ปดส.บุกรวบ อดีตทนายความส่วนตัว “ยุทธ ตู้เย็น” ขัดขวางขบวนการสืบสวนการฟ้องร้องคดีค้ามนุษย์ บังคับให้เด็กสาวชาวลาวกลับคำให้การ ด้านเจ้าตัวปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างไม่เกี่ยวข้องให้เด็กสาวชาวลาวกลับคำให้การ
วันนี้ (3 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ บก.ปดส. พ.ต.ท.ชูศักดิ์ เคทอง รอง ผกก.2 บก.ปดส.นำกำลังจับกุม ดร.ศิวาวิทย์ สำเร็จผล อายุ 50 ปี ทนายความอิสระ อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กทม. และอดีตทนายความประจำพรรคไทยรักไทย และอดีตทนายความส่วนตัว นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญารัชดาภิเษก ข้อหาขัดขวางขบวนการสืบสวนสอบสวน การฟ้องร้อง การดำเนินคดีความผิดฐานค้ามนุษย์ เพื่อไม่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ใช้กำลังบังคับ ขู่เข็ญ ข่มขู่ ข่มขืนใจ หลอกลวงหรือกระทำการอันมิชอบประการอื่น เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายหรือพยานไปพบพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือไม่ไปศาลเพื่อให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความอันเป็นเท็จ หรือไม่ให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยจับกุมได้ภายในหมู่บ้านพระปิ่น 2 ถนนสรงประภา แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.พร้อมของกลางคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับคดีอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนที่ บก.ปดส.
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก ดร.ศิวาวิทย์ อ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากสถานทูตลาวประจำประเทศไทย เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง ผกก.3 บก.ปดส. พ.ต.ต.ณวัฒน์ ศุกลรัตน์ สว.กก.3 บก.ปดส.และพวก ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังจากเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ตำรวจ กก.3 บก.ปดส.ได้เข้าจับกุม น.ส.เดือนเพ็ญ พรมพะนัส อายุ 41 ปี นายเพลิน พรมพะนัส อายุ 30 ปี สองพี่น้อง เจ้าของร้าน “มานะชัย” คาราโอเกะ เลขที่ 315 ถนนหน้าพระ ต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม และนางเสงี่ยม สอดสุข อายุ 43 ปี ในความผิดฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหาบุคคลอายุกว่า 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี เพื่อค้าประเวณี ร่วมกันสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจาร ให้ที่พักพิงบุคคลต่างด้าว และร่วมกันกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ได้จับกุมหญิงต่างด้าวสัญชาติลาว 11 ราย ดำเนินคดีข้อหาค้าประเวณี และหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย พร้อมกับให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงสาวชาวลาว อายุ 16 ปี จำนวน 3 คน ซึ่งถูกบังคับให้ค้าประเวณี นอกจากนี้ ดร.ศิวาวิทย์ ได้พาผู้ต้องหาเข้าร้องเรียนกับ เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรม กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และบังคับให้เด็กสาวชาวลาว 3 ราย กลับคำให้การที่รับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปดส. นอกจากนี้ยังสืบสวนพบว่ามีการใช้หลักฐานอันเป็นเท็จอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจลาวได้ประสานมายังตำรวจ ปดส.ว่าขณะนี้ได้จับกุมนางนาง นางสอน และนางดาว เอเยนต์ส่งเด็กลาวรายใหญ่มาค้าประเวณีในไทย ซึ่งสอบสวนทราบว่าทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงเด็กหญิงชาวลาว 3 คน มาค้าประเวณีที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าว ส่วนเด็กหญิงผู้เสียหายทั้งสามรายที่หายจากสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการกลับประเทศ ขณะนี้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจลาว ซึ่งการสอบสวนเบื้องต้นทั้งหมดก็ยืนยันว่าถูกหลอกลวงให้มาค้าประเวณีที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าวจริงและถูกบังคับให้กลับคำให้การอีกด้วย
ด้าน ดร.ศิวาวิทย์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ให้ผู้ต้องหากลับคำให้การแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังไม่รู้เรื่องที่เด็กชาวลาวทั้งสามออกมาจากสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการอีกด้วย
วันนี้ (3 ก.ค.) เมื่อเวลา 11.30 น.ที่ บก.ปดส. พ.ต.ท.ชูศักดิ์ เคทอง รอง ผกก.2 บก.ปดส.นำกำลังจับกุม ดร.ศิวาวิทย์ สำเร็จผล อายุ 50 ปี ทนายความอิสระ อดีตผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) กทม. และอดีตทนายความประจำพรรคไทยรักไทย และอดีตทนายความส่วนตัว นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญารัชดาภิเษก ข้อหาขัดขวางขบวนการสืบสวนสอบสวน การฟ้องร้อง การดำเนินคดีความผิดฐานค้ามนุษย์ เพื่อไม่ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ใช้กำลังบังคับ ขู่เข็ญ ข่มขู่ ข่มขืนใจ หลอกลวงหรือกระทำการอันมิชอบประการอื่น เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายหรือพยานไปพบพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือไม่ไปศาลเพื่อให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความอันเป็นเท็จ หรือไม่ให้ข้อเท็จจริงหรือเบิกความในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยจับกุมได้ภายในหมู่บ้านพระปิ่น 2 ถนนสรงประภา แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.พร้อมของกลางคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง และเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับคดีอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนที่ บก.ปดส.
ทั้งนี้ สืบเนื่องจาก ดร.ศิวาวิทย์ อ้างว่าได้รับมอบอำนาจจากสถานทูตลาวประจำประเทศไทย เข้าพบพนักงานสอบสวน สน.พหลโยธิน เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อ พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง ผกก.3 บก.ปดส. พ.ต.ต.ณวัฒน์ ศุกลรัตน์ สว.กก.3 บก.ปดส.และพวก ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หลังจากเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ตำรวจ กก.3 บก.ปดส.ได้เข้าจับกุม น.ส.เดือนเพ็ญ พรมพะนัส อายุ 41 ปี นายเพลิน พรมพะนัส อายุ 30 ปี สองพี่น้อง เจ้าของร้าน “มานะชัย” คาราโอเกะ เลขที่ 315 ถนนหน้าพระ ต.ห้วยจระเข้ อ.เมือง จ.นครปฐม และนางเสงี่ยม สอดสุข อายุ 43 ปี ในความผิดฐานร่วมกันเป็นธุระจัดหาบุคคลอายุกว่า 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี เพื่อค้าประเวณี ร่วมกันสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหาเพื่อการอนาจาร ให้ที่พักพิงบุคคลต่างด้าว และร่วมกันกระทำผิดฐานค้ามนุษย์ นอกจากนี้ ได้จับกุมหญิงต่างด้าวสัญชาติลาว 11 ราย ดำเนินคดีข้อหาค้าประเวณี และหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย พร้อมกับให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงสาวชาวลาว อายุ 16 ปี จำนวน 3 คน ซึ่งถูกบังคับให้ค้าประเวณี นอกจากนี้ ดร.ศิวาวิทย์ ได้พาผู้ต้องหาเข้าร้องเรียนกับ เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรม กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรีอีกด้วย
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้สืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน และบังคับให้เด็กสาวชาวลาว 3 ราย กลับคำให้การที่รับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปดส. นอกจากนี้ยังสืบสวนพบว่ามีการใช้หลักฐานอันเป็นเท็จอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจลาวได้ประสานมายังตำรวจ ปดส.ว่าขณะนี้ได้จับกุมนางนาง นางสอน และนางดาว เอเยนต์ส่งเด็กลาวรายใหญ่มาค้าประเวณีในไทย ซึ่งสอบสวนทราบว่าทั้งหมดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงเด็กหญิงชาวลาว 3 คน มาค้าประเวณีที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าว ส่วนเด็กหญิงผู้เสียหายทั้งสามรายที่หายจากสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการกลับประเทศ ขณะนี้อยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจลาว ซึ่งการสอบสวนเบื้องต้นทั้งหมดก็ยืนยันว่าถูกหลอกลวงให้มาค้าประเวณีที่ร้านคาราโอเกะดังกล่าวจริงและถูกบังคับให้กลับคำให้การอีกด้วย
ด้าน ดร.ศิวาวิทย์ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้ให้ผู้ต้องหากลับคำให้การแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังไม่รู้เรื่องที่เด็กชาวลาวทั้งสามออกมาจากสถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพบ้านเกร็ดตระการอีกด้วย
