xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-21 พ.ย.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “สนธิ” แฉ ขบวนการลอบสังหาร เพิ่มขนาดใหญ่กว่าเดิม ด้าน “เสธ.แดง”พลิ้ว ไม่เกี่ยวระเบิดพันธมิตรฯ !
หลักฐานที่ยืนยันว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง เดินทางไปกัมพูชาเมื่อวันที่ 13 พ.ย.
หลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมใหญ่เพื่อแสดงพลังปกป้องสถาบันกษัตริย์ และรักษาเกียรติภูมิของชาติ เนื่องจากถูก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฯ ฮุน เซน กระทำย่ำยี เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ท้องสนามหลวง แต่ได้เกิดระเบิดขึ้นใกล้กับเวทีปราศรัย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 12 ราย สาหัส 3 ราย โดยผู้บาดเจ็บมีทั้งผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุนั้น ปรากฏว่า วันต่อมา(16 พ.ย.) พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำทีมเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าตรวจสอบจุดเกิดเหตุ หลังตรวจสอบ พล.ต.ท.วรพงษ์ บอกว่า เบื้องต้นพบว่าเป็นระเบิดชนิดเอ็ม 79 โดยการยิงเป็นแบบวิถีโค้ง ทำมุม 50 องศา และว่า จุดที่คนร้ายยิงระเบิดน่าจะมาจากบริเวณด้านหลังคลองหลอด ละแวกศาลเด็กเยาวชนและครอบครัวกลาง หรือซอยศาลหลักเมือง ไม่น่าจะผิดเพี้ยนจากนี้มากนัก ส่วนสาเหตุคาดว่ามาจากประเด็นการเมือง แต่ไม่ได้มุ่งหวังจะทำอันตรายให้ถึงชีวิต และยังระบุไม่ได้ว่าคนร้ายเป็นกลุ่มใด

ต่อมา พล.ต.ท.วรพงษ์ ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนที่ทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อสรุปผลการปฏิบัติงาน โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ได้ตำหนิการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เพราะได้รับแผนและซ้อมอย่างดีแล้ว แต่กลับไม่ปฏิบัติตาม ทั้งในแง่การวางกำลังหาข่าวและเฝ้าระวังเหตุ ที่ไม่มีการกระจายกำลัง ไม่ใช้วิทยุสื่อสารติดต่อกัน แต่ใช้โทรศัพท์มือถือสั่งการ รวมทั้งไม่มีการนำรถสายตรวจไปจอดเฝ้าระวังตามจุดต่างๆ ตามคำสั่ง “หรือเห็นว่าผมจะไปเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.แล้ว จึงไม่สนใจฟังคำสั่ง หากทำตามคำสั่งเชื่อว่าจะต้องจับคนร้ายได้ทันที แต่กลับกลายเป็นว่า จุดเกิดเหตุไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่เลย จะสั่งการอะไรก็ไม่ได้ มัวแต่ไปอาบอบนวดกันอยู่หรืออย่างไร”

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ที่สนามหลวง ปรากฏว่า มีหลายคนเกิดอาการร้อนตัว รีบออกมาปฏิเสธว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดดังกล่าว โดย พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย และอดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน บอกว่า ครั้งนี้ไม่ได้ทำ ถ้าทำจะบอก และว่า ไม่ว่าใครไปทำอะไรก็มีชื่อตนเข้าไปเกี่ยวข้องตลอด แต่เมื่อคืนวันที่ 15 พ.ย. ได้ร่วมรับประทานอาหารกับ พล.ต.ต.มณเฑียร ประทีปะวณิช สมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 (ตท.10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ) พล.อ.พัลลภ ยังบอกด้วยว่า คงหาคนก่อเหตุยาก ขนาดคดียิงนายสนธิกลางถนนยังหาคนยิงไม่ได้เลย

ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี รีบทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ประณามผู้ก่อเหตุ “ทราบเหตุระเบิดที่หลังเวทีพันธมิตรฯ มีคนบาดเจ็บ ผมขอประณามผู้ที่เกี่ยวข้องกับการวางระเบิด ทั้งผู้ลงมือและผู้สั่งการ คนไทยด้วยกัน อย่าทำร้ายกันเลย”

ด้าน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เป็น 1 ในผู้ที่ถูกมองว่าอาจเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 15 พ.ย. เพราะได้ออกมาเตือนกลุ่มพันธมิตรฯ ทางเว็บไซต์ของตนเมื่อวันที่ 11 พ.ย.ว่า “ขอเตือนว่า การชุมนุมวันที่ 15 พ.ย. อย่านำผู้หญิง เด็ก และคนแก่มาร่วมชุมนุม ขอให้มาเฉพาะพวกสีเหลืองและนักรบศรีวิชัย ตอนนี้ทราบว่า มีกองกำลังไม่ทราบฝ่าย กำลังจ้องเล่นงานกลุ่มพันธมิตรฯ อยู่ จึงขอเตือนด้วยความหวังดี หากเกิดอะไรขึ้นจะไม่รับผิดชอบ” จากนั้น 2 วันต่อมา(13 พ.ย.) เสธ.แดงก็เดินทางไปกัมพูชาโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กระทั่งเกิดเหตุยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ในคืนวันที่ 15 พ.ย. ซึ่งวันต่อมา(16 พ.ย.) เสธ.แดงก็พูดถึงเหตุระเบิดดังกล่าวอีกว่า “เตือนแล้วว่า อย่าเอาคนแก่กับเด็กมา ก็ไม่เชื่อ เพราะนายสนธิเป็นตัวดูดอาวุธสงคราม และหลังจากนี้นายสนธิคงไม่ต้องทำอะไร เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปทำอะไร จะโดนอย่างนี้ตลอด และอยากบอกว่า กลุ่มที่ยิงระเบิดเอ็ม 79 เป็นคนละกลุ่มกับคนที่ยิงนายสนธิที่แยกบางขุนพรหม และเป็นคนละกลุ่มกับที่ยิงศาลรัฐธรรมนูญ หรือทำเนียบรัฐบาล” เสธ.แดง ยังบอกด้วยว่า หลังโดนระเบิดลูกแรก หากพันธมิตรฯ ไม่เลิกชุมนุม ระเบิดลูกที่สองอาจลงที่กลางเวทีได้

ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลง(17 พ.ย.) เรียกร้องให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เอาผิด เสธ.แดง และให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนทั้งทางวินัยและอาญา เพราะนอกจาก เสธ.แดง จะออกมาพูดเหมือนรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุระเบิดในการชุมนุมของพันธมิตรฯ แล้ว เสธ.แดงยังได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่กัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชา และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายข้ามแดน เพราะไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง “ผบ.ทบ.ต้องเข้มแข็ง ต้องไม่อะลุ้มอล่วยกับข้าราชการที่วิปริต มีพฤติกรรมไม่ปกติ หรือที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าติงต๊อง จะปล่อยให้ทหารที่ไร้ระเบียบวินัย ปฏิบัติหน้าที่รับราชการอยู่ได้อย่างไร”

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พูดถึงกรณีที่ เสธ.แดงถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่กลุ่มพันธมิตรฯ ว่า เรื่องนี้ พล.ต.ขัตติยะพูดออกมาเอง และมันก็เกิดเหตุการณ์ ฉะนั้นควรให้ความร่วมมือกับบ้านเมือง แม้ พล.ต.ขัตติยะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งใดที่พูดออกไป ย่อมบ่งบอกว่ามีข้อมูลและควรให้ความร่วมมือ หากไม่ให้ความร่วมมือ ก็จะแสดงถึงเจตนา

ด้าน เสธ.แดง ได้ออกมายืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดกลุ่มพันธมิตรฯ พร้อมอ้างว่า ที่ตนทำนายว่าอาจมีเหตุระเบิดในการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ นั้น ได้โพสต์ลงในเว็บไซต์ของตนหลังเกิดเหตุแล้ว ทั้งนี้ คำอ้างของ เสธ.แดง เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง เพราะ เสธ.แดงได้โพสต์ข้อความเตือนเชิงข่มขู่เรื่องระเบิดตั้งแต่วันที่ 11 พ.ย. ก่อนหน้าวันที่พันธมิตรฯ จะชุมนุมถึง 4 วัน ซึ่งสื่อมวลชนหลายสำนักก็ได้นำเสนอคำพูดของ เสธ.แดงตรงกัน เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจาก เสธ.แดงจะโกหกเรื่องวันที่โพสต์ข้อความเตือนเรื่องระเบิดกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว เสธ.แดงยังโกหกว่าไม่ได้เดินทางไปกัมพูชาเพื่อพบ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย ทั้งที่มีภาพถ่ายปรากฏทางสื่อหลายภาพขณะที่ เสธ.แดงจับมือและถ่ายภาพร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชา โดย เสธ.แดงเป็นผู้ที่เผยเรื่องนี้เองเมื่อวันที่ 16 พ.ย.ว่า ตนเดินทางไปกัมพูชาโดยไม่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเมื่อวันที่ 13 พ.ย. ได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณที่เมืองเสียมราฐ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามากอด แล้วพาไปแนะนำกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ว่า “คนนี้เคยรบกับยูที่ตาพระยาและช่องบก” สมเด็จฯ ฮุน เซน ก็จับมือ พร้อมพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า “ไอซอว์ยูเมนิไทม์” หลังทักทายกันแล้วก็ถ่ายรูปเอาไว้... แต่เมื่อมีข่าวว่า กองทัพกำลังสอบว่า เสธ.แดงเดินทางออกนอกประเทศจริงหรือไม่ เพราะไม่ได้ขออนุญาตจากรัฐมนตรีกลาโหมตามระเบียบกระทรวงกลาโหม เสธ.แดงกลับพลิกลิ้นโดยอ้างว่า คนที่ไปพบและถ่ายรูปกับ พ.ต.ท.ทักษิณอาจเป็น “เสธ.แดง 2”ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายตน

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล ว่าที่หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่(ก.ม.ม.) ได้ออกมาเผยระหว่างร่วมทำบุญที่ทำการพรรคการเมืองใหม่(20 พ.ย.)ว่า ขณะนี้มีการสมคบคิดกันของหลายฝ่าย รวมถึงผู้มีอำนาจรัฐร่วมกันจัดขบวนการล่าสังหารขึ้นมา ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเก่า เพื่อมุ่งเอาชีวิตตน โดยเหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่การชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. ก็เป็นฝีมือของขบวนการล่าสังหารกลุ่มนี้ และว่า ระบบเก่า ซึ่งประกอบด้วย นักการเมือง กลุ่มทุน และทหาร มองพรรคการเมืองใหม่และกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการแสวงหาผลประโยชน์ และเป็นอันตรายต่อระบบเก่า จึงทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้ง แต่ยืนยันว่าไม่หวั่นไหวต่อคำขู่ใดใด “ผมได้ข่าวจากหลายแหล่งตรงกัน ไม่ใช่แหล่งเดียว เพราะการจัดทีมที่มันใหญ่ขนาดนี้ ความลับไม่มีอยู่ในโลก เมื่อมันหลุดออกมาแล้ว ผมก็ได้แต่ขำกับตัวเองว่า ไอ้พวกบ้านี่มองว่าถ้าฆ่าสนธิแล้วนี่ มันจะได้โกงกินกันได้ง่ายขึ้น”

2. “ทักษิณ” ตีกินกรณีเขมรจับวิศวกรไทย ด้าน “จตุพร” ปากพล่อย กุเรื่องกัมพูชามีเทปลับ “กษิต”!

ภาพถ่ายนางสิมารักษ์ ณ นครพนม กับนายศิวรักษ์ โชติพงษ์ บุตรชาย(เสื้อน้ำเงิน)ที่ถูกกัมพูชาจับกุม
สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา หลังสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกฯ กัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา พร้อมยืนยัน จะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการเมือง ส่งผลให้รัฐบาลไทยตอบโต้ด้วยการเรียกเอกอัครราชทูตไทยในกัมพูชากลับประเทศ ขณะที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ก็เรียกทูตกัมพูชาในไทยกลับประเทศเช่นกัน ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางเข้ากัมพูชาเมื่อวันที่ 10 พ.ย.เพื่อรับตำแหน่งที่ปรึกษาฯ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่รัฐบาลไทยเห็นควรให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจ(เอ็มโอยู) ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อน ฉบับวันที่ 18 มิ.ย.2544 ซึ่งทำในสมัยรัฐบาลทักษิณ โดยเตรียมเสนอให้สภาเห็นชอบอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ขัด รธน.มาตรา 190 ทั้งนี้ เมื่อไทยทำหนังสือขอให้กัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน แต่ทางการกัมพูชาก็รีบส่งหนังสือตอบปฏิเสธในทันที ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์เรียกประชุมฝ่ายความมั่นคง(12 พ.ย.) พร้อมมอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนการให้เงินกู้แก่กัมพูชาในโครงการก่อสร้างถนนหมายเลข 68 ช่องจอม จ.สุรินทร์-กัมพูชา มูลค่ากว่า 1 พันล้านบาท เป็นที่น่าสังเกตว่า ในวันเดียวกัน ทางการกัมพูชาได้ขับเลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยในกัมพูชาออกนอกประเทศภายใน 48 ชม. ซึ่งไทยก็ตอบโต้กลับด้วยวิธีเดียวกัน ไม่แค่นั้น กัมพูชายังได้จับกุมนายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกรชาวไทยของหน่วยจราจรทางอากาศ(แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือ CATS) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่น ที่จัดการเที่ยวบินภายในกัมพูชา โดยกัมพูชากล่าวหาว่านายศิวรักษ์จารกรรมข้อมูลด้วยการขโมยตารางกำหนดการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ไทยประสานทางการกัมพูชาเพื่อขอเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ แต่ก็ได้รับการปฏิเสธโดยอ้างว่าติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์นั้น

ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 พ.ย. ซึ่งเป็นวันจันทร์ ทางการกัมพูชาก็ยังคงบ่ายเบี่ยงไม่ให้เจ้าหน้าที่ไทยเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ บอกว่า ทางกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศได้โทรศัพท์หามารดาของนายศิวรักษ์แล้ว บอกว่าจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ และว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ได้กำชับว่า วันที่ 16 พ.ย.จะต้องพบกับนายศิวรักษ์ให้ได้ หากกัมพูชาจะกีดกัน ก็ต้องมีเหตุผลชี้แจง หากฟังไม่ขึ้น ก็ต้องพิจารณามาตรการดำเนินการต่อไป ขณะนี้เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา และข้อกล่าวหาเรื่องจารกรรมข้อมูลก็ไม่เป็นความจริง

ด้านนางสิมารักษ์ ณ นครพนม ครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกพาณิชย์การ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา มารดาของนายศิวรักษ์ ได้ออกมาวิงวอนให้รัฐบาลหรือผู้เกี่ยวข้องช่วยนำลูกชายกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด พร้อมเผย ลูกชายเป็นโรคภูมิแพ้เรื้อรังและปัญหาระบบทางเดินหายใจ หายใจขาดช่วง เป็นโรคประจำตัวโรคเดียวกับบิดาที่เสียชีวิตไปแล้ว

ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า สถานทูตไทยในกัมพูชาได้พยายามประสานทางการกัมพูชาเพื่อขอเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต และว่า ตนได้แสดงเจตจำนงไปยังกระทรวงต่างประเทศกัมพูชาว่าต้องการโทรศัพท์สายตรงถึงนายฮอ นัม ฮง รองนายกฯ และรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ระหว่างเดินทางไปอิตาลี โดยหวังว่าจะได้มีโอกาสพูดคุยเรื่องนี้

ด้านนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ พูดถึงกรณีที่กัมพูชาจับกุมนายศิวรักษ์ วิศวกรไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยากให้กัมพูชาปฏิบัติกับวิศวกรไทยรายนี้ด้วยความเป็นธรรม และว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีอำนาจและไม่สามารถแทรกแซงให้กัมพูชาปล่อยตัวนายศิวรักษ์ได้ แต่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมให้การช่วยเหลือ หากรัฐบาลไทยโทรศัพท์ไปปรึกษา

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง บอกว่า จะไปร้องขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณที่หนีคดีซุกหุ้นอยู่ให้มาช่วยเหลือคงเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็คงไม่ใช้บริการ ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต เตรียมแต่งตัวรอเป็นพระเอกเพื่อเข้าไปไกล่เกลี่ยคดีนี้ ก็ให้ทั้งสองคนแต่งตัวรอต่อไป นายสุเทพ ยังบอกด้วยว่า อยากส่งผ่านไปยังสมเด็จฯ ฮุน เซนว่า แม้รัฐบาลจะทะเลาะกัน ผิดใจกัน ก็ไม่เป็นไร ขออย่าให้มาลงที่ประชาชน

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เผย(17 พ.ย.)ว่า ตนได้คุยโทรศัพท์กับแม่ของนายศิวรักษ์แล้ว สุ้มเสียงปกติ กำลังใจดี สุขภาพดี และว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทูตไทยสามารถเข้าเยี่ยมเพื่อมอบของใช้และยาให้นายศิวรักษ์แล้ว อยู่ระหว่างประสานเรื่องข้อกฎหมายเพื่อส่งทนายความเข้าไป

ด้านนายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศ และรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า อุปทูตไทยและเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในกรุงพนมเปญอีก 2 คน ได้เข้าพบนายศิวรักษ์ที่เรือนจำเพรยซอแล้วเป็นเวลา 30 นาที และขออนุญาตให้นายศิวรักษ์ได้โทรศัพท์หามารดา โดยได้คุยเป็นเวลาสั้นๆ นายธานี บอกด้วยว่า นายศิวรักษ์มีขวัญกำลังใจดี และได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนกัมพูชาทุกประเด็น และว่า กระทรวงฯ ได้แนะนำทนายความให้แล้ว ส่วนการยื่นขอประกันตัวคงสามารถทำได้ แต่จะได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลกัมพูชา นายธานี เผยถึงความคืบหน้ากรณีนายศิวรักษ์อีกครั้งในวันต่อมา(18 พ.ย.)ว่า สถานทูตไทยในกรุงพนมเปญได้ยื่นเรื่องขอเข้าพบนายศิวรักษ์อีกครั้งแล้ว หากได้วันที่แน่นอน จะพามารดานายศิวรักษ์ไปเยี่ยมลูกด้วย

ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์(18 พ.ย.)ถึงกรณีที่แฟนคลับเรียกร้องให้ช่วยเหลือนายศิวรักษ์ว่า “ได้ประสานไปแล้วครับ เขาขอสอบสวนก่อนโดยจะให้ความเป็นธรรมครับ”

ขณะที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดแถลงกรณีที่มารดานายศิวรักษ์ขอร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณช่วยเหลือบุตรชายว่า พ.ต.ท.ทักษิณรับทราบและยินดีช่วยด้วยมนุษยธรรมอย่างเต็มที่ และได้โทรศัพท์ติดต่อกับผู้ใหญ่ระดับสูงของกัมพูชาแล้ว แต่คงไม่สามารถแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมกัมพูชาได้ เบื้องต้นสันนิษฐานว่านายศิวรักษ์เป็นผู้บริสุทธิ์ แต่หากมีการพิสูจน์ว่ามีการกระทำผิดตามกฎหมายประเทศกัมพูชา ก็หวังว่าจะได้รับเมตตาธรรมจากทางการกัมพูชา “ได้แจ้งขั้นตอนการช่วยเหลือให้มารดาของนายศิวรักษ์เรียบร้อยแล้ว และยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณพร้อมจะช่วยเหลือคนไทยในยามที่รัฐบาลไร้ประสิทธิภาพช่วยเหลือคนไทย”

ด้านนางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ ก็ได้ออกมาขอบคุณ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นการใหญ่ “ทราบว่าลูกชายไม่เป็นไร ทางกัมพูชาดูแลอย่างดี รู้สึกสบายใจขึ้นมาก ตนและครอบครัวต้องกราบขอบพระคุณ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นอย่างมาก ที่ประสานให้ทางกัมพูชาปล่อยตัวลูกชาย จะไม่ลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่าน หลังจากลูกชายปลอดภัยกลับมาบ้านแล้ว ถ้ามีโอกาสจะไปกราบขอบพระคุณท่านพร้อมครอบครัวทุกคน”

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้เปิดแถลง(18 พ.ย.) โดยอ้างว่า เหตุที่กัมพูชาจับกุมนายศิวรักษ์นั้น เป็นเพราะประเทศไทยไปกระทำการเข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในและกระทบต่อความมั่นคงของกัมพูชา และว่า กัมพูชามีหลักฐานเทปบันทึกการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศกับเลขานุการเอก สถานทูตไทยในกัมพูชา และเทปการสนทนาระหว่างเลขานุการเอกกับนายศิวรักษ์ เรื่องสั่งให้หาตารางบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ นายจตุพร ยังอ้างด้วยว่า ทางการกัมพูชาเตรียมจะเปิดเผยเทปลับดังกล่าวในเร็วๆ นี้

อย่างไรก็ตาม พล.อ.เตีย บัน รองนายกฯ และรัฐมนตรีกลาโหมของกัมพูชา ได้ออกมาปฏิเสธ(20 พ.ย.)ว่า ทางการกัมพูชาไม่มีเทปลับเสียงนายกษิตและเลขานุการเอกตามที่นายจตุพรอ้าง พร้อมยืนยัน ทางการกัมพูชาไม่เคยมีการดักฟังโทรศัพท์สถานทูตไทยในกัมพูชา “ผมคิดว่า คนที่ออกมาพูดครั้งนี้มีเจตนาไม่หวังดี เพียงต้องการพูดให้ออกรสชาติ ความมัน และอาจจะมีนัยแอบแฝงเพื่อเชื่อมโยงไปถึงการปลุกกระแสให้เกิดสงครามของทั้ง 2 ชาติ และโยนบาปให้กัมพูชารับผิด”

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงกรณีที่ พล.อ.เตีย บัน ออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการดักฟังโทรศัพท์ของนายกษิตว่า “ตนเชื่อ พล.อ.เตีย บัน และขอบคุณรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่ดักฟังโทรศัพท์หรือการสื่อสารของเจ้าหน้าที่ไทย สถานทูตไทย เพราะถ้าทำเช่นนั้น กัมพูชาก็จะเสียหาย มิตรประเทศก็จะระแวง ถือเป็นการผิดมารยาททางการทูตระหว่างประเทศ แต่เข้าใจว่าพรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง บริวาร พ.ต.ท.ทักษิณคุ้นเคยกับวิธีการดักฟังโทรศัพท์ที่ทำอยู่ในประเทศไทย”

3. “นปช.” นัดชุมนุมใหญ่ไล่รัฐบาล 28 พ.ย.นี้ ขณะที่ “แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่”ประกาศเอาชีวิต “อภิสิทธิ์”!

นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน แกนนำเสื้อแดงจาก จ.นครศรีธรรมราช ประกาศเอาชีวิตนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ
เมื่อวันที่ 19 พ.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงหลังประชุมแกนนำ นปช.ว่า ที่ประชุมมีมติชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 พ.ย.นี้ เวลา 12.00น.ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการเลื่อนการชุมนุมเร็วขึ้น 1 วัน จากเดิมกำหนดวันที่ 29 พ.ย. เนื่องจากต้องหลีกทางให้กับการซ้อมใหญ่สวนสนามในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา

นายณัฐวุฒิ บอกอีกว่า คนเสื้อแดงจะค้างคืนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย 1 คืน จากนั้นวันที่ 29 พ.ย. เมื่อการซ้อมใหญ่พิธีสวนสนามเสร็จ จะเคลื่อนขบวนไปยังแยกมิสกวัน เพื่อตั้งเวทีกลางและปักหลักชุมนุมต่อเนื่องไปถึงเช้าวันที่ 30 พ.ย. “ในวันที่ 30 พ.ย.จะรวมพลแดงทั้งแผ่นดิน ตั้งเป้าให้ได้ 1 ล้านคน เพื่อตั้งแถวเดินขบวนขับไล่รัฐบาลตามถนนสำคัญใน กทม.และเป็นการเดินขบวนขับไล่รัฐบาลครั้งใหญ่และมากที่สุดตั้งแต่เคยมีมาในประเทศและในโลกก็เป็นได้ เราจะเดินขบวนให้แดงเต็มทั้ง กทม.ในช่วงกลางวัน เพื่อให้รัฐบาลยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน และจะบอกให้ทราบอีกครั้งว่าจะเดินไปที่ไหนบ้าง” และว่า เมื่อเดินเสร็จเรียบร้อย จะกลับไปยังแยกมิสกวัน โดยจะชุมนุมต่อเนื่องไปจนถึงเช้ามืดวันที่ 2 ธ.ค. แล้วจะยุติชุมนุมโดยสงบ เพื่อหลีกทางให้กับพระราชพิธีสวนสนามและวันเฉลิมพระชนมพรรษา หากในช่วงเวลาดังกล่าว รัฐบาลไม่ตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชน เราจะกลับมาชุมนุมอีกครั้งและจะยาวนานกว่าเดิม โดยจะต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ

ด้าน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 5 คน ประกอบด้วย นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.กทม. ,นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. ,นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.สัดส่วน ,นายสัญชัย อินทรสูตร ส.ส.สัดส่วน และนางพจนารถ แก้วผลึก ส.ส.ชลบุรี ได้เปิดแถลง(19 พ.ย.) เรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ,ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ,อัยการ และศาล ถอนการประกันตัวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในเหตุการณ์เมษาเลือด เนื่องจากนายจตุพรประกาศจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 28 พ.ย. และจะขับไล่รัฐบาล ส่อให้เห็นว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น และเป็นการขัดต่อคำสั่งศาลที่ห้ามไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง

ทั้งนี้ นายบุญยอด บอกด้วยว่า นายจตุพรเป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง แต่นายจตุพรไม่เคยเข้าร่วมประชุมกรรมาธิการเลย ดังนั้นในสัปดาห์หน้า ตนในฐานะเลขานุการกรรมาธิการ จะเสนอให้ที่ประชุมปลดนายจตุพรออกจากกรรมาธิการ นายบุญยอด ยังเรียกร้องให้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ลาออกจากรองประธานสภา เพราะพูดพาดพิงสถาบัน โดยนำไปเปรียบกับราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียที่ถูกโค่นล้ม ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะราชวงศ์จักรีไม่สามารถนำไปเปรียบกับราชวงศ์ใดใดในโลก เพราะมีพระราชกรณียกิจมากมาย นอกจากนี้ พ.อ.อภิวันท์ยังถูกหมายเรียกจากเหตุการณ์เมื่อเดือน เม.ย. แต่ติดอยู่ในช่วงสมัยประชุมจึงมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง แต่เมื่อหมดสมัยประชุม หาก พ.อ.อภิวันท์เป็นลูกผู้ชายจริง ก็ควรจะไปมอบตัว

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงกรณีที่แกนนำเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลในวันที่ 28 พ.ย.นี้ โดยจะเคลื่อนขบวนไปตามถนนสายต่างๆ ใน กทม.ว่า ประเมินและติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด หากจำเป็นก็ต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ พร้อมยืนยัน จะไม่ส่งผลกระทบต่อการจัดกิจกรรมเฉลิมฉลอง

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บอกว่า การประชุม ครม.วันที่ 24 พ.ย.นี้จะมีความชัดเจนว่า จะประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ หรือไม่ โดยต้องประเมินสถานการณ์และทำงานด้านการข่าวพอสมควรถึงแนวทางการเคลื่อนไหว และว่า ถ้าการเคลื่อนไหวทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คงยอมไม่ได้

ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า คนเสื้อแดงจะเริ่มชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 28 พ.ย. และจะไปเลิกในช่วงเช้าของวันที่ 2 ธ.ค. พร้อมย้ำ ไม่ว่าคนเสื้อแดงจะเดินไปจุดใด จะไม่มีการไปในสถานที่ราชการ สถานที่ส่วนบุคคล หรือเอกชนใดใด จะอยู่เพียงแค่ภายนอก และไปจุดใดก็จะไปพร้อมกันทั้งหมด “วันที่ 29 พ.ย.จะเดินทางไปบริเวณทำเนียบรัฐบาล แต่จะตั้งเวทีที่แยกมิสกวัน ส่วนรัฐบาลจะประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ หรือประกาศกฎอัยการศึกก็แล้วแต่ แต่พวกผมจะไปตามปกติ”

ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ใน กทม.เพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.แล้ว แกนนำคนเสื้อแดงที่ จ.เชียงใหม่ยังได้ประกาศจะเอาชีวิตนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย โดยนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน แกนนำคนเสื้อแดงจาก จ.นครศรีธรรมราช ได้สนทนาระหว่างจัดรายการ “สภากาแฟ”ทางวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 92.5 ที่ จ.เชียงใหม่เมื่อวันที่ 19 พ.ย. ซึ่งนายเพชรวรรต พูดขึ้นมาตอนหนึ่งว่า ระหว่างวันที่ 27-29 พ.ย.นี้ ที่นายอภิสิทธิ์จะเดินทางมาร่วมการประชุมประจำปีหอการค้าทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ คนเสื้อแดงได้ประสานงานกันว่าจะไม่เดินทางเข้า กทม. แต่จะระดมมวลชน 8 จังหวัดมาที่เชียงใหม่ และรอบนี้จะไม่ใช่การขับไล่ แต่จะเป็นการเอาชีวิตกันเท่านั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นายเพชรวรรตก็ได้ส่งสัญญาณลอบสังหารนายอภิสิทธิ์มาครั้งหนึ่งแล้วผ่านรายการวิทยุชุมชนดังกล่าว โดยบอกว่า ตนทราบมาว่ามีคนเตรียมจะเอาชีวิตนายอภิสิทธิ์ด้วยการระเบิดคาร์บอมบ์ และตนขอประกาศว่าไม่เกี่ยวข้อง

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยัน(20 พ.ย.)ว่า ขณะนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงกำหนดในการเดินทางไปเชียงใหม่ และว่า ข่าวทำนองนี้มีมาเป็นระยะๆ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องเป็นราวมากขึ้น และการข่มขู่ผ่านวิทยุชุมชนถือว่าผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้เรียก พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เข้าหารือ หลังการหารือ พล.ต.อ.ธานี เผยว่า นายกฯ มอบหมายให้ดูแลเรื่องการรักษาความปลอดภัยในการเดินทางไปต่างจังหวัดของนายกฯ ด้วย

ด้านนายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. ในฐานะรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าร้องทุกข์ต่อตำรวจกองปราบปรามให้ดำเนินคดีนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำคนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ ผู้ดำเนินรายการสภากาแฟ ทางวิทยุชุมชนเอฟเอ็ม 92.5 จ.เชียงใหม่ พร้อมทั้งผู้ดำเนินรายการร่วม ทั้งนี้ นายบุญยอดได้นำแผ่นซีดีบันทึกคลิปเสียงการจัดรายการดังกล่าวมอบให้เจ้าหน้าที่เพื่อเป็นหลักฐานด้วย

4. “เพื่อไทย” เล็งฟื้นคดียุบ ทรท. อ้างพยานกลับคำให้การ ด้าน “ปชป.” ซัด สร้างหลักฐานเท็จ ระวังย้อนกลับมัดคอตัวเอง!
พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ผู้ที่นำพยานในคดียุบพรรค ทรท.มาแถลงโดยอ้างว่าสำนึกผิด จึงกลับคำให้การ
เมื่อวันที่ 16 พ.ย. พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้นำพยานในคดียุบพรรคไทยรักไทย 2 คน คือ นายสุขสันต์ ชัยเทศ และนายชวการ โตสวัสดิ์ ที่อ้างว่าสำนึกผิดจากที่เคยเป็นพยานยืนยันว่า พรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย จ้างวานให้ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อให้พรรคไทยรักไทยมีคู่แข่ง จะได้เลี่ยงเกณฑ์ 20% มาแถลงโดยยืนยันว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) จ้างวานให้กล่าวหา พล.อ.ธรรมรักษ์ว่าทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง จนนำไปสู่การยุบพรรคไทยรักไทย ส่วนสาเหตุที่พยานทั้งสองต้องออกมากลับคำให้การ อ้างว่าเพราะสำนึกผิดและไม่พอใจที่นายสุเทพปล่อยให้ต่อสู้คดีตามลำพัง ทั้งที่รับปากแล้วว่าจะช่วย

ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า การที่ พล.อ.พัลลภนำพยานที่อ้างว่าสำนึกผิดมาแถลง ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นธาตุแท้ของคนในพรรคไทยรักไทย หรือพรรคเพื่อไทยที่ตลบตะแลง บิดเบือน สร้างหลักฐานเท็จมาโดยตลอด และว่า เรื่องนี้ใช้เวลาตั้ง 3 ปี สุมหัวกันคิดได้แค่นี้ นายสุเทพ บอกด้วยว่า “ขณะนี้ได้มอบให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณาและจะดำเนินการตามกฎหมาย เรื่องที่เกิดขึ้น ผมไม่กังวลใจ ชีวิตผมทางการเมือง ทุกคนรู้ดีว่าไม่เคยหักหลังใคร ไม่เหมือนกับพวกเขาที่กำลังประพฤติกันอยู่ เคยประกาศต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณแบบเอาเป็นเอาตาย เผลอแป๊บเดียวไปเป็นบริวารรับใช้” นายสุเทพ ยังเชื่อด้วยว่า การนำพยานออกมาแถลงของ พล.อ.พัลลภ จะไม่เป็นเหตุผลให้กลับมายุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่หลักฐานอาจจะย้อนกลับไปมัดคอคนที่แถลงเอง

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย รีบออกมาส่งสัญญาณว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่เป็นผู้ยื่นเรื่องให้รื้อฟื้นคดียุบพรรคไทยรักไทย(ทรท.) เพราะเป็นหน้าที่ของมูลนิธิ 111 ทรท.ที่เป็นผู้เสียหายโดยตรง ผู้สื่อข่าวถามว่า ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องให้นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงเองว่าเป็นผู้นำพยานมาเอง นายพร้อมพงศ์ บอกว่า พรรคเพื่อไทยไม่หลงกลการเมืองน้ำเน่าของพรรคประชาธิปัตย์ที่หวังจะย้อนศรเพื่อยุบพรรคเพื่อไทย

ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ได้ออกมาส่งสัญญาณว่า คดียุบพรรคจบไปแล้ว เนื่องจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่เกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง ไม่ได้เขียนว่า หากมีหลักฐานใหม่สามารถรื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ ดังนั้น จึงถือว่าคดีจบแล้ว ไม่เหมือนคดีอาญา ที่หากมีหลักฐานใหม่สามารถนำมาพิสูจน์ได้ นายประพันธ์ ยังบอกด้วยว่า “หากมีการยื่นเรื่องร้องเข้ามาให้ กกต.สอบ ก็คงไม่รับพิจารณาแล้ว เพราะถือว่าเรื่องนี้ได้ผ่านพ้นจนเป็นที่ยุติและได้ผลทางคดีออกมาแล้ว หากจะมีการต่อสู้หรือดำเนินคดีกัน ก็ต้องไปว่ากันในศาล ซึ่งเป็นคดีอาญาที่ กกต.กำลังดำเนินคดีอาญากับ พล.อ.ธรรมรักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย”
กำลังโหลดความคิดเห็น