xs
xsm
sm
md
lg

รายงานพิเศษ : พยานคดียุบ “ทรท.” กลับคำให้การ...ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย นำนายสุขสันต์ ชัยเทศ และนายชวการ โตวัสดิ์ 2 พยานในคดียุบพรรคไทยรักไทยเปิดแถลงกลับคำให้การ โดยอ้างว่าพรรคประชาธิปัตย์จ้างให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย(16 พ.ย.)
อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน

ไม่ว่าความพยายามรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) ของสมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.) จะสำเร็จหรือไม่ แต่การที่สมาชิก พท.อย่าง “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” นำพยาน 2 คนที่เคยให้การว่าพรรค ทรท.จ้างพวกตนให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง มาแถลงกลับคำให้การใหม่เป็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ จ้างให้ใส่ร้ายพรรค ทรท.ก็ทำให้สังคมสงสัยว่า จะเชื่อคำพูดครั้งไหนของพยานทั้ง 2 คนนี้ดี ระหว่างครั้งก่อนกับครั้งนี้ หากพรรคเพื่อไทย แน่ใจว่าไม่ได้ปั้นพยานหลักฐานเท็จเพื่อมาใส่ร้ายพรรคประชาธิปัตย์ ก็น่าจะฟ้องต่อศาลอาญา เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ หากพบว่า พรรคประชาธิปัตย์จ้างวานจริง ก็ต้องนำไปสู่การยุบพรรค แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยสมคบกับพยานทั้งสองปั้นหลักฐานเท็จ ก็ต้องยุบพรรคเพื่อไทยให้รู้แล้วรู้รอด

คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ

แม้คดียุบพรรคไทยรักไทยจะจบไป 2 ปีครึ่งแล้ว จนพรรคนอมินีที่ตั้งขึ้นมาแทนอย่างพรรคพลังประชาชน ก็ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซ้ำซากจนถูกยุบตามไปอีก แต่นักการเมืองบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี และอดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก็ตั้งพรรคขึ้นใหม่คือพรรคเพื่อไทย โดยหัวหน้าพรรคตัวจริงยังเป็นนายใหญ่ทักษิณที่ฝันจะกลับมามีอำนาจและเป็นนายกฯ อีกครั้ง ทั้งที่ตัวเองยังมีชนักติดหลังอีกหลายคดี

ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ผู้ต้องสงสัยคดีคาร์บอมบ์ทักษิณ แต่สุดท้ายกลายสภาพเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้พยายามช่วยเหลือพรรคด้วยการเดินเกมเพื่อให้มีการรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยนำ 2 พยานที่เคยให้การกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)-อัยการ-ศาลรัฐธรรมนูญว่าถูกผู้บริหารพรรคไทยรักไทยจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2549 คือ นายสุขสันต์ ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครพรรคพัฒนาชาติไทย มาแถลงเมื่อวันที่ 16 พ.ย.โดยอ้างว่า ทั้งสองคนสำนึกผิด จึงออกมากลับคำให้การด้วยการแถลงยืนยันว่า สิ่งที่เคยให้การไว้ในครั้งนั้นเป็นความเท็จ พร้อมอ้างว่า ผู้จ้างวานไม่ใช่ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แต่เป็นนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ข่มขู่และจ้างวานให้ใส่ร้าย พล.อ.ธรรมรักษ์!?!

การที่จู่ๆ 2 พยานปากสำคัญในคดียุบพรรคไทยรักไทยออกมาพลิกลิ้นครั้งนี้ นอกจากถูกมองว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่แล้ว ยังสะท้อนเจตนาของพรรคเพื่อไทยด้วยว่า ต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพิจารณาใหม่ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยทั้ง 111 คน รวมทั้งต้องการให้การรื้อฟื้นคดีจบลงด้วยการยุบพรรคประชาธิปัตย์

ด้าน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้เสียหายที่ถูก พล.อ.พัลลภนำพยานมาแถลงกล่าวหาว่าจ้างวานให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย ก็ออกมาสวนกลับว่า การที่ พล.อ.พัลลภ นำพยานที่อ้างว่าสำนึกผิดมาแถลง ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นธาตุแท้ของคนในพรรคไทยรักไทย หรือพรรคเพื่อไทยที่ตลบตะแลง บิดเบือน สร้างหลักฐานเท็จมาโดยตลอด และว่า เรื่องนี้ใช้เวลาตั้ง 3 ปี สุมหัวกันคิดได้แค่นี้ นายสุเทพ บอกด้วยว่า ขณะนี้ได้มอบให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาและจะดำเนินการตามกฎหมาย พร้อมยืนยัน “เรื่องที่เกิดขึ้น ผมไม่กังวลใจ ชีวิตผมทางการเมือง ทุกคนรู้ดีว่าไม่เคยหักหลังใคร ไม่เหมือนกับพวกเขาที่กำลังประพฤติกันอยู่ เคยประกาศต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณแบบเอาเป็นเอาตาย เผลอแป๊บเดียวไปเป็นบริวารรับใช้” นายสุเทพ ยังส่งสัญญาณไปยังพรรคเพื่อไทยด้วยว่า การสร้างหลักฐานเท็จอาจนำไปสู่การยุบพรรคเพื่อไทยได้

ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย รีบออกมาบอกว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่เป็นผู้ยื่นเรื่องให้รื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) เพราะเป็นหน้าที่ของมูลนิธิ 111 ทรท. ที่เป็นผู้เสียหายโดยตรง

ทั้งนี้ กรณีที่ พล.อ.พัลลภ ในฐานะสมาชิกพรรคเพื่อไทยนำพยานมาแถลงกลับคำให้การโดยอ้างว่าแกนนำพรรคประชาธิปัตย์จ้างให้ใส่ร้ายผู้บริหารพรรคไทยรักไทย นอกจากสร้างความคลางแคลงใจให้สังคมว่า ตกลงคำให้การของพยานทั้ง 2 คนในวันนี้กับเมื่อ 2 ปีกว่ามาแล้วนั้น คำให้การครั้งไหนจริง-ครั้งไหนเท็จกันแน่ และพรรคเพื่อไทยหรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยสามารถยื่นเรื่องให้ กกต.หรือศาลรัฐธรรมนูญเพื่อรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้หรือไม่?

แน่นอนว่า เมื่อถามสมาชิกพรรคเพื่อไทยและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีจากกรณียุบพรรค ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สามารถรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ เพราะมีพยานหลักฐานใหม่ ซึ่ง พล.อ.พัลลภ อ้างว่า นอกจากพยานทั้งสองคนจะกลับคำให้การว่านายสุเทพจ้างวานให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยแล้ว ยังมีหลักฐานการโอนเงินให้บุคคลทั้งสองด้วย

ด้าน นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า คดียุบพรรคจบไปแล้ว เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่เกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง ไม่ได้เขียนว่า หากมีหลักฐานใหม่สามารถรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ ดังนั้น จึงถือว่าคดีจบแล้ว ไม่เหมือนคดีอาญา ที่หากมีหลักฐานใหม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ นายประพันธ์ ยังบอกด้วยว่า “หากมีการยื่นเรื่องร้องเข้ามาให้ กกต.สอบ ก็คงไม่รับพิจารณาแล้ว เพราะถือว่าเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นจนเป็นที่ยุติและได้ผลทางคดีออกมาแล้ว หากจะมีการต่อสู้หรือดำเนินคดีกัน ก็ต้องไปว่ากันในศาล ซึ่งเป็นคดีอาญาที่ กกต.กำลังดำเนินคดีอาญากับ พล.อ.ธรรมรักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย”

ขณะที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ก็ยืนยันเช่นกันว่า ไม่สามารถรื้อคดียุบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ “คำวินิจฉัยยุบพรรคของตุลาการรัฐธรรมนูญนั้น ได้รับการรับรองตาม รธน.มาตรา 309 ที่ให้การรับรองการกระทำใดใดที่บัญญัติไว้ตาม รธน.ชั่วคราวฉบับปี 2549 ดังนั้น การกระทำใดใดที่ดำเนินการไปแล้วน่าจะถึงที่สุด ซึ่งก็จำได้ว่าในขณะนั้นก็มีการพิจารณาพรรคประชาธิปัตย์ว่า กลั่นแกล้งหรือไม่ไปแล้ว และการเพิกถอนคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญก็ยังไม่เคยมี แต่หากมีข้อติดใจ ผู้ที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้ได้คือศาลรัฐธรรมนูญ”

แต่ไม่ว่า กกต.จะยืนยันอย่างไร ทางพรรคเพื่อไทย และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยก็ยังย้ำคำเดิมว่าสามารถรื้อคดียุบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ ก่อนที่จะมีความคืบหน้าว่าเรื่องนี้จะเดินต่อหรือไม่อย่างไร ลองไปฟังความรู้สึกของฝ่ายต่างๆ ทั้งต่อกรณีที่ 2 พยานในคดียุบพรรคไทยรักไทยออกมากลับคำให้การ และการรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพิจารณาใหม่ว่าจะทำได้หรือไม่?

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ส่วนตัวแล้วเห็นว่าคดียุบพรรคไทยรักไทยจบไปแล้ว ทุกฝ่ายได้ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว และศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินแล้ว การอ้างว่าควรรื้อคดีเพราะมีพยานหลักฐานใหม่ ก็ต้องถามว่า พล.อ.พัลลภ มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน

“สิ่งที่ทำเนี่ยมันจบไปแล้ว เมื่อมันจบไปแล้ว ถ้ามีคนพูดว่าถ้ามีหลักฐานใหม่ก็สามารถรื้อฟื้นใหม่ได้ ก็ต้องถามว่าหลักฐานที่เขาใช้คืออะไร ถ้าใช้หลักฐานที่เป็นบุคคลในการแถลงที่ว่า พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี นำ 2 คนซึ่งเคยให้การไว้อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วบอกว่าตัวเองจะได้เงิน 15 ล้านแล้วไม่ได้ มันก็ต้องถามว่าบุคคลที่ออกมาแถลงเนี่ย เป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือได้หรือไม่ พล.อ.พัลลภ ผมเคยตั้งคำถามว่า พล.อ.พัลลภตอบคำถามสังคมไทยให้ได้ก่อนว่า ทักษิณเคยกล่าวหาคุณว่าคุณเป็นคนลอบฆ่าเขา คุณตอบหรือยัง คุณลอบฆ่าหรือไม่ลอบฆ่า เพราะฉะนั้น ผมก็ไม่เชื่อถือ พล.อ.พัลลภ พล.อ.พัลลภ เคยจะมาร่วมกับ พล.ต.จำลอง เพราะเป็นเพื่อนกัน และวันหนึ่งก็ไปร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกข้างหนึ่ง แล้วเอาคนเอาอะไรต่างๆ ออกมาเนี่ย สิ่งเหล่านี้ไม่น่าเชื่อถือทั้งสิ้น และช้าเกินไปที่จะมาพูด อันนี้เราก็ดูกันว่ามันน่าเชื่อถือหรือไม่น่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะมองในแง่การทำทางการเมือง ประเทศชาติก็ไม่ได้อะไร ประชาชนก็ไม่ได้อะไร ถ้าเขามีสิทธิที่จะเดินตามกฎหมายได้ ก็ให้เขาเดินไป ก็ไม่เป็นไร เราก็ไปพิสูจน์กันด้วยกฎหมาย ทุกอย่างยุติกันที่ความยุติธรรมหรือศาลยุติธรรม และมันต้องจบ เมื่อคุณได้ต่อสู้แล้ว เมื่อทุกคนได้ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว และศาลได้ตัดสินไปแล้ว คำตัดสินของศาลก็ต้องเป็นที่ยุติ ไม่งั้นมันก็ไม่จบ เราต้องยอมรับต่อคำตัดสิน ไม่งั้นมันจะยึดหลักอะไรล่ะ”

ด้านนายไทกร พลสุวรรณ ประธานชมรมไทยเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งเป็นคนแรกที่มีบทบาทในการตรวจสอบติดตามและนำเรื่องพรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กออกมาเปิดเผย พร้อมทั้งเคยนำนายสุขสันต์ และนายชวการออกมาแถลงยอมรับว่ามีการตัดต่อเปลี่ยนแปลงฐานข้อมูลสมาชิกพรรคพัฒนาชาติไทย เพื่อให้คนของพรรคลงสมัครประกบผู้สมัครพรรคไทยรักไทยได้ โดยภายหลัง นายไทกร ได้ส่งไม้ต่อให้พรรคประชาธิปัตย์ด้วยการขอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ดูแล นายสุขสันต์ และ นายชวการ พร้อมดำเนินคดีพรรคไทยรักไทยฐานจ้างพรรคเล็ก ได้บอกกับวิทยุ ASTVผู้จัดการ ถึงกรณีที่ นายสุขสันต์ และนายชวการ ออกมากลับคำให้การว่า คิดว่าเรื่องนี้น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรสักอย่าง แต่เท่าที่ได้คุยกับนายสุขสันต์ครั้งล่าสุด เห็นโอดครวญว่าไม่สามารถเข้าพบรองนายกฯ สุเทพได้

“รู้สึกงงว่า มันมีอะไรเกิดขึ้น รู้สึกว่าน่าจะมีอะไรเบื้องหลังมากกว่าสิ่งที่ 2 คนนั้นพูด พยายามติดต่อกลับไปทั้ง 2 คนนั้น ก็ติดต่อไม่ได้ ในความเข้าใจของผมในฐานะคนที่มีประสบการณ์บ้างในการวางเกม ผมเข้าใจว่าน่าจะมีการเปิดเกมนี้อีกครั้งหรือสองครั้ง เนื่องจากเขาได้ทิ้งร่องรอยว่าจะทำอีก ก็คือจะเปิดหลักฐานการโอนเงิน จะเปิดบัญชีที่มีเงินเข้า ซึ่งตอนนี้ก็รอว่ามันมีบัญชีนี้จริง หรือมีการโอนเข้าจริงตามที่เขาพูดมั้ย ซึ่งผมก็ยังไม่เห็น (ถาม-ในฐานะที่คุณไทกรทำงานกับ 2 คนนี้ในการพิสูจน์ว่าไทยรักไทยจ้างพรรคเล็ก ถ้าย้อนกลับไป ยังคิดว่าข้อมูลที่ได้จาก 2 คนนี้เป็นเรื่องจริงมั้ย?) สิ่งที่เขามาพูด(ในการแถลงกับ พล.อ.พัลลภ)มันเป็นรายละเอียดตอนหลังจากที่เขาไปเก็บตัวอยู่กับท่านรองนายกฯ สุเทพ ในขณะที่ผมทำนี่คือ รายละเอียดเริ่มต้น ซึ่งในตอนเริ่มต้นไม่มีเรื่องที่เขาได้พูดนะ เนื่องจากผมและทีมงานได้หลักฐานที่มัดตัวตั้งแต่การไปค้นที่ กกต.แล้ว การที่ทำ ทบ.6 (ทะเบียนพรรคการเมืองหมายเลข 6) ย้อนหลัง และขอดูภาพถ่ายไมโครฟิล์ม ก็ไม่มี เราได้หลักฐานตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ก็เพราะหลักฐานการทำสมาชิกย้อนหลัง ผมถึงสามารถที่จะเจรจาให้ 2 คนที่ได้ร่วมกระทำความผิด มาเป็นพยานให้กับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนที่เขาพูดว่า การจ้างวานให้ใส่ร้ายนี่ เป็นรายละเอียดที่ผมไม่ทราบ”

“(ถาม-เวลาผ่านไป 2-3 ปีแล้ว เพิ่งมีเรื่องนี้ขึ้นมา คิดอย่างไร?) เรื่องนี้นี่ผมเข้าใจว่าน่าจะเกิดข้อขัดแย้งขึ้น ตามสามัญสำนึกของมนุษย์นะ คนที่เคยอยู่ด้วยกัน ดีด้วยกันแล้วก็มาแฉกันทีหลัง น่าจะมีข้อขัดแย้งที่รุนแรงเกิดขึ้นระหว่างพยาน 2 คนกับท่านรองนายกฯ สุเทพ ซึ่งตรงนี้ผมไม่รู้ เพราะหลังจากที่ได้มอบ 2 คนนี้ให้อยู่ในการดูแลของท่านรองนายกฯ สุเทพแล้ว ผมก็ไม่ได้เข้าไปอินไซด์กับเขามาก แต่เขาก็อยู่กันดีบ้างไม่ดีบ้าง (ถาม-ได้ติดต่อกับ 2 คนนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?) ครั้งสุดท้ายนี่น่าจะประมาณ 2 เดือน คุยกับคุณสุขสันต์ เขาก็บ่นๆ โอดครวญว่า เขาเข้าพบทางท่านรองนายกฯ ไม่ได้ จะขอให้ช่วยทางการเมืองบางอย่าง เช่น เรื่องพื้นที่หรือเรื่องการเอางบประมาณไปลงพื้นที่เขาก็ไม่ได้ ก็เห็นเขาบ่นในลักษณะน้อยใจ”


ด้าน นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีตรองประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 2550 และอดีตเลขาธิการสภาทนายความ บอกว่า การรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพิจารณาใหม่ โดยอ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่ไม่น่าจะทำได้ เพราะไม่มีกฎหมายรองรับให้มีการรื้อฟื้นคดีการเมือง ไม่เหมือนกับคดีอาญาที่มี พ.ร.บ.รื้อฟื้นคดีอาญา นายเสรี ยังชี้ด้วยว่า การจะรื้อฟื้นคดีโดยนำพยานที่เคยให้การไปแล้วมากลับคำให้การ โดยหลักแล้วถือว่าเป็นพยานที่มีน้ำหนักอ่อนมาก

“มันเป็นเรื่องของกระบวนการทางศาล ศาลเขาตัดสินแล้วใช่มั้ย ก็เป็นไปตามคำพิพากษา ตามกฎหมาย แต่ถ้าจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องมีลักษณะ 2 ทาง ทางสำคัญคือต้องมีกฎหมายมารองรับ ในเมื่อไม่มีกฎหมายมารองรับ แล้วจะเอาฐานกฎหมายตัวไหนมาใช้ อันนี้คือการให้ปฏิบัตินะ ในเมื่อการที่จะปรับแนวทางใดแนวทางหนึ่ง จะบอกว่าไม่มีกฎหมายระบุไว้(ว่าห้ามรื้อฟื้นคดี) เลยให้ปฏิบัติได้ อย่างนั้นก็ไม่ต้องเขียนกฎหมาย เพราะที่ผ่านมา การถูกยุบพรรคเนี่ย มันเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย เมื่อเกิดขึ้นโดยผลของกฎหมาย ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย เมื่อไม่มีกฎหมายให้ทำได้ ก็ยังทำไม่ได้ หลักมันอยู่แค่นี้ (ถาม-คำว่าพยานหลักฐานใหม่เนี่ย ในแง่คดีอาญาสามารถขอให้ศาลรื้อฟื้นคดีได้ แล้วกรณีนี้พยานที่เคยให้การวันนั้นแบบหนึ่ง แล้ววันนี้บอกว่ากลับคำให้การพูดอีกอย่างหนึ่ง ตรงนี้ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่มั้ย?) อันนี้ไม่ใช่ ถ้าพูดเพียงแค่นี้นะ มันก็คือหลักฐานเก่า ที่คุณมากลับคำให้การเท่านั้นเอง ยกเว้นว่าคุณจะหาเทปมาให้เห็นว่าเขาอัดเทปไว้ว่าพูดไว้ก่อนอย่างนั้น เมื่อก่อนไม่ได้แสดงหลักฐานอันนี้ไว้ มีวิดีโอถ่ายไว้ว่าเนี่ยไปพบไปพูดไปคุย มีคนที่รู้เห็นเหตุการณ์มายืนยันได้ว่าสิ่งที่คุณพูดน่าเชื่อถือ เนี่ยมันคือพยานหลักฐานใหม่”

“(ถาม-หรืออย่างที่พรรคเพื่อไทยบอกว่า มีการโอนเงินเข้าบัญชีคุณสุขสันต์หรือคุณชวการเท่านั้นเท่านี้ในช่วงเวลานั้น?) คุณเอาหลักฐานมาแสดงว่านั่นคือหลักฐานที่ไม่เคยแสดงมาก่อน แต่มันก็คำถามอีกว่า อ้าว! แล้วทำไมวันก่อนไม่นำมาแสดง วันนี้มาแสดง มันมาได้ยังไง มันเป็นพยานจริงหรือพยานเท็จกันอีก (ถาม-จะนำไปสู่การยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้มั้ย?) อันนั้นมันอีกขั้นตอนหนึ่งแล้ว อันนั้นเป็นความยาก เป็นชั้นที่สอง ชั้นแรกนี่ยังต้องจบก่อน มันยังไม่น่าไปไกลถึงขนาดนั้น เอาแค่ต้นเนี่ย จะพิสูจน์ว่าคราวที่แล้วเป็นเท็จ คราวนี้เป็นจริง ก็พิสูจน์ยากแล้ว (ถาม-แล้วนี่ก็อาจจะไม่ใช่เงื่อนไขเดียวที่นำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทยตอนนั้น?) เพราะฉะนั้นการพิสูจน์ว่า วันหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง อีกวันหนึ่งพูดอีกอย่างหนึ่ง แล้วอันไหนเป็นความจริง อันไหนเป็นความเท็จ ความจริงเขาเชื่อไปหมดแล้ว ทั้งคำตัดสิน ทั้งคำวินิจฉัย ทั้งผลคดี มันเชื่อ มันจบสมบูรณ์ไปแล้ว แต่การที่บอกว่า คราวที่แล้วที่พูดไปนั้นไม่เป็นความจริง แล้วก็เป็นคำพูดของคนที่เคยพูดไปแล้ว มากลับคำให้การ มาพูดยืนยันตอนนี้เป็นน้ำหนักที่อ่อนมาก ถ้าพูดกันตามหลักเหตุผลนะ คือมันถูกกฎหมายปิดปากไปหมดแล้ว”


นายเสรี ตั้งข้อสังเกตกรณีที่ นายสุขสันต์ และ นายชวการ พยานในคดียุบพรรคไทยรักไทยที่กลับคำให้การ โดยอ้างว่า ที่ต้องให้การเท็จครั้งที่แล้ว เพราะนายสุเทพข่มขู่ด้วยว่า คงไม่มีใครสามารถบังคับใครต่อหน้าศาลได้ แล้วทำไมจึงต้องโกหกศาล ดังนั้น หากมีการพิสูจน์แล้วพบว่า นายสุขสันต์และนายชวการให้การโกหกศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคไทยรักไทยจริง จะถือว่ามีความผิดฐานแจ้งเท็จ!!
ภาพเมื่อครั้งนายสุเทพ นำนายสุขสันต์-นายชวการ-นางฐัติมา ภาวะลี ผู้สมัคร ส.ส.พรรคแผ่นดินไทย เปิดแถลงว่าถูกพรรคไทยรักไทยจ้างให้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ภาพจากกล้องวงจรปิด ก.กลาโหม ที่นายสุเทพเคยนำมายืนยันว่า ตัวแทนพรรคเล็กเข้ารับเงินค่าจ้างจาก พล.อ.ธรรมรักษ์  อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม






กำลังโหลดความคิดเห็น