ คอยบงการ สั่งการจากต่างแดน เรื่องนี้แม้ “อภิสิทธิ์” จะเอาจริงเอาจังจนดูเหมือนจะทุ่มน้ำหนักไปเรื่องนี้ แต่อีกทางหนึ่งรัฐบาลก็ทำได้เพียง
“ไล่จับเงา” ทักษิณ
นักโทษชายที่ต้องคดี และหนีความผิดจากประเทศไทย ยังสามารถเคลื่อนไหวได้อิสระ แม้จะถูกตามไล่ปิดกั้น ถูกคำสั่งห้ามเข้าในหลายประเทศในโลกที่เจริญแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่การไล่ติดตามตัวก็ยังล่าช้า ทักษิณ โผล่ที่ไหน ถึงตามไล่กวดจับกันที
หนำซ้ำ จะเห็นได้ว่าช่วงแรกที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามา ทักษิณ ดูเหมือนจะหวาดหวั่นการถูกไล่ล่าตามตัว กลัวจะถูกลากคอมารับโทษทัณฑ์ ถึงขั้นหนีเตลิดไปหาลู่ทางทำเลยังหลายประเทศในทวีปแอฟริกา
แต่ในที่สุดจากความบ้อท่าไร้น้ำยาของรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ ที่วิ่งวุ่นเป็นแมวไล่จับหนู เดินตามเกมของทักษิณ จนหัวปั่น นักโทษชายถึงได้เหิมเกริม ย้ายที่พำนักจากเมืองดูไบ มาปักหลักอยู่ที่กัมพูชา
ตั้งฐานบัญชาการอยู่ที่ประเทศขอบรั้วติดไทย ระดมลิ่วล้อ สมุน ไพร่พล ไปรับงานกันสะดวก เย้ยหยามน้ำหน้าและฝีมือของรัฐบาลไทย
ฉะนั้นถึงเวลาแล้ว ที่หาก “อภิสิทธิ์” เห็นต้นเหตุของปัญหาความไม่มั่นคงของชาติ ที่กระทบกับการแก้ไขปัญหาด้านอื่นๆ การทุ่มน้ำหนักไปที่กรณีการไล่ล่านักโทษชายจะต้องเด็ดขาดและจริงจังมากกว่านี้
การปล่อยข่าวลับข่าวลวงเพื่อป่วนจิตนักโทษที่กำลังฟุ้งซ่าน ก็อาจได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะทำให้สำเร็จเด็ดขาดไปเลย เป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำจริง รวมทั้งปัญหาการใช้ความรุนแรงในสังคมไทย จะต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องคดีความให้มากกว่านี้
สำหรับภาพรวมในการบริหารประเทศ นอกจากปัญหาด้านความมั่นคงแล้ว ตัวรัฐมนตรี ที่เป็นมือไม้ในการทำงาน นายกฯ อภิสิทธิ์ ควรใช้โอกาสในการปรับครม.ครั้งนี้ ปรับปรุงเพื่อขันน็อตเพิ่มประสิทธิภาพ
เพราะต้องยอมรับว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา รัฐมนตรี 36 คนของรัฐบาล ที่ทำงานและเห็นผลงานจริง นับนิ้วได้ไม่เกิน1ข้างมือเท่านั้น ปีใหม่นี้เมื่อยังมีโอกาสทำงาน นายกฯอภิสิทธิ์ ควรใช้โอกาสในการเป็นผู้นำของการเปลี่ยนแปลง
เลือกคนให้เหมาะสมกับงาน เพื่อประสิทธิภาพในการบริหาร ตัดสินใจให้เด็ดขาดในการล้มระบบโควต้า โดยต้องทำความเข้าใจทั้งในพรรคและพรรคร่วมรัฐบาล ให้คัดสรรคนมาทำงานจริงๆ ไม่ใช่ต่างตอบแทน แล้วก็ล้มเหลวในเนื้องานอย่างที่ผ่านมา
ต้องรับรู้ร่วมกันว่า รัฐบาลชุดนี้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนเข้ามาบริหารประเทศ ก็ด้วยเพราะบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติ เปรียบเสมือนร่างกายที่อ่อนแอ อมโรค มีบาดแผลมากมาย
โดยเฉพาะที่ติดเชื้อ เป็นฝีเป็นหนอง ที่ต้องใช้การ “ผ่าตัด” เพื่อบ่งหนอง เอาเชื้อโรคร้ายออก ก่อนที่บาดแผลจะลุกลามบานปลายจนสุดจะเยียวยารักษา
ปีใหม่นี้ “อภิสิทธิ์” จึงต้องเปลี่ยนทิศทางในการบริหารใหม่ แบบต้องกล้าตัดสินใจที่จะนำการเปลี่ยนแปลง Change อย่างแท้จริง เพราะไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสให้แก้ตัวอีกแล้ว
ด้วยเดิมพันครั้งใหญ่ที่ถืออยู่ในมือ ไม่ใช่เฉพาะการอยู่-ไป ของตัวนายกฯเท่านั้น แต่มันหมายถึงการดำรงอยู่ของประเทศชาติโดยส่วนรวมด้วย
ที่ติดก็เพื่อก่อ และกระตุ้นนายกฯ ให้ทำเสียตั้งแต่มีโอกาสในวันนี้ วันที่ประชาชนคาดหวังและยอมรับให้เข้ามาถืออำนาจบริหารประเทศ ดีกว่าไปฟูมฟายในภายภาคหน้า ว่าอยากขอกลับมาแก้ไข แก้ตัว อย่างนายกฯขิงแก่ หรือประธาน คมช.
เพราะอาจจะไม่มีวันข้างหน้า ให้มาแก้ไขอีกแล้ว ถ้าหากบ้านเมืองล่มสลายพังทลายลงไปในขณะนี้ ขณะที่อำนาจยังอยู่ในมือ
ฉะนั้น นายกฯ อภิสิทธิ์ ต้องพิสูจน์ภาวะการเป็นผู้นำเสียตั้งแต่บัดนี้!!