ป.ป.ท.พบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ ยัดเยียดข้อกล่าวหากรณีจับกุมสาวคาราโอเกะชาวลาว เสนอ รมว.ยุติธรรม พิจารณาสั่งการ
จากกรณีที่ นายศิวาวิทย์ สำเร็จผล ทนายความเข้าร้องเรียนต่อนายพิชัย บุณยเกียรติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ตรวจสอบชุดจับกุม กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ปดส.) ซึ่งกลั่นแกล้งยัดข้อหาและกรรโชกทรัพย์แก่สาวคาราโอเกะชาวลาว
วันนี้ (9 มิ.ย.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กล่าวว่า ป.ป.ท.ได้เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นตามที่ได้รับร้องเรียน พบว่า จากสภาพแวดล้อมในสถานที่เกิดเหตุไม่เอื้อต่อการค้าประเวณี นอกจากนี้ยังได้สอบปากคำพยานบุคคลในบริเวณใกล้เคียงก็ยืนยันตรงกันว่าไม่มีการกระทำความผิดตามที่ถูกแจ้งข้อหาจับกุม ทั้งนี้ สถานที่เกิดเหตุมีสภาพเป็นร้านอาหารทั่วไป ไม่มีห้องแยกสำหรับการค้าประเวณี สำหรับผู้ที่ถูกจับกุมก็เข้าเมืองโดยถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้น ข้อมูลเบื้องต้นจึงมีมูลน่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐเข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ขู่กรรโชกทรัพย์เรียกรับผลประโยชน์ ยัดเยียดข้อกล่าวหาให้ได้รับความผิด ซึ่ง ป.ป.ท.ได้นำรายงานการตรวจสอบเบื้องต้นเสนอต่อนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแล้ว หลังจากนี้คงต้องรอฟังคำสั่งจาก รมว.ยุติธรรม ว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยในส่วนของ ป.ป.ท.หากพบความผิดชัดเจนจะสืบสวนเบื้องต้นเพื่อเก็บข้อมูลหลักฐาน รอจนกว่าจะมีการแต่งคณะกรรมการ ป.ป.ท.ขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดี
ส่วนกรณีที่พนักงานสอบสวนปดส.อ้างว่ามีภาพเหตุการณ์ขณะจับกุมนั้น นายธาริต กล่าวว่า ป.ป.ท.อาจร้องขอให้พนักงานสอบสวนนำภาพถ่ายมาตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะเจาะจงไปยังตัวบุคคลว่าเจ้าหน้าที่คนใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดบ้าง เพราะจะต้องตรวจสอบให้แน่ชัดว่ามีการเรียกรับส่วยและส่งส่วยให้แก่ผู้ใดบ้าง
ในวันเดียวกัน นายศิวาวิทย์ สำเร็จผล ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากสถานฑูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า วานนี้ (8 มิ.ย.) ได้เบิกความพยานอีก 3 ปาก จนครบสิ้นสุดเป็นที่เรียบร้อย โดยพยานให้การต่อศาลว่ามิได้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย มิได้ทำงานเป็นลูกจ้างของร้านมานะชัยคาราโอเกะ มิได้เข้าไปมั่วสุมในสถานที่ค้าประเวณี และมิได้ค้าประเวณีตามที่ตำรวจกล่าวหาและพิมพ์บันทึกคำให้การหรือบังคับให้ผู้เสียหายชาวลาวทั้ง 11 คน พิมพ์มือและลงลายมือชื่อไว้ ซึ่งที่ผ่านมาโดยเฉพาะอย่างยิ่งพนักงานอัยการ ไม่ได้ฟ้องผู้เสียหายทั้ง 11 คน ว่า ค้าประเวณีในร้านมานะชัยคาราโอเกะแต่ประการใด
นายศิวาวิทย์ กล่าวอีกว่า การที่เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมและพนักงานสอบสวน บก.ปดส.ก่อนที่จะให้หญิงลาวทั้ง 11 คนลงลายมือชื่อและพิมพ์มือในบันทึกจับกุมและก่อนที่จะลงชื่อในบันทึกการสอบสวนผู้เสียหายทั้งหมด พนักงานตำรวจชุดจับกุมและพนักงานสอบสวนก็ไม่เคยแจ้งสิทธิ์ให้ทั้ง 11 คน ได้ทราบและการสอบสวนก็ไม่ได้มีการจัดล่ามให้รับฟังการสอบสวนแต่ประการใด
จากการที่ได้พบกับหญิงต่างด้าวชาวลาวทราบว่า ส่วนใหญ่ไม่สามารถฟังและเข้าใจภาษาไทยได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนไม่สามารถอ่านข้อความภาษาไทยได้เลย ดังนั้นจึงเห็นว่าชุดจับกุมและพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยมิชอบตั้งแต่ขั้นตอนแรก พนักงานอัยการจึงได้มีคำสั่งไม่ฟ้องหญิงชาวลาวบางคนดังที่ได้เสนอเป็นข่าวไปแล้ว
นายศิวาวิทย์ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังได้ขอคัดคำเบิกความของหญิงต่างด้าวชาวลาวทั้งหมดที่ได้นำคำให้การของตนเองตามที่บันทึกไว้ส่งต่อศาลโดยยืนยันว่า ไม่เต็มใจลงลายมือชื่อและพิมพ์มือในเอกสารบันทึกคำจับกุม บันทึกการสอบสวน และการสอบปากคำเพิ่มเติม ที่ตำรวจ กก.3 บก.ปดส.ได้ทำไว้ โดยขอยื่นบันทึกคำให้การของหญิงต่างด้าวทุกคน ที่ทนายความได้สอบไว้ต่อหน้าตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและผู้สื่อข่าว ซึ่งได้ยื่นเป็นหลักฐานสำคัญไว้ต่อศาลเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป
ทั้งนี้ หญิงชาวลาวที่ได้เบิกความพยานทั้ง 3 ปาก เมื่อวานนี้ ได้อ้างคำเบิกความที่ให้ไว้ต่อศาลเพิ่ม นำมาประกอบอุทรณ์ค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นต่อศาลอุทรณ์อีกด้วย
ส่วนกรณีที่ พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง ผกก.3 บก.ปดส. ได้ออกมาให้ข่าวว่า การเข้าแจ้งความดำเนินคดีดังกล่าวเป็นฝีมือพวกขบวนการค้ามนุษย์ที่ต้องการ ทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม เนื่องจากไม่สามารถวิ่งเต้นล้มคดีได้ หัวหน้าขบวนการเคยติดต่อมาขอเคลียร์คดี ไม่ให้ดำเนินคดีค้าประเวณี แต่พนักงานสอบสวนไม่เล่นด้วย จึงไม่พอใจจะสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อขัดขวางกระบวนการสอบสวน ซึ่งจะไม่ยอมแน่นอน ตลอดจนกล่าวว่า คนกลุ่มนี้จะแต่งตัวดีชอบอ้างว่ารู้จักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ตั้งแต่ตำรวจระดับสูง จนถึงระดับรองนายกรัฐมนตรี ตอนนี้พวกนี้ทำงานเป็นขบวนการ แต่ก็จะสู้ไม่ถอยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ นายศิวาวิทย์ เปิดเผยว่า ตนอยากให้ พ.ต.อ.ทินกร เปิดเผยมาเลยว่า ขบวนการดังกล่าวที่อยู่เบื้องหลังการค้ามนุษย์เป็นใคร เพราะตนไม่เข้าใจในความกำกวมไม่ครอบคลุม จึงอยากร้องขอให้ พ.ต.อ.ทินกร นำหลักฐานออกมาเปิดเผยเลย เพราะตั้งแต่มีคดีนี้เกิดขึ้นตนได้เดินทางไปเข้าพบ พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผบก.ปดส. เพียงครั้งเดียว เพื่อยื่นหนังสือขอทราบข้อเท็จจริงและขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับการที่ตำรวจ กก.3 บก.ปดส.จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมดในคดีนี้ โดย พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ก็ได้มอบหมายให้ พ.ต.อ.ธวัช ปิ่นประยงค์ ผกก.หน.สนง.ผบก.ปดส. และ พ.ต.ท.มนตรี เบ้าทอง พนักงานสอบสวน (สบ.3) บก.ปดส.เป็นผู้ประสานและพาให้ตนไปพบ พ.ต.อ.ทินกร เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 มี.ค.52 ซึ่งตอนนั้นตนแจ้งให้ พ.ต.อ.ทินกร ทราบว่า ขอให้ทำคดีนี้อย่างเป็นธรรมโดยขอให้รายงานต่อ พ.ต.อ.ธวัช และตนทราบด้วย ซึ่งตนก็ได้ทิ้งนามบัตรเอาไว้ให้ และมิเคยแสดงตนว่าเป็นทนายความแต่อย่างใด