กระทรวงยุติธรรมสรุปคดี ปดส.เอี่ยวเรียกรับส่วยสถานบริการใน จ.นครปฐม ปั้นพยานเท็จจับสาวลาวส่ง “พีระพันธุ์” หาทางช่วยเหลือเหยื่อ ทนายลาวเผยตำรวจไม่ให้ความร่วมมือทำคดี แฉซ้ำข่มขู่ 3 สาวลาวให้การเท็จกักขังตัวจนต้องหนีพึ่งญาติติดต่อสถานทูตช่วยเหลือ
จากกรณีที่สถานทูตลาวได้มอบอำนาจให้ทนายความพาเหยื่อสาวเข้าฟ้องตำรวจ กก.3 บก.ปดส.เกี่ยวพันกรณีเรียกรับส่วยสถานบริการใน จ.นครปฐม และกล่าวหาว่าปั้นพยานเท็จเพื่อจับกุมผู้ประกอบการร้านคาราโอเกะชาวไทย หลังเรียกเก็บเงินค่าคุ้มครองเดือนละ 5,000 บาท แล้วถูกแข็งข้อไม่ยอมจ่ายจนนำมาซึ่งการบุกเข้าจับกุมโดยมิชอบตามที่นำเสนอเป็นข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 7 มิ.ย.52 ดร.ศิวาวิทย์ สำเร็จผล ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากเลขานุการสถานทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้รับแจ้งจากท่านที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมว่าทางส่วนราชการกระทรวงยุติธรรมได้สรุปสำนวนคำร้องส่งรายงานให้นายพีระพันธุ์ สารีรัฐวิภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทราบแล้ว โดยผู้รับผิดชอบจะได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือเหยื่อสาวชาวลาวและผู้ต้องหาคดีนี้ให้ได้รับความเป็นธรรมต่อไป
ดร.ศิวาวิทย์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมานับตั้งแต่วันแรกที่เกิดคดีตนได้บอกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปดส.ดำเนินการให้เป็นธรรมที่สุด แต่ตำรวจก็ไม่ได้ดำเนินการสอบสวนผู้เสียหายชาวลาวอย่างถูกต้องและเป็นธรรมตามกฎหมาย เช่น การไม่แจ้งสิทธิให้ผู้ต้องหาทราบ ไม่มีการจัดเตรียมล่ามให้ผู้เสียหายชาวลาวที่ไม่สามารถเขียนอ่านข้อความภาษาไทยได้ทางพนักงานสอบสวนและชุดจับกุมจึงอาศัยเหตุนี้ให้ผู้ต้องหาทั้งหมดพิมพ์มือและลงชื่อในเอกสารตามที่พนักงานสอบสวนและชุดจับกุมจัดเตรียมไว้ประการเดียว ตนเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการสอบสวนโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ดร.ศิวาวิทย์ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้เหยื่อสาวชาวลาวต้องถูกฟ้องดำเนินคดีหลบหนีเข้าเมืองและอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต เข้าไปมั่วสุมในสถานที่ค้าประเวณี และทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งๆ ที่ทุกคนมีบัตรผ่านแดนชั่วคราวจากด่านช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี แต่ตำรวจชุดจับกุมได้ยึดไปหมดแล้วซึ่งทางเลขานุการสถานฑูตลาวได้มอบหมายให้ตนช่วยเหลือเหยื่อสาวที่ยังถูกกังตัวอยู่ใน กก.3 ศสส.สตม.ให้ได้รับอิสรภาพโดยด่วน ส่วน น.ส.เอ น.ส.บี และ น.ส.ซี (ทั้งหมดนามสมมุติ) ซึ่งถูกชุดจับกุมบังคับให้เป็นพยานเท็จ ขณะนี้ทางกระทรวงยุติธรรมประเทศลาวและองค์การให้ความร่วมมือระหว่างประเทศได้รับตัวและให้ความช่วยเหลือนำส่งกลับไปยังภูมิลำเนาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากมีพ่อของเหยื่อรายหนึ่ง เป็นตำรวจของประเทศลาว และเกรงว่าลูกสาวจะไม่ได้รับความปลอดภัย แต่ถ้าหากพนักงานอัยการมีความจำเป็นต้องสั่งฟ้องก็จะพาตัวทั้ง 3 คนมาเบิกความเป็นพยานให้แก่ผู้ต้องหาในคดีนี้ต่อไป
สำหรับข้อเท็จจริงที่ปรากฏเกี่ยวกับเหยื่อสาวชาวลาวทั้ง 3 คนที่ถูกบังคับให้เป็นพยานเท็จในคดีนี้ ดร.ศิวาวิทย์ กล่าวว่า เด็กสาวทั้ง 3 คนถูกบังคับให้พูดตามบันทึกจับกุมก่อนที่จะถูกแยกตัวไปส่งที่บ้านเกร็ดตระการ จ.นนทบุรี แต่ในระหว่างที่เดินทางไปส่งตัวนั้นเด็กก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ข่มขู่ พอไปถึงก็ถูกผู้ต้องกักชาวเขมรและชาวไทยที่ไปอยู่ก่อนหน้ากลั่นแกล้งรังแกเพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเท่าที่ควร แต่ถือว่ายังโชคดีที่มีเจ้าหน้าที่ของบ้านเกร็ดตระการคนหนึ่ง ซึ่งเด็กๆ เรียกว่า “แม่” ให้การช่วยเหลือ น.ส.เอ น.ส.บี และ น.ส.ซี พร้อมเพื่อนชาวลาวที่รู้จักกันในนั้นอีก 2 คน หลบหนีออกมาได้ในคืนวันที่ 3 เม.ย.52 เวลาประมาณ 02.00 น.
ดร.ศิวาวิทย์ กล่าวอีกว่า เด็กชาวลาวทั้ง 5 คนต้องหลบหนีว่ายน้ำข้ามคลองออกมาจนมีผู้พบเห็นก่อนช่วยเหลือนำตัวขึ้นจากน้ำไปพักที่ริมตลิ่งวัดแห่งหนึ่ง เพื่อกินมะม่วงประทังชีวิต รอจนกระทั่งรุ่งเช้าจึงตัดสินใจแยกย้ายกันไป โดย น.ส.เอ น.ส.บี และ น.ส.ซี ได้โบกรถแท็กซี่กลับมาหาญาติที่ จ.นครปฐม โดยกลับมาเอาเงินค่ารถจำนวน 600 บาท จากญาติแล้วรีบโทรศัพท์บอกให้พ่อแม่พี่น้องที่ประเทศลาวได้รับทราบ ก่อนที่ตนและนางเดือนเพ็ญ ผู้ประกอบการร้านมานะชัยคาราโอเกะจะพาตัวเด็กทั้ง 3 รายเข้าไปพบเจ้าหน้าที่สถานทูตลาวเพื่อขอความช่วยเหลือแล้วจึงพากันไปที่สภาทนายความให้เจ้าหน้าที่สอบข้อเท็จจริงไว้
“มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานทูตลาวท่านหนึ่งเคยปรารภให้ผมฟังว่า ที่ผ่านมามีเหยื่อสาวชาวลาวถูกตำรวจ บก.ปดส.จับกุมในลักษณะมิชอบอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ทางสถานทูตก็ได้ให้โอกาสไม่ติดใจเอาความ จนมาถึงคดีนี้ซึ่งพฤติการณ์การจับกุมของตำรวจ กก.3 บก.ปดส.ทำให้หญิงสาวชาวลาวเกิดความเสียหายจำนวนหลายราย จึงได้มอบหมายให้ผมเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย ตลอดจนนำเรื่องไปยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเหยื่อทุกคนอย่างรวดเร็วที่สุด” ดร.ศิวาวิทย์ กล่าว
