“ผ่าประเด็นร้อน”
นาทีนี้สังคมรับรู้กันไปแล้วว่า ทักษิณ ชินวัตร ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อจะให้ตัวเองรอดพ้นจากการถูกยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท และไม่ต้องติดคุกติดตะราง รวมไปถึงเป้าหมายหลังจากนั้นก็คือต้องการกลับมามีอำนาจอีกครั้ง
แต่ในสภาพความเป็นจริงทุกอย่างเริ่มถอยห่างออกจากตัวของ ทักษิณ ไปเรื่อยๆ ไม่เชื่อลองพิจารณาจากผลโพลที่ออกมาล่าสุดยัง “ต้องการให้ทักษิณหยุดเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่” นั่นก็ย่อมแสดงให้เห็นเป็นเบื้องต้นแล้วว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่เขารำคาญกันเต็มทีแล้ว
ทักษิณ กับบรรดาบริวารอาจจะยังไม่รู้ว่าการไปสมคบกับ “ฮุนเซน” ผู้นำทรราชกัมพูชานั้นชาวบ้านส่วนใหญ่เขารับไม่ได้ แล้วยิ่งมีประวัติศาสตร์ในอดีตเกี่ยวกับเรื่อง “พระยาละแวก-ออกญาจักรี” มาเป็นบทเรียนสอนใจมันก็ยิ่งติดลบมากขึ้นไปอีก
เวลานี้แม้จะมีคนเสื้อแดงอยู่จำนวนหนึ่งที่หากกล่าวด้วยความเป็นจริงถือว่ามีจำนวนไม่น้อยที่ยังเหนียวแน่น แต่รับรองว่าไม่ใช่คนส่วนใหญ่ และที่สำคัญในคนเหล่านี้ก็น่าจะลดลงทุกขณะหลังจากได้รับรู้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งในเรื่องของการจาบจ้วงให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงพฤติกรรมเข้าข่ายขายชาติที่กำลังไปสมคบกับเขมรอยู่ในเวลานี้
จะว่ากันไปแล้วสำหรับ ทักษิณ และเครือข่ายคนเสื้อแดงได้ผ่านจุด “พีก” สุดๆ มาแล้วในช่วงเดือนเมษายนที่ตอนนั้นเกือบทำได้สำเร็จ แต่หลังจากที่มีการออกอาละวาดปิดถนน เผาบ้านเผาเมืองจนปั่นป่วนสถานการณ์ก็พลิกกลับจนถูกชาวบ้านประณามกันทั่วบ้านทั่วเมือง นับตั้งแต่นั้นความศรัทธาที่ชาวบ้านเคยมีให้ก็เริ่มถดถอย
ประกอบกับตั้งแต่นั้นมา ทักษิณ และคนเสื้อแดงยังไม่ยอมหยุดนิ่ง ยังก่อกวนเรื่อยมาก็ยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่รับไม่ได้ มีแต่คนเสื้อแดงที่ถือว่าเป็นแฟนพันธุ์แท้ แต่คนพวกนี้ไม่น่าจะมีศักยภาพเพียงพอในการเปลี่ยนแปลงอะไรได้
เพราะมวลชนระดับคุณภาพ ที่รับรู้ความจริงเริ่มถอยห่างออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งสิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ รัฐบาลผสมของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับอยู่ได้นานและอึดเกินคาด จากเดิมมีเสียงปรามาสว่าคงอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน 6 เดือน แต่กลับกลายเป็นว่ามาจนถึงวันนี้ลากยาวมาถึง 1 ปี แล้ว และตราบใดที่ ทักษิณ และคนเสื้อแดงยังป่วนแบบเปะปะไปเรื่อยๆแบบนี้ก็อาจทำให้เป็นแรงหนุนรัฐบาลอยู่ยาวจนครบวาระก็เป็นได้
สิ่งสำคัญที่กลายเป็นตัวผลักดันให้รัฐบาลเดินไปข้างหน้าก็คือ ผลงานหลักๆบางอย่างเริ่มเห็นผล เช่น โครงการประกันรายได้เกษตรกร ทั้งข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักเป็นเกษตรส่วนใหญ่ได้รับอานิสงส์กันในวงกว้างรับเงินกันสดๆไม่ขาดทุน ประกอบกับในปีนี้และปีหน้าน่าจะเป็นปีทองของสินค้าเกษตร เนื่องจากประเทศคู่แข่งประสบปัญหาภัยธรรมชาติกันถ้วนหน้า
นอกจากนี้ยังมีโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เรียนฟรี 15 ปี จ่ายค่าตอบแทนอสม.ที่ครองใจชาวบ้านไปก่อนหน้าถือว่าไม่ธรรมดา
ทั้งหลายทั้งปวงทำให้หลายคนเข้าใจกันใหม่ว่า ถึงไม่มี “แม้ว” ก็มี “มาร์ค” แถมยังไม่มีเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนมาให้ระแวงกันเสียอีก ขณะเดียวกันถ้าพูดไปก็เหมือนกับชมกันจนเหลิง แต่ความเป็นจริงก็คือนับวันบารมีในฐานะนายกรัฐมนตรียิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากกระแสสังคม หากสังเกตให้ดีระยะหลังไม่ว่านายกฯเดินทางไปไหนมักจะมีเสียงกรี๊ดดังลั่น
ด้วยผลงานของนายกรัฐมนตรีที่จับคู่กับ กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจนสามารถขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอย่างได้ผล จนทำให้คนส่วนใหญ่เริ่มยอมรับมากขึ้น ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวอย่างช้าๆก็ยิ่งทำให้ได้อานิสงค์โดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยว หลายอย่างเริ่มกลับมาเป็นบวก แม้ว่ายังมีหลายเรื่องใหญ่ให้ต้องแก้ไข แต่หลายคนเริ่มมีความหวังและเอาใจช่วย ยกเว้น ทักษิณ กับพวกเท่านั้นที่ยิ่งเครียด
และนาทีนี้ถ้ามาเน้นเฉพาะ ทักษิณ ที่กำลังเร่งเกมกันทุกวิถีทางเพื่อหาทางเผด็จศึกให้ได้ในต้นปีหน้า แต่ยิ่งเร่งโอกาสพลาดมันก็ยิ่งมีสูง ที่สำคัญที่สุดคือนานวันทำให้สังคมรู้ทันว่าสิ่งที่ทักษิณ กำลังดิ้นรนอยู่ในเวลานี้ก็ทำเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ทำเพื่อไม่ให้ถูกยึดทรัพย์ ไม่ให้ถูกดำเนินคดี และสุดท้ายให้ตัวเองและเครือญาติได้กลับมามีอำนาจอีกรอบเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านี้จริงๆ
การตั้งเงื่อนไขขอเจรจาโดยให้ทุกอย่างย้อนกลับไปก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งความหมายก็คือไม่ต้องดำเนินคดีกับ ทักษิณ ชินวัตร และให้ใช้รัฐธรรมนูญปี 40 เป็นเงื่อนไขที่เห็นแก่ได้ที่สุด คิดแต่จะค้ากำไร และนี่คือตัวตนที่แท้จริงของเขา
อย่างไรก็ดี หลายคนคงใจชื้นเมื่อเห็นนายกฯ อภิสิทธิ์ ยังยืนยันในหลักการที่จะดำเนินการไปตามกฎหมาย นั่นคือ ต้องนำตัวมาดำเนินคดีตามคำพิพากษา ส่วนเรื่องอื่นค่อยมาว่ากันทีหลัง
ดังนั้น การส่งลิ่วล้อออกมาสร้างความรำคาญด้วยการปูดเอกสารลับหรืออะไรนั่น เป็นแค่เกมที่หวังเรียกแขกออกมาป่วนเพิ่มขึ้น แต่บางครั้งอาจหลงลืมไปว่าทั้งคนสั่งและคนที่รับงานมามันไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีราคา มันก็ไม่น่าจะมีผลอะไรมากนัก ตรงกันข้ามมันยิ่งเข้าทางรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี!!