“โฆษกมาร์ค” ยืนยันหลักการ ปชป.ผ่านร้อนผ่านหนาวมารสุมการเมือง ไม่หวั่นไข่แม้วกระทุ้ง กกต. โวย “บัญญัติ” ซี้ “อภิชาต” ฟังไม่ขึ้น ให้อิสระพิจารณายุบพรรคอย่างเต็มที่ อ้างผลโพล ปชช.ให้รัฐบาลสอบผ่าน เย้ยผลประเมินเพื่อไทยแค่แผนดิสเครดิตจากคู่ต่อกรทางการเมือง
วันนี้ (21 ธ.ค.) นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่กดดันคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาทว่า เรื่องนี้พรรคไม่เคยหวั่นไหว เพราะได้ผ่านร้อนผ่านหนาว มรสุมทางการเมืองมาหลายครั้ง แต่ด้วยความที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ยึดหลักความถูกต้อง และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอดจึงมาอายุยาว 63 ปี โดยเฉพาะกรณีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยพิจารณาจากศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว และได้ต่อสู้ด้วยเหตุผลจนศาลยกคำร้อง ดังนั้น ครั้งนี้พรรคยังเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์และอยากให้ กกต.พิจารณาเรื่องนี้โดยอิสระ โดยปราศจากแรงกดดันใดๆ และไม่ควรหวั่นไหวในคำขู่ที่จะยื่นถอดถอนและฟ้องคดี กกต. เพราะถ้า กกต.ชุดนี้ปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาก็สามารถที่จะชนะคดีต่างๆ ได้
ส่วนที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เรียกร้องให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ถอนตัวจากการพิจารณาในคดีนี้ โดยให้เหตุผลว่าเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคนั้น นายเทพไทกล่าวว่า เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ถ้าหากจะใช้บรรทัดฐานเช่นนี้ จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับนายบัญญัติ แต่เป็นเพื่อนกับนักการเมืองในซีกพรรคพื่อไทยหลายคน กกต.ทั้ง 5 คน บางก็เคยเรียนร่วมรุ่น บางคนก็เคยรู้จักกัน ก็จะต้องถอนตัวจากการพิจารณาคดีนี้ทั้ง 5 คน และจะมีใครทำหน้าที่ กกต.ต่อไป
“ขณะที่เกิดเรื่องนี้ ผมก็เป็นกรรมการบริหารพรรคคนหนึ่ง ไม่เคยรับรู้รับทราบ และไม่เคยมีมติใดๆ เกี่ยวกับเงินบริจาค 258 ล้านบาท จึงยืนยันได้ว่าพรรคบริสุทธิ์และไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
ผู้สื่อข่าวถามว่า นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่ามีอดีตกรรมการบริหารพรรคมีส่วนได้เสียเงิน 258 ล้านบาท นายเทพไทกล่าวว่า ตนไม่ทราบว่านางรัชฎาภรณ์หมายถึงกรรมการบริหารพรรคคนใด แต่เมื่อพิจารณาจากสำนวนสอบสวนของดีเอสไอ ก่อนส่งเรื่องให้ กกต.พิจารณา ก็ไม่เห็นมีชื่ออดีตกรรมการบริหารพรรคคนใดเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ที่มีชื่อเกี่ยวข้องในสำนวน ส่วนใหญ่เป็นชื่อญาติพี่น้องของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคน และไม่ได้ปรากฏชื่อ ส.ส.และกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปเกี่ยวข้อง ดังนั้น พรรคจะมีความผิดได้อย่างไร
นายเทพไทยังกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยประเมินผลงานรัฐบาล 1 ปี ที่ระบุว่าบริหารงานด้านเศรษฐกิจพัง สังคมแตกแยก และมีการโกงกินมากมาย ถือป็นการประเมินจากคู่ต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งเป็นธรรมดาที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล แต่ในข้อเท็จจริงสังคมสามารถรับรู้ได้ว่า 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้บริหารเป็นอย่างไร ดูได้จากผลการสำรวจที่ประธาน 6.35 จากเต็ม 10 ก็ถือว่ารัฐบาลนี้สอบผ่าน และถ้าดูจากความพึงพอใจ จะเห็นได้ว่าประชาชนพึงพอใจมากที่สุด 14.7 เปอร์เซ็นต์ พึงพอใจมาก 45 เปอร์เซ็นต์ พอใจปานกลาง 23.7 เปอร์เซ็นต์ พึงพอใจน้อยสุด 11.9 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น เมื่อรวมความพึงพอใจในระดับต่างๆ เท่ากับ 95.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ไม่พอใจเลยมีแค่ 4.7 เปอร์เซ็นต์ และเมื่อเปรียบเทียบกับคะแนนของพรรคเพื่อไทย จะพบว่าต่างกับลิบลับ ซึ่งไม่เป็นธรรมกับรัฐบาล ส่วนที่กล่าวหาว่าเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะดัชนีทางเศรษฐกิจก็ได้รับการยืนยันจากทุกฝ่ายว่าจะเป็นบวกในไตรมาสแรกอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องสังคมแตกแยกรับบาลชุดนี้ก็พยายามบริหารงานให้เกิดความสมานฉันท์ แต่ก็ถูกขัดขวางจากสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
“ส่วนเรื่องการโกงกินที่เกิดขึ้นตามที่เป็นข่าวก็ล้วนแต่เป็นความบกพร่องในระดับปฏิบัติการที่รัฐบาลชุดนี้พยายามแก้ไขให้ดีขึ้น จนผลงานด้านการทุจริตคอร์รัปชันก็เป็นที่ยอมรับของกลุ่มเอ็นจีโอที่ให้คะแนนรัฐบาลนี้สอบผ่าน เมื่อเปรียบเทียบกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดไหนกันแน่ที่ปล่อยให้มีการคอร์รัปชันเกิดขึ้นเหมือนดอกเห็ด ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจึงไม่อยู่ในฐานะผู้ประเมินผลงานของรัฐบาล เพราะมีจิตใจอคติ และอยู่ในฐานะคู่แข่ง ย่อมมองผลงานรัฐบาลในแง่ลบเสมอ” นายเทพไทกล่าว