“ผ่าประเด็นร้อน”
วันนี้ (23 ธ.ค.) เป็นวันที่นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และคณะรัฐมนตรีมีกำหนดนัดแถลงผลงานในรอบ 1 ปีของรัฐบาล ซึ่งก็แหงอยู่แล้วว่าจะต้องเน้นย้ำในเรื่องผลงานทั้งที่อ้างว่าสำเร็จและกำลังจะสำเร็จ รวมทั้งชี้แจงในเรื่องปัญหาและอุปสรรคที่ต้องเผชิญต่อไปในปีหน้า
แต่เพื่อความเป็นธรรมก็ต้องบอกว่าในภาพรวมก็ถือว่า “ใช้ได้” และเหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ดีในความใช้ได้ดังกล่าวก็ต้องแยกแยะออกมากล่าวถึงเป็นรายคนและรายนโยบายเท่านั้น ขณะที่อีกหลายกระทรวง หรือหลายรัฐมนตรีที่ไม่ได้เรื่องได้ราวต้องหยิบยกมาพูดถึงเช่นเดียวกัน
หากจะเริ่มจากนโยบายที่ได้ใจและสร้างความสุขให้กับชาวบ้านในวงกว้างก็ต้องเริ่มจาก นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ที่สามารถลดภาระค่าใช้จ่ายของบรรดาผู้ปกครองเป็นอันมาก และถูกนำมาใช้ทั่วประเทศในช่วงเปิดเทอมและยังเป็นช่วงที่เศรษฐกิจกำลังวิกฤตพอดี แม้ว่าในระยะเริ่มต้นอาจมีปัญหาชุลมุนบ้าง แต่โดยรวมถือว่าใช้ได้
นโยบายต่อมาก็คือ โครงการจ่ายค่าตอบแทนให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) คนละ 600 บาท เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุคนละ 500 บาท แม้ว่าจะเป็นเงินจำนวนน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นขวัญกำลังใจ และเป็นจิตวิทยาผูกพันที่ดี
ขณะเดียวกันยังมีนโยบบายทีเด็ดที่เริ่มนำมาใช้เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกัน ก็คือ โครงการประกันรายได้เกษตรกร ที่รัฐบาลชุดนี้นำมาใช้แทนโครงการจำนำในอดีตที่ไม่ทั่วถึงและมีการทุจริตกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งแม้ว่าจะเพิ่งนำมาใช้กับสินค้าเกษตรบางตัว เช่น ข้าว ข้าวโพด และมันสำปะหลัง แต่ก็ถือว่าได้ผลดีทำให้เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ทั่วประเทศไม่ขาดทุนจากการลงทุน ประกอบกับปีนี้และปีหน้าราคาสินค้าการเกษตรจะมีราคาดีถือว่าเป็นปีทองทำให้หลายคนเริ่มยิ้มกริ่มกันบ้าง
ล่าสุดกำลังมีโครงการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบให้เข้ามาอยู่ในระบบ บรรเทาความเดือดร้อนของชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นหนี้ได้พอหายใจหายคอได้บ้าง ซึ่งโครงการดังกล่าวกำลังอยู่ในช่วงของการลงทะเบียนยังไม่เสร็จสิ้น แต่เมื่อเห็นจากตัวเลขที่มาเข้าโครงการถือว่ามีจำนวนไม่น้อย แต่ในเมื่อยังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมก็ยังไม่อาจนำมาประเมินได้ อย่างไรก็ดีถือว่ามีแนวโน้มที่ดีก็แล้วกัน
นี่คือโครงการและนโยบายเด่นๆที่คาดว่ารัฐบาลโดย นายกรัฐมนตรีจะนำมาโชว์ให้เห็นผลงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมารวมไปถึงแนวทางการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นในปีหน้า
นั่นคือภาพบวกที่คงต้องนำมาขยายผลกันใหญ่โต
ขณะเดียวกัน หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว นโยบายดังกล่าวที่ออกมาจนสามารถเค้นเป็นผลงานจนอาจลบล้างข้อโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดมาจากการผลักดันของนายกฯอภิสิทธิ์ และ กรณ์ จาติกวณิช เป็นหลัก ซึ่งหากจะพ่วงอีกสักคนก็อาจหลับหูหลับตาใส่ชื่อ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเข้าไปอีกคนหนึ่งก็ได้
อย่างไรก็ดี นั่นเป็นนโยบายและโครงการที่เป็นหน้าเป็นตาของรัฐบาล ขณะเดียวกันเมื่อมีด้านบวกก็ย่อมมีด้านลบ หรือประเภทไม่เอาไหน หรือเป็นตัวถ่วงก็ต้องพูดถึง เพราะหากพิจารณาในรอบ 1 ปีที่ผ่านมายังมีหลายกระทรวงและรัฐมนตรีหลายคนที่นอกจากไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันแล้ว บางคนชาวบ้านไม่รู้จักด้วยซ้ำไปว่ามีคนชื่อนี้เป็นรัฐมนตรีร่วมอยู่ในคณะรัฐบาล กลายเป็นบุคคลที่โลกลืมไปเลย
ส่วนบางคนแม้ว่ามีชื่อเสียง สังคมรู้จักติดหูติดตา แต่กลายเป็นว่ามักจะออกมาในแนว “โหลยโท่ย” ไม่ได้ความ แถมหลายคนยังมีแต่เรื่องอื้อฉาวออกมาในโทนครหาทุจริตคิดไม่ซื่อเสียอีก
หากจะไล่เรียงกันไปทีละคน หรือเค้นมาเฉพาะเด่นๆ ก็นี่เลยเริ่มจากคนที่ใกล้ตัวนายกฯที่เป็นงานฝ่ายความมั่นคงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯที่รับมอบอำนาจสำคัญแทนนายกฯดูแลความมั่นคงเต็มตัว แต่ลองถามชาวบ้านดูซิว่ามีผลงานให้เป็นที่ประทับใจอะไรบ้าง ซึ่งรวมไปถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็มาในโทนเดียวกัน
ถัดมาก็เป็น สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่แม้ว่าจะเห็นหน้ากันทุกวัน ชาวบ้านจำหน้าได้ แต่สำหรับผลงานในฐานะที่เป็นคนกุมสื่อของรัฐแต่ผลงานถือว่า “ไม่เอาอ่าว” ทั้งที่น่าจะเป็นคนที่มีส่วนสำคัญในการต่อกรกับ “เครือข่ายทักษิณ” โดยการใช้สื่อของรัฐชี้แจงทำความเข้าใจกับชาวบ้านที่ฝังหัวอยู่กับการ “ปลุกระดม” และมอมเมาสร้างภาพเพ้อฝันผิดๆจากนโยบายประชานิยม
ที่ผ่านมา สาทิตย์ไม่อาจขับเคลื่อนนโยบายเชิงรุกหรือชี้แจงให้สังคมได้เข้าใจได้เลย ตรงกันข้ามมีแต่ตั้งรับ ทั้งที่ด้วยพลังของสื่อสารยุคใหม่ถือว่าเป็นความสำคัญในระดับต้นๆที่จะต้องถูกนำมาใช้เพื่อให้ได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็ว
โดยรวมถือว่าทำผลงานได้น่าผิดหวังจริงๆ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯอีกคนที่ท่าดีทีเหลวก็คือ วีระชัย วีระเมธีกุล ตอนแรกก็บอกว่าจะมาดูแลในเรื่องการลงทุนในภูมิภาคเอเซีย เน้นจีนเป็นหลัก แต่ผ่านมาเป็นปีก็งั้นๆความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฎ
ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นที่ตอนแรกทำท่าน่าสนใจอย่าง วิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีท่าทางกระฉับกระเฉงพูดจาเป็นผู้เป็นคน แต่พอเจอไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่แถมด้วยเรื่องอื้อฉาวจากการทุจริตโครงการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ทางการแพทย์และการก่อสร้างอาคารสถานที่ต่างๆทำเอาเป๋ ไปไม่เป็นเหมือนกัน
สำหรับพรรคร่วมรัฐบาลไม่พูดถึงไม่ได้ คือ พรรคภูมิใจไทยที่แม้ว่าจะคุมหน่วยงานสำคัญทั้งพาณิชย์ คมนาคม และมหาดไทย น่าจะโชว์ผลงานได้เป็นกอบเป็นกำ แต่กลับกลายเป็นว่ามีแต่เรื่องอื้อฉาว อีกทั้งคนที่มานั่งเป็นรัฐมนตรีไม่มีศักยภาพ ไม่เหมาะกับตำแหน่งมันจึงไปกันใหญ่
นั่นคือภาพรวมๆ ของรัฐบาลในมุมมองจากข้างนอกในรอบ 1 ปี ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ถือว่าภายใต้สถานการณ์พิเศษที่ฝ่าย ทักษิณ โหมแรงป่วนเพื่อโค่นล้มให้ได้ตลอดเวลา ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าโอเค และปฏิเสธความจริงไม่ได้ก็คือ รัฐบาลชุดนี้อยู่ได้ด้วยการสนับสนุนของมวลชน และความศรัทธาที่มีต่อนายกรัฐมนตรีเป็นหลัก ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นอีกหลายคนนอกจากไม่มีประโยชน์ยังกลายเป็นตัวถ่วงเสียอีก
ดังนั้น ในปีหน้าซึ่งเป็นช่วงชี้ชะตาตั้งแต่ต้นปี ถ้าไม่พังเพราะนักโทษขี้โกงอย่างทักษิณไปก่อน ก็น่าจะเห็นหน้าเห็นหลังได้มากขึ้น แต่ดูแนวโน้มแล้วน่าจะผ่านไปได้ เพราะที่ผ่านมาหนักหนาสาหัสกว่านี้ยังลากถูลู่ถูกังกันมานานพอสมควร แต่ก็ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตหากเกิดขึ้นอย่างโจ่งแจ้งเมื่อใด เมื่อก็ล่องจุ๊นแน่นอน จำไว้!!