จากกรณี พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย นำตัวนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัครส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย และนายสุขสันต์ ชัยเทศ อดีต ผอ.พรรคพัฒนาชาติไทย ซึ่งเป็นพยานในคดียุบพรรคไทยรักไทย มาเปิดเผยว่าได้รับการจ้างวานจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ให้การใส่ร้ายพรรคไทยรักไทย จนต้องถูกยุบพรรค และมีอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย ออกมาเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ นำเรื่องขึ้นมาพิจารณาใหม่ เพราะมีพยานหลักฐานชิ้นใหม่ขึ้นมานั้น
แหล่งข่าวระดับสูงจากศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า ตามขั้นตอนทางกฎหมายและกระบวนวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งใช้ประกอบกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งความแพ่งเมื่อมีการวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วไม่สามารถรื้อคดีขึ้นมาใหม่ได้ การจะรื้อคดีขึ้นมาใหม่ได้จะทำได้เฉพาะคดีอาญาเท่านั้น แต่เมื่อคดีของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีการกำหนดโทษทางอาญา จึงนำวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการรื้อคดียุบพรรคไทยรักไทยจะดำเนินการไม่ได้ แต่อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย ที่เห็นว่าตัวเองเสียหาย สามารถยื่นฟ้องดำเนินคดีกับพยานที่ให้การเท็จทั้ง 2 ได้ โดยจะเป็นคดีอาญา และหากศาลพิจารณาแล้วว่า พยานทั้ง 2 ให้การเท็จจริง ผู้เสียหายก็สามารถยื่นฟ้องนายสุเทพว่าจ้างวาน หรืออยู่เบื้องหลังที่ทำให้พยานทั้ง 2 ให้การเท็จ เป็นคดีอาญาต่อไปได้ และสามารถยื่นร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ ฐานใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยได้ และหากกกต.มีความเห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
อย่างไรก็ตาม หากนำเรื่องขึ้นสู่ศาล แล้วมีการพิสูจน์ได้ว่า พยานทั้ง 2 ไม่ได้ให้การเท็จ ผู้ฟ้องก็จะมีความผิดฐานฟ้องเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุกเช่นกัน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีความมั่นใจในการทำหน้าที่ของตุลาการรัฐธรรมนูญชุดที่มีนายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เพราะองค์คณะทั้ง 9 คน มีผู้พิพากษาอาชีพที่ทำหน้าที่มากว่า 30 ปี ถึง 8 คน มีเพียงนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด เพียงคนเดียวที่ไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอาชีพ แต่ก็เป็นกฤษฎีกาที่มีความรู้ทางกฎหมายดีมาก ดังนั้นการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ เชื่อว่าดำเนินการได้ครบถ้วน และเรื่องการที่พยานทั้ง 2 ไปอยู่ในความดูแลของนายสุเทพ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก็เชื่อว่ามีการสืบพยานและซักค้านในศาลเรียบร้อย จนปราศจากข้อสงสัยจนตุลาการมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ทีมกฎหมายของพรรคไทยรักไทย ก็ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นการออกมาระบุการให้การเท็จในช่วงนี้ น่าจะเป็นการหวังผลทางการเมืองมากกว่าหวังผลทางคดี
**กกต.ยันหมดสิทธิ์ฟื้นทรท.
ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า การรื้อฟื้นคดีนี้ ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเมื่อดู พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขั้นมาพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 ได้ระบุว่า คดีที่จะสามารถรื้อฟื้นได้นั้น ต้องเป็นคดีอาญา แต่คดีนี้ เป็นคดีการเมือง และวินิจฉัยโดยตุลาการรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2550 ดังนั้นเรื่องการเบิกความเท็จน่าจะไปดำเนินคดีอาญาว่า พยานทั้งสองได้ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
นางสดศรีกล่าวว่า การยุบพรรคไทยรักไทยนั้น เป็นการยุบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 66 (1) และ (3) ซึ่งยกเลิกไปแล้ว แต่เทียบเคียงได้กับพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับปัจจุบัน มาตรา 94 รวมทั้งสามารถนำมาเทียบเคียงกับ มาตรา 104 เรื่องการกลั่นแกล้ง หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกลั่นแกล้งพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรค ก็จะมีโทษยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นกัน
ดังนั้นในตอนนี้เราคงไม่สามรถรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยได้ แต่ในส่วนอื่นเช่นเรื่องการให้การเท็จ หรือการกลั่นแกล้งก็สามารถเดินหน้าต่อได้ แต่ต้องรอศาลพิจารณาเสียก่อน
" คำวินิจฉัยยุบพรรคของตุลาการรัฐธรรมนูญนั้น ได้รับการรองรับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ที่ให้การรับรองการกระทำใดๆ ที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2549 ดังนั้นการกระทำใดๆ ที่ดำเนินการไปแล้วน่าจะถึงที่สุด ซึ่งก็จำได้ว่าในขณะนั้นก็มีการพิจารณาพรรคประชาธิปัตย์ว่ากลั่นแกล้งหรือไม่ควบคู่กันไปแล้ว และการเพิกถอนคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่เคยมี แต่หากมีข้อติดใจผู้จะวินิจฉัยเรื่องนี้ได้คือศาลรัฐธรรมนูญ" นางสดศรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากกต. จะดำเนินการกับพยานทั้งสองในฐานะที่ให้การเท็จกับ กกต. หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า คงต้องรอศาลตัดสินเสียก่อนว่าเป็นการให้การเท็จ จริงหรือไม่ กกต. จึงจะดำเนินการเอาผิดฐานให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และอาจต้องฟ้องคดีอาญาเช่นเดียวกัน แต่อย่าลืมว่า ตนเองเคยให้การต่อหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หากเป็นการให้การเท็จก็จะต้องโดนโทษหนักกว่าปกติแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการออกมาเปิดเผยเรื่องนี้เป็นการดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต. หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ต้องแยกศาลรัฐธรรมนูญออกมา เพราะศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ แต่ตุลาการรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 และหมดวาระไปแล้ว เมื่อทุกอย่างได้พิจารณาจบก็ถือว่าจบ อีกทั้งศาลไม่ได้ฟังเฉพาะพยานเท่านั้นแต่ฟังเรื่องอื่นประกอบด้วย ขณะที่ในส่วน กกต. เรื่องนี้ก็พิจารณาในสมัยของ กกต. ชุดที่แล้ว ซึ่งมี พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา ซึ่งถือว่าเป็นคนละชุดกับปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามีการสอบพยานในลักษณะใด จึงไม่น่าเป็นการดิสเครดิต
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะสามารถฟื้นพรรคไทยรักไทยขึ้นมาได้หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ตอนนี้ถือว่าพรรคไทยรักไทยหมดสภาพไปแล้ว เพราะมีการชำระบัญชี ทุกอย่างถือว่าเสร็จสิ้น แต่หากจะพิจารณา ก็ต้องดูเฉพาะเรื่องการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ 111 กรรมการบริหารพรรค ว่าจะกลับมาได้หรือไม่ ซึ่งกกต.ก็ไม่สามารถไปก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญได้
**กมธ.เตรียมเรียก"เทือก-พัลลภ"แจง
ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 12.45 น. วานนี้( 18พ.ย.) ทีมโฆษกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฏฐ์ ส.ส.ชลบุรี นายโกวิทย์ ธารณา ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวโดยนายไพโรจน์ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯจะเชิญพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย นายสุขสันต์ ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย ที่เป็นพยานในคดียุบพรรคทรท. พร้อมด้วย นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. มาชี้แจงประเด็นที่มีการซัดทอดว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ว่าจ้างด้วยเงินคนละ15 ล้านบาท ให้กล่าวหาพล.อ. ธรรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และพรรคไทยรักไทย สมัยนั้นว่าจ้างส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้ตุลาการรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยสั่งยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อวันพุธที่ 25 พ.ย. เวลา 09.30 น. ณ ห้องกรรมาธิการ พร้อมให้สื่อเข้าร่วมรับฟังด้วย
ด้านนายฐนโรจน์ กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการสร้างความเสียหายทั้งสองฝ่าย คือ สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงต้องนำกรณีดังกล่าวมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ว่ามีความประสงค์อะไรหรือไม่ ที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา อีกทั้งยังเพื่อป้องกันบางฝ่ายนำมาโจมตีทางการเมือง เชื่อว่านายสุเทพ คงไม่มีพฤติกรรมอย่างที่ถูกพาดพิง แต่ทั้งนี้พร้อมจะเชิญนายสุเทพ มาสอบถามเรื่องดังกล่าวด้วย แม้จะมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคของตนก็ตาม
ขณะที่นายโกวิทย์ กล่าวว่า อยากถามไปยัง พล.อ.พัลลภว่าเรื่องที่เปิดเผยออกมานั้นต้องการอะไร หรือต้องการสร้างความแตกแยกให้กับชาติบ้านเมือง และอยากย้ำว่า นี่ไม่ใช่สนามรบ เพราะนี่คือประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ควรจะหันมาสร้างความสมานฉันท์ภายในประเทศ ดีกว่าสร้างความแตกแยก
**ปชป.งัดหลักฐานแฉ"ชวการ"
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง และนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมแถลงข่าวถึงเรื่องนี้ โดยนายนิฏฐ์ กล่าวว่า ในการยุบพรรคไทยรักไทยขณะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในฐานะฝ่ายค้าน เป็นไปไม่ได้ที่จะข่มขู่รัฐบาล แต่พยานทั้งสองคนเกรงว่าจะมีความผิด ที่ได้กล่าวคำเท็จต่อศาล เกรงถึงความไม่ปลอดภัย จึงได้เดินทางเข้าพบนายสุเทพ โดยให้เหตุผล 4 ประการ คือ 1. กลัวว่าจะไม่มีความปลอดภัย 2. การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงอยากให้นายสุเทพคอยดูแล 3.ประชาธิปัตย์เป็นนักต่อสู้อย่างแท้จริง และ 4.ร้องขอให้พรรคประชาธิปัตย์ และเลขาธิการพรรค ดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังให้ถึงขั้นยุบพรรคไทยรักไทย
ทั้งนี้พยานทั้งสองคนได้ให้การต่อ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นลายลักษณ์อักษรถึงสองครั้ง และไม่ปรากฎข้อเท็จจริงใดๆในตอนนั้นว่า ศาลและกกต.ได้บังคับนายชวการ และนายสุขสันต์ ให้กล่าวคำเท็จ แต่ตอนนี้มีการยังการกลับคำให้การ
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า หากพรรคประชาธิปัตย์กระทำการผิดกฎหมาย จนถึงขั้นให้ยุบพรรคจริง ตนขอเพียงอย่างเดียวคือให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงข่าวด้วยตัวเองว่าประชาธิปัตย์ใส่ร้ายกลั่นแกล้ง บีบบังคับบิดเบือนข้อมูลจนถึงขั้นยุบพรรคไทยรักไทย และจะเดิมพันด้วยการยุบพรรคอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากแน่ใจก็ขอให้ออกมาอย่าหลบอยู่หลังพล.อ.พัลลภ ซึ่งหากประชาธิปัตย์ทำผิดจริง ก็ถึงขั้นยุบพรรค แต่หากพรรคเพื่อไทย ยังมีพฤติกรรมโกหก ตลบแตลง ก็คงต้องมีการยุบพรรค ครั้งที่ 3
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์จะฟ้องร้องที่ตัวบุคคล หรือพรรคเพื่อไทย นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เบื้องต้นหากการกระทำดังกล่าวทำให้บุคลหนึ่งบุคคลใดเสียหาย คงต้องดำเนินการฟ้องร้องตัวบุคคลโดยมี พล.อ.พัลลภ เป็นจำเลยที่ 1 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการกับพรรคเพื่อไทยได้เพราะหัวหน้าพรรคยังไม่มีการออกมาแถลง ซึ่งเชื่อว่านี่คือแผนการปกป้องพรรคไม่ให้ถูกดำเนินคดี ที่ให้สมาชิกตัวเล็กๆ ออกมาโจมตี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าพล.อ.พัลลภ จะโดดเดียวมากขึ้นเรื่อยๆ หากทุกฝ่ายรู้ความจริง
เมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภ ระบุว่ามีหลักฐานเป็นเอกสารสำคัญในการโอเงินชัดเจน นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ถ้ามีจริง ก็ขอให้เอามาโชว์ เพราะปฏิเสธไม่ได้ แต่ตนไม่เชื่อพล.อ.พัลลภ ถ้าหากมีการโอนเงินดังกล่าวจริง จะได้รู้ว่าใครเป็นผู้โอน ใครเป็นผู้รับ สืบหาข้อมูลได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว นายนิพิฏฐ์ได้นำหนังสือ"การเมืองโคตรบัดซบ" ที่เขียนโดยนายชวการ โตสวัสดิ์ ตีพิมพ์ปี 2550 มีเนื้อหาบางส่วนระบุว่า ถูก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หักหลัง เพราะจ่ายเงินไม่ครบตามจำนวน จึงเกรงว่าจเกิดความไม่ปลอดภัย จึงนำเรื่องไปแจ้งยังเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมระบุว่าหากนายชวการอ้างว่าถูกบังคับ ข่มขูให้ร้ายพรรคไทยรักไทยจริง ก็ต้องกล่าวด้วยว่าถูกบังคับให้เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วย แต่หากไม่ถูกบังคับ ก็แสดงว่าเนื้อหาที่กล่าวอ้างในหนังสือเป็นเรื่องจริง
**"เพื่อไทย"รวบรวมข้อมูลยื่นยุบปชป.
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ส.ส.ในพรรคกำลังพูดคุยหารือกันในเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องดำเนินการรวบรวมข้อมูลให้รอบคอบ รัดกุม ก่อนยื่นยุบพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่ทำ ก็คงไม่ได้ และจะพยายามยื่นเรื่องภายในสัปดาห์นี้
แหล่งข่าวระดับสูงจากศาลรัฐธรรมนูญ เผยว่า ตามขั้นตอนทางกฎหมายและกระบวนวิธีการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งใช้ประกอบกระบวนการพิจารณาคดี ซึ่งความแพ่งเมื่อมีการวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วไม่สามารถรื้อคดีขึ้นมาใหม่ได้ การจะรื้อคดีขึ้นมาใหม่ได้จะทำได้เฉพาะคดีอาญาเท่านั้น แต่เมื่อคดีของศาลรัฐธรรมนูญไม่มีการกำหนดโทษทางอาญา จึงนำวิธีพิจารณาความอาญามาใช้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการรื้อคดียุบพรรคไทยรักไทยจะดำเนินการไม่ได้ แต่อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย ที่เห็นว่าตัวเองเสียหาย สามารถยื่นฟ้องดำเนินคดีกับพยานที่ให้การเท็จทั้ง 2 ได้ โดยจะเป็นคดีอาญา และหากศาลพิจารณาแล้วว่า พยานทั้ง 2 ให้การเท็จจริง ผู้เสียหายก็สามารถยื่นฟ้องนายสุเทพว่าจ้างวาน หรืออยู่เบื้องหลังที่ทำให้พยานทั้ง 2 ให้การเท็จ เป็นคดีอาญาต่อไปได้ และสามารถยื่นร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อขอให้พิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์ ฐานใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยได้ และหากกกต.มีความเห็นควรให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา
อย่างไรก็ตาม หากนำเรื่องขึ้นสู่ศาล แล้วมีการพิสูจน์ได้ว่า พยานทั้ง 2 ไม่ได้ให้การเท็จ ผู้ฟ้องก็จะมีความผิดฐานฟ้องเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุกเช่นกัน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีความมั่นใจในการทำหน้าที่ของตุลาการรัฐธรรมนูญชุดที่มีนายปัญญา ถนอมรอด ประธานศาลฎีกา เป็นประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ เพราะองค์คณะทั้ง 9 คน มีผู้พิพากษาอาชีพที่ทำหน้าที่มากว่า 30 ปี ถึง 8 คน มีเพียงนายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด เพียงคนเดียวที่ไม่ได้เป็นผู้พิพากษาอาชีพ แต่ก็เป็นกฤษฎีกาที่มีความรู้ทางกฎหมายดีมาก ดังนั้นการพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ เชื่อว่าดำเนินการได้ครบถ้วน และเรื่องการที่พยานทั้ง 2 ไปอยู่ในความดูแลของนายสุเทพ ที่ จ.สุราษฎร์ธานี ก็เชื่อว่ามีการสืบพยานและซักค้านในศาลเรียบร้อย จนปราศจากข้อสงสัยจนตุลาการมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคไทยรักไทย นอกจากนี้ทีมกฎหมายของพรรคไทยรักไทย ก็ต่อสู้อย่างเต็มที่แล้ว ดังนั้นการออกมาระบุการให้การเท็จในช่วงนี้ น่าจะเป็นการหวังผลทางการเมืองมากกว่าหวังผลทางคดี
**กกต.ยันหมดสิทธิ์ฟื้นทรท.
ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวว่า การรื้อฟื้นคดีนี้ ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเมื่อดู พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขั้นมาพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 ได้ระบุว่า คดีที่จะสามารถรื้อฟื้นได้นั้น ต้องเป็นคดีอาญา แต่คดีนี้ เป็นคดีการเมือง และวินิจฉัยโดยตุลาการรัฐธรรมนูญ เมื่อปี 2550 ดังนั้นเรื่องการเบิกความเท็จน่าจะไปดำเนินคดีอาญาว่า พยานทั้งสองได้ให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
นางสดศรีกล่าวว่า การยุบพรรคไทยรักไทยนั้น เป็นการยุบตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 66 (1) และ (3) ซึ่งยกเลิกไปแล้ว แต่เทียบเคียงได้กับพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับปัจจุบัน มาตรา 94 รวมทั้งสามารถนำมาเทียบเคียงกับ มาตรา 104 เรื่องการกลั่นแกล้ง หรือสนับสนุนให้ผู้อื่นกลั่นแกล้งพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง จนเป็นเหตุให้ถูกยุบพรรค ก็จะมีโทษยุบพรรค และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่นกัน
ดังนั้นในตอนนี้เราคงไม่สามรถรื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทยได้ แต่ในส่วนอื่นเช่นเรื่องการให้การเท็จ หรือการกลั่นแกล้งก็สามารถเดินหน้าต่อได้ แต่ต้องรอศาลพิจารณาเสียก่อน
" คำวินิจฉัยยุบพรรคของตุลาการรัฐธรรมนูญนั้น ได้รับการรองรับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ที่ให้การรับรองการกระทำใดๆ ที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับปี 2549 ดังนั้นการกระทำใดๆ ที่ดำเนินการไปแล้วน่าจะถึงที่สุด ซึ่งก็จำได้ว่าในขณะนั้นก็มีการพิจารณาพรรคประชาธิปัตย์ว่ากลั่นแกล้งหรือไม่ควบคู่กันไปแล้ว และการเพิกถอนคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่เคยมี แต่หากมีข้อติดใจผู้จะวินิจฉัยเรื่องนี้ได้คือศาลรัฐธรรมนูญ" นางสดศรี กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากกต. จะดำเนินการกับพยานทั้งสองในฐานะที่ให้การเท็จกับ กกต. หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า คงต้องรอศาลตัดสินเสียก่อนว่าเป็นการให้การเท็จ จริงหรือไม่ กกต. จึงจะดำเนินการเอาผิดฐานให้การเท็จต่อเจ้าพนักงาน และอาจต้องฟ้องคดีอาญาเช่นเดียวกัน แต่อย่าลืมว่า ตนเองเคยให้การต่อหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หากเป็นการให้การเท็จก็จะต้องโดนโทษหนักกว่าปกติแน่นอน
ผู้สื่อข่าวถามว่าการออกมาเปิดเผยเรื่องนี้เป็นการดิสเครดิตศาลรัฐธรรมนูญ และ กกต. หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ต้องแยกศาลรัฐธรรมนูญออกมา เพราะศาลรัฐธรรมนูญปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญ แต่ตุลาการรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 และหมดวาระไปแล้ว เมื่อทุกอย่างได้พิจารณาจบก็ถือว่าจบ อีกทั้งศาลไม่ได้ฟังเฉพาะพยานเท่านั้นแต่ฟังเรื่องอื่นประกอบด้วย ขณะที่ในส่วน กกต. เรื่องนี้ก็พิจารณาในสมัยของ กกต. ชุดที่แล้ว ซึ่งมี พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เป็นประธาน มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณา ซึ่งถือว่าเป็นคนละชุดกับปัจจุบัน เราไม่ทราบว่ามีการสอบพยานในลักษณะใด จึงไม่น่าเป็นการดิสเครดิต
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะสามารถฟื้นพรรคไทยรักไทยขึ้นมาได้หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ตอนนี้ถือว่าพรรคไทยรักไทยหมดสภาพไปแล้ว เพราะมีการชำระบัญชี ทุกอย่างถือว่าเสร็จสิ้น แต่หากจะพิจารณา ก็ต้องดูเฉพาะเรื่องการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของ 111 กรรมการบริหารพรรค ว่าจะกลับมาได้หรือไม่ ซึ่งกกต.ก็ไม่สามารถไปก้าวล่วงอำนาจศาลรัฐธรรมนูญได้
**กมธ.เตรียมเรียก"เทือก-พัลลภ"แจง
ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 12.45 น. วานนี้( 18พ.ย.) ทีมโฆษกคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร นำโดยนายฐนโรจน์ โรจนกุลเสฏฐ์ ส.ส.ชลบุรี นายโกวิทย์ ธารณา ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวโดยนายไพโรจน์ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการฯจะเชิญพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย นายสุขสันต์ ชัยเทศ อดีตผู้อำนวยการพรรคพัฒนาชาติไทย และนายชวการ โตสวัสดิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคพัฒนาชาติไทย ที่เป็นพยานในคดียุบพรรคทรท. พร้อมด้วย นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการ กกต. มาชี้แจงประเด็นที่มีการซัดทอดว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ว่าจ้างด้วยเงินคนละ15 ล้านบาท ให้กล่าวหาพล.อ. ธรรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย และพรรคไทยรักไทย สมัยนั้นว่าจ้างส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง จนเป็นเหตุให้ตุลาการรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยสั่งยุบพรรคไทยรักไทย เมื่อวันพุธที่ 25 พ.ย. เวลา 09.30 น. ณ ห้องกรรมาธิการ พร้อมให้สื่อเข้าร่วมรับฟังด้วย
ด้านนายฐนโรจน์ กล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการสร้างความเสียหายทั้งสองฝ่าย คือ สมาชิกบ้านเลขที่ 111 และพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นจึงต้องนำกรณีดังกล่าวมาตรวจสอบหาข้อเท็จจริง ว่ามีความประสงค์อะไรหรือไม่ ที่เปิดประเด็นนี้ขึ้นมา อีกทั้งยังเพื่อป้องกันบางฝ่ายนำมาโจมตีทางการเมือง เชื่อว่านายสุเทพ คงไม่มีพฤติกรรมอย่างที่ถูกพาดพิง แต่ทั้งนี้พร้อมจะเชิญนายสุเทพ มาสอบถามเรื่องดังกล่าวด้วย แม้จะมีตำแหน่งเป็นเลขาธิการพรรคของตนก็ตาม
ขณะที่นายโกวิทย์ กล่าวว่า อยากถามไปยัง พล.อ.พัลลภว่าเรื่องที่เปิดเผยออกมานั้นต้องการอะไร หรือต้องการสร้างความแตกแยกให้กับชาติบ้านเมือง และอยากย้ำว่า นี่ไม่ใช่สนามรบ เพราะนี่คือประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ควรจะหันมาสร้างความสมานฉันท์ภายในประเทศ ดีกว่าสร้างความแตกแยก
**ปชป.งัดหลักฐานแฉ"ชวการ"
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง และนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง ในฐานะทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมแถลงข่าวถึงเรื่องนี้ โดยนายนิฏฐ์ กล่าวว่า ในการยุบพรรคไทยรักไทยขณะนั้น พรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในฐานะฝ่ายค้าน เป็นไปไม่ได้ที่จะข่มขู่รัฐบาล แต่พยานทั้งสองคนเกรงว่าจะมีความผิด ที่ได้กล่าวคำเท็จต่อศาล เกรงถึงความไม่ปลอดภัย จึงได้เดินทางเข้าพบนายสุเทพ โดยให้เหตุผล 4 ประการ คือ 1. กลัวว่าจะไม่มีความปลอดภัย 2. การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย จึงอยากให้นายสุเทพคอยดูแล 3.ประชาธิปัตย์เป็นนักต่อสู้อย่างแท้จริง และ 4.ร้องขอให้พรรคประชาธิปัตย์ และเลขาธิการพรรค ดำเนินการอย่างเอาจริงเอาจังให้ถึงขั้นยุบพรรคไทยรักไทย
ทั้งนี้พยานทั้งสองคนได้ให้การต่อ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญ เป็นลายลักษณ์อักษรถึงสองครั้ง และไม่ปรากฎข้อเท็จจริงใดๆในตอนนั้นว่า ศาลและกกต.ได้บังคับนายชวการ และนายสุขสันต์ ให้กล่าวคำเท็จ แต่ตอนนี้มีการยังการกลับคำให้การ
นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า หากพรรคประชาธิปัตย์กระทำการผิดกฎหมาย จนถึงขั้นให้ยุบพรรคจริง ตนขอเพียงอย่างเดียวคือให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงข่าวด้วยตัวเองว่าประชาธิปัตย์ใส่ร้ายกลั่นแกล้ง บีบบังคับบิดเบือนข้อมูลจนถึงขั้นยุบพรรคไทยรักไทย และจะเดิมพันด้วยการยุบพรรคอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากแน่ใจก็ขอให้ออกมาอย่าหลบอยู่หลังพล.อ.พัลลภ ซึ่งหากประชาธิปัตย์ทำผิดจริง ก็ถึงขั้นยุบพรรค แต่หากพรรคเพื่อไทย ยังมีพฤติกรรมโกหก ตลบแตลง ก็คงต้องมีการยุบพรรค ครั้งที่ 3
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์จะฟ้องร้องที่ตัวบุคคล หรือพรรคเพื่อไทย นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เบื้องต้นหากการกระทำดังกล่าวทำให้บุคลหนึ่งบุคคลใดเสียหาย คงต้องดำเนินการฟ้องร้องตัวบุคคลโดยมี พล.อ.พัลลภ เป็นจำเลยที่ 1 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการกับพรรคเพื่อไทยได้เพราะหัวหน้าพรรคยังไม่มีการออกมาแถลง ซึ่งเชื่อว่านี่คือแผนการปกป้องพรรคไม่ให้ถูกดำเนินคดี ที่ให้สมาชิกตัวเล็กๆ ออกมาโจมตี อย่างไรก็ตามเชื่อว่าพล.อ.พัลลภ จะโดดเดียวมากขึ้นเรื่อยๆ หากทุกฝ่ายรู้ความจริง
เมื่อถามว่า พล.อ.พัลลภ ระบุว่ามีหลักฐานเป็นเอกสารสำคัญในการโอเงินชัดเจน นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า ถ้ามีจริง ก็ขอให้เอามาโชว์ เพราะปฏิเสธไม่ได้ แต่ตนไม่เชื่อพล.อ.พัลลภ ถ้าหากมีการโอนเงินดังกล่าวจริง จะได้รู้ว่าใครเป็นผู้โอน ใครเป็นผู้รับ สืบหาข้อมูลได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการแถลงข่าว นายนิพิฏฐ์ได้นำหนังสือ"การเมืองโคตรบัดซบ" ที่เขียนโดยนายชวการ โตสวัสดิ์ ตีพิมพ์ปี 2550 มีเนื้อหาบางส่วนระบุว่า ถูก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หักหลัง เพราะจ่ายเงินไม่ครบตามจำนวน จึงเกรงว่าจเกิดความไม่ปลอดภัย จึงนำเรื่องไปแจ้งยังเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมระบุว่าหากนายชวการอ้างว่าถูกบังคับ ข่มขูให้ร้ายพรรคไทยรักไทยจริง ก็ต้องกล่าวด้วยว่าถูกบังคับให้เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วย แต่หากไม่ถูกบังคับ ก็แสดงว่าเนื้อหาที่กล่าวอ้างในหนังสือเป็นเรื่องจริง
**"เพื่อไทย"รวบรวมข้อมูลยื่นยุบปชป.
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ ส.ส.ในพรรคกำลังพูดคุยหารือกันในเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องดำเนินการรวบรวมข้อมูลให้รอบคอบ รัดกุม ก่อนยื่นยุบพรรคประชาธิปัตย์ หากไม่ทำ ก็คงไม่ได้ และจะพยายามยื่นเรื่องภายในสัปดาห์นี้