“สมคิด บุญถนอม” ประกาศฟ้องกลับดีเอสไอ กล่าวหามีเอี่ยวอุ้มฆ่านักธุรกิจซาอุฯ ชี้มีขบวนการกลั่นแกล้งนำคดีเดิมพยานเก่ามาสอบใหม่ เป่าหูผู้ใหญ่ช่วงโยกย้ายนายพล หวังให้โดนเด้งพ้นเก้าอี้ ผบช.ภ.5
วันนี้ (14 ต.ค.) พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผบช.ภ.5 หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกหมายเรียกในข้อหาร่วมกันอุ้มฆ่านักธุรกิจประเทศซาอุดีอาระเบียให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ตนเป็น รอง ผกก.มียศ พ.ต.ท. มีการกล่าวหาว่าตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มีการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งในที่สุดอัยการก็สั่งไม่ฟ้องเรื่องนี้ก็จบไปในครั้งนั้น แต่ทุกรัฐบาลก็มีการรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาตลอด ซึ่งตนก็เข้าใจว่าเพื่อเป็นการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ทุกครั้งที่รื้อฟื้นก็อาศัยพื้นฐานข้อมูลจากเรื่องเก่า และทุกครั้งก็จับจ้องมาว่าตนทำผิด ถึงขั้นมีการมาหาพยานหลักฐานจากคนรอบข้างตน ใครที่มาทำงานกับตนก็ถูกโยงใยหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วย จนตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่มีผู้บังคับบัญชากล้าใช้งานตนแล้ว
พล.ต.ท.สมคิด กล่าวว่า ล่าสุดมีการรื้อฟื้นคดีสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ตอนนั้นนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีต รมว.ยุติธรรม และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีดีเอสไอ ถึงกับเข้าไปในเรือนจำไปเพื่อพบกับ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ พอออกมาก็ให้ข่าวว่ามีข้อมูลที่น่าพอใจ แต่ก็ไม่มีอะไรตนทราบว่ามีการขอศาลเพื่อสืบพยานล่วงหน้า ลับหลัง ก่อนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาด้วยซ้ำโดยอ้างว่าเป็นพยานที่มาให้การลำบาก เป็นลักษณะแอบทำ และยังทราบว่าไม่มีพยานหลักฐานใหม่ แต่เป็นลักษณะเอาพยานคนเดิมในคดีที่สั่งไม่ฟ้องไปแล้วมากลับคำให้การ ก็เท่ากับทำคดีซ้ำ เรียกว่าการสืบสวนหาพยานหลักฐานนั้นทำโดยไม่ชอบมาโดยตลอด ซึ่งเรื่องการหาพยานหลักฐานของดีเอสไอแบบนี้ ตนเคยหารือกับ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ อดีต รรท.ผบ.ตร.ที่เคยดูแลคดีนี้ ท่านก็ว่าดีเอสไอทำไม่เหมาะสมและสั่งให้ตำรวจที่ร่วมทำคดีหาพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ
พล.ต.ท.สมคิด กล่าวอีกว่า ครั้งนี้ดีเอสไอเริ่มทำคดีมานาน หาพยานหลักฐานไว้นานแล้ว แต่เก็บเรื่องเอาไว้รอจนวันสุดท้ายที่ พ.ต.อ.ทวี จะพ้นจากตำแหน่ง จึงมีการดำเนินการกระทั่งมาเปิดประเด็นกันในตอนนี้ มันผิดสังเกตหรือไม่ มีการไปขอหมายจับ ศาลท่านพิจารณาแล้วไม่อนุมัติหมายจับ จนพนักงานสอบสวนดีเอสไอต้องออกหมายเรียกเอง แต่กลับมาปล่อยข่าวกับสื่อว่าศาลออกหมายจับ เอาศาลมาเกาะเกี่ยวเพื่อให้เรื่องนี้ดูน่าเชื่อถือขึ้นทั้งๆที่ไม่ใช่ เป็นการสร้างกระแสเรื่องนี้ขึ้นมาในห้วงที่กำลังมีการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ
“ช่วงนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจระดับนายพล การเปิดประเด็นเรื่องนี้จึงส่งทางจิตวิทยาต่อผู้มีอำนาจในการโยกย้ายแต่งตั้งในการพิจารณาตำแหน่งของผมแน่นอน เห็นได้ชัดว่ามีการกระทำเป็นขบวนการเปิดประเด็นสร้างกระแสเพื่อให้มีการโยกย้ายผมออกจากพื้นที่ บช.ภ.5 ที่ผ่านมาผมได้รับผลกระทบไม่ได้รับตำแหน่งเพราะถูกหยิบเรื่องนี้มาพูด แต่พอได้มาอยู่ บช.ภ.5 ทำคดีสำคัญแกะรอยความไม่ชอบมาพากลในคดีป่าไม้ที่ จ.เชียงราย พอมีผลงานเข้าก็เลยพยายามออกมาสกัด ที่ผ่านมาผู้บังคับบัญชาก็เข้าใจเข้าใจแต่หลายท่านก็ไม่เข้าใจ ฟังจากสื่อบ้าง จากข้อมูลความเชื่อเก่าๆ บ้าง ผมจึงได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มาตลอด พล.ต.ท.สมคิดกล่าว
พล.ต.ท.สมคิด กล่าวอีกว่า กระบวนการทำคดีนี้ไม่ชอบมาพากล มีการตั้งธง โฟกัสมาที่ตัวของตนอยู่แล้ว และทำคดีออกมาซ้ำโดยใช้แต่หลักฐานเดิมๆ ตนขอเวลาศึกษาเรื่องนี้ เนื่องจากพบจุดที่มีการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบหลายจุด ซึ่งตนไม่ยอมแล้ว ทำแบบนี้ต้องเจอกัน คงต้องฟ้องร้องตามกฎหมายกับคนที่ทำคดีนี้โดยมิชอบ ยอมรับว่าผิดหวังกับดีเอสไอที่เป็นถึงหน่วยงานสืบสวนสอบสวนมืออาชีพ ตั้งขึ้นมาเพื่อคานอำนาจตำรวจแต่กลับทำคดีแบบนี้ น่าเสียดายที่ตำรวจจำนวนมากย้ายไปสังกัด ตนขอเวลาศึกษาแล้วจะดำเนินการตอบโต้แน่ๆ แต่ยังไม่ขอบอกว่าจะดำเนินคดีกับใครบ้าง
“มีคนถามว่าทำไมผมไม่หนี อีก 4 เดือนคดีจะหมดอายุความแล้ว ผมก็ตอบกลับไปว่า ผมไม่หนี ผมจะสู้ ผมไม่ผิดจะหนีทำไม สู้มาตลอด 19 ปีกว่าแล้ว ต้องสู้ต่อเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองบริสุทธิ์ ถ้าหนีสังคมก็ตราหน้าว่าผมทำผิด ผมอ่านกฎหมายรู้ ดูกฎหมายเป็นจึงต้องพิสูจน์ด้วยกฎหมายและตอบโต้คนที่มากระทำโดยมิชอบมาลิดรอนผมด้วยกฎหมายเช่นกัน” พล.ต.ท.สมคิดกล่าว
ผบช.ภ.5 ด้วยว่า ตนยังไม่ได้รับหมายเรียกจากดีเอสไอ แต่ยืนยันจะไปรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกแน่นอน ตนเป็นคนไทยคนหนึ่งที่อยากช่วยเหลือประเทศ ยินดีเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หากเป็นไปเพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้ แต่ตอนนี้รู้สึกแย่ที่ถูกกระทำด้วยวิธีการแบบนี้ ถูกสังคมมองว่าเป็นผู้ต้องหาที่ถูกปล่อยให้ลอยนวล