“เด็จพี่” รายวัน ร่ายยาวซัด กกต.ชงนายทะเบียนพรรคฯตัดสินกรณีเงินบริจาค 258 ล้าน ปชป. ส่อขัดกฎหมาย อ้างต้องมีมติจาก กกต.อย่างเดียวเท่านั้น โยงพัลวัน “อภิชาต” ซี้ “น้าญัติ” เพื่อนร่วมรุ่นทำตัดสินไม่เป็นกลาง ชักพาล! ขู่จ่อล่าชื่อ ส.ส.ถอดถอนยกชุด - เตรียมบุก ป.ป.ช.ทวงคดี “มาร์ค” ส่ง SMS จันทร์นี้
วันนี้ (18 ธ.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้ชี้ขาดว่าจะส่งเรื่องคดีเงินบริจาค 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ ไปให้กับอัยการสูงสุดเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ว่า พรรคเห็นว่าการมีมติดังกล่าวของ กกต.น่าจะเป็นการขัดต่อกฎหมาย การวินิจฉัยเรื่องใดๆ ต้องทำในรูปของคณะกรรมการ แม้ตามกฎหมายประธาน กกต.จะมีฐานะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมืองและเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาถึงอำนาจหน้าที่ของกกต.แล้วจะเห็นว่า ตามมาตรา 10(10) นั้นให้อำนาจ กกต.ในการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองด้วย อีกทั้งมาตรา 95 ของกฎหมายพรรคการเมืองนั้น การจะส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองหรือไม่นั้น กฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ กกต.แจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน ซึ่งแสดงว่าในการพิจารณาจะส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดหรือไม่นั้น กกต.จะต้อง มีมติเท่านั้น จะให้เป็นความรับผิดชอบหรือเป็นดุลพินิจของประธานกกต.เพียงคนเดียวไม่ได้ การที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้นายอภิชาติเป็นผู้ตัดสินใจโดยลำพังจึงเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า ภายหลังจากที่ กกต.มีมตินั้น นายอภิชาติได้ออกมาระบุว่า ยืนตามมติของอนุกรรมการไต่สวนให้ยกคำร้องนั้น เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการจะยกคำร้องหรือส่งเรื่องไปยังอัยการสูงสุดหรือไม่นั้นต้องพิจารณา และมีมติในรูปของคณะกรรมการเท่านั้น นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า นายอภิชาตมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนมาด้วยกัน แสดงถึงความไม่เป็นกลางของนายอภิชาตที่จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพียงลำพัง ดังนั้น หาก กกต.ยังคงดำเนินการไปตามความเห็นของนายอภิชาต คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทยจะดำเนินการโดยขอให้ ส.ส.เข้าชื่อถอดถอน และดำเนินคดีอาญาต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ นายพร้อมพงศ์กล่าวด้วยว่า ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยได้ยื่นคำร้องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ขอถอดถอนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่ง จากกรณีที่เมื่อครั้งเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ได้ขอให้บริษัทเอกชน 3 รายที่ประกอบธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ส่งข้อความสั้นของตนเองไปยัง ประชาชนทั่วประเทศนั้น ขณะนี้เวลาผ่านมานานแล้ว การพิจารณาก็ยังไม่มีผลวินิจฉัยออกมา ดังนั้น ในวันที่ 21 ธ.ค.เวลา 10.00 น. ตนจะไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้เร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ซึ่งรวมไปถึงคดี ปรส. ที่มีมูลค่าความเสียหายหลายแสนล้านบาท และคดียางพาราของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ ที่ขณะนี้ใกล้จะขาดอายุความแล้วด้วย เพื่อขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาและมีมติอย่างตรงไปตรงมา ไม่เป็น 2 มาตรฐาน และไม่เลือกปฏิบัติ