“พล.ท.นันทเดช” กุมขมับ รบ.ทุ่มงบฯ ลงใต้ แก้ปัญหาปลายเหตุ ชี้หากยังไม่สงบ อย่าฝันพัฒนาภาคใต้ แนะรัฐทำตัวเป็นที่พึ่งของ ปชช. ฟื้น ศอ.บต.ทุกอย่างจะดีขึ้น เตือนหากนิ่งเฉย อาจรุนแรงเทียบเท่า ผู้ก่อการร้ายสากล ด้าน “ผศ.วรวิทย์” มั่นใจชาวใต้ ต้องการความสงบ แนะรบ.คืนความยุติธรรม ออก กม.รองรับความเป็นอัตลักษณ์ ยันยกเลิกกฎอัยการศึก ไม่ช่วยภาคใต้สงบ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “คนในข่าว”
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 3 ตุลาคม 2552 โดยมีนายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจาก พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ และผศ.วรวิทย์ บารู สมาชิกวุฒิสภา จ.ปัตตานี มาร่วมวิเคราะห์กรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เสนอตั้ง นครรัฐปัตตานี มีผลกระทบอย่างไร และจะช่วยแก้ปัญหาภาคใต้ได้หรือไม่
พล.ท.นันทเดช กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เสนอให้ตั้งรัฐปัตตานี ว่า เรื่องนี้หากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสภาพปกติ ไม่มีปัญหาความรุนแรงมาก่อน การนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด จะเป็นประเด็นที่ดีมาก แต่ในเมื่อความเป็นจริงความรุนแรงได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าต้นเหตุเกิดจาก พรรคไทยรักไทย ดังนั้นเมื่อ พล.อ.ชวลิต เข้าไปอยู่ในพรรคไทยรักไทย แล้วหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า พยายามก่อให้เกิด นัยยะทางการเมือง มุ่งหวังให้พรรคที่ตัวเองสังกัดอยู่ได้เปรียบ เพราะหากดูกระแสข่าวการเรียกร้องให้ตั้งรัฐปัตตานี ไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่เลย แท้จริงขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ ต้องการให้เกิดความยุติธรรมในพื้นที่มากกว่า เพราะเป็นที่แน่นอน ว่า หากตั้งรัฐปัตตานีขึ้นมาจริง อำนาจต่างๆ ยังอยู่ที่ส่วนกลาง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีเหตุทำให้เกิดความสงบ มิหนำซ้ำยังจะก่อปัญหาใหม่ขึ้นมาอีก แล้วอย่างนี้จะตั้งขึ้นมาทำไม
ผศ.วรวิทย์ กล่าวในประเด็นนี้ว่า ไม่รู้สึกแปลกใจในคำพูดของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่จะรวมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นนคร เพราะเป็นการขุดเอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูด สำหรับตนไม่กังวล ว่า จะกลายเป็นการก่อให้เกิดการแบ่งแยกประเทศ เพราะต้องห้ามตาม รัฐธรรมนูญ 2550 อยู่แล้ว เรื่องนี้หากพูดอย่างเป็นกลาง นโยบายการบริหารราชการแผ่นดิน ก็ได้ระบุว่า เมื่อท้องถิ้นใดมีความพร้อม ก็ให้กระจายอำนาจลงไป แต่ที่น่าตกใจ คือ รัฐบาล ไปเติมคำพูดจาก นครเป็นนครรัฐหรือรัฐปัตตานี เป็นคำพูดในทางการเมือง ส่งผลให้คนที่คิดจะ นำมาเป็นประเด็นนี้ มาต่อยอดถกเถียง ว่า จัดตั้งเป็นนครดีหรือไม่ ต้องหยุดชะงัก ตรงนี้อาจเป็นเจตนาดีของรัฐบาล ที่พยายามแก้ไขปัญหา แต่ก็ชวนให้สงสัยอยู่เหมือนกัน ในสภาวะทางการเมืองเช่นนี้ มุ่งหวังให้พรรคตัวเองได้เปรียบทางการเมืองหรือไม่ อย่างไรก็ตามสำหรับตน สนับสนุนให้ รัฐบาล คิดหาระบบบริหารจัดการ ให้เกิดการยอมรับความแตกต่าง ทางเชื้อชาติ ศาสนา
ผศ.วรวิทย์ กล่าวต่อว่าเมื่อมันเกิดเรื่องอย่างนี้แล้ว รัฐบาลต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการจัดการ คืนความยุติธรรมให้คนในพื้นที่ อย่าใช้อำนาจ รุก ไล่ ปฎิบัติการณ์จับ ที่สร้างความเจ็บช้ำให้กับคนบางกลุ่ม และยอมรับในอัตลักษณ์ ความเป็นอยู่ของเขา ตนในฐานะที่เป็นคนใต้คนหนึ่ง ย่อมรู้ว่า เขาต้องการความสงบสุข ซึ่งก็มีคนในพื้นที่โพสในอินเทอร์เน็ต เขาบอกว่า ทั้งฝ่ายรัฐบาล และประชาชนในพื้นที่ บกพร่องคนละอย่าง ในการทำให้เกิดความสันติสุข ซึ่งฝ่ายรัฐขาดความกล้า ที่จะเชื่อว่าคนไทยเชื้อสายมาลายู จะไม่แบ่งแยกแผ่นดิน จะไม่แยกการปกครอง ส่วนฝ่ายประชาชนขาดตัวแทนที่เชื่อมโยงกับรัฐบาล ว่าแท้จริงต้องการอะไร อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าฟื้น ศอ.บต. ขึ้นมาก็แก้ไม่ได้ เพราะจากการสำรวจรูปแบบการปกครอง พบว่า ชาวมุสลิมต้องการมีอำนาจในการปกครองตนเอง เพิ่มขึ้น ลดอำนาจการปกครองจากส่วนกลางลง เพื่อให้มีพื้นที่ทางการเมือง ที่สอดคล้องตามความเชื่อทางหลักศาสนา มากขึ้น
พล.ท.นันทเดช กล่าวเสริมว่ารัฐบาลชุดนี้ บริหารประเทศผิดหลัก การทุ่มงบฯลงภาคใต้ เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ต้นตอปัญหา คือ รัฐบาลต้องสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในพื้นที่ก่อน เมื่อเราสร้างความยุติธรรมขึ้นมาได้ จะทำให้ราษฏรเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาล และทำให้รัฐบาลเชื่อว่าจะไม่เกิดการแบ่งแยกดินแดนแน่นอน เมื่อต่างฝ่ายต่างมีความเชื่อซึ่งกันและกัน จะทำให้ทุกอย่างพัฒนาไปได้
กับคำถามที่ว่า การปรับรูปแบบการปกครอง ให้มีกฎหมายสอดคล้องกับคนในพื้นที่ จะนำมาซึ่งความยุติธรรม ผศ.วรวิทย์ กล่าวว่า พรก.ฉุกเฉิน ทุกข้อมีดีมากมาย แต่วันนี้เราใช้พื่อการ ไล่ล่า จับกุม จนกลายเป็นให้ประโยชน์แก่รัฐฝ่ายเดียว อีกฝ่ายไม่ได้ประโยชน์ อย่างนี้ย่อมมีปัญหาแน่นอน อย่างไรก็ตามที่นายกฯ บอกว่าจะทยอยยกเลิกกฎอัยการศึก ตรงนี้ชาวบ้านเขาไม่เชื่อว่ากฎหมายปกติจะสร้างความเป็นธรรมได้ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่มีหลักประกันว่าจะไม่มีเหตุรุนแรง ไม่แยกดินแดน ทีนี้เมื่อ รู้แล้วว่าปัญหาเกิดจากความหลากหลาย ดังนั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการบางอย่างออกมารองรับ ความถูกต้องชอบธรรม ในความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะ ของคนในพื้นที่ ไม่ใช่พูดอย่างเดียว
พล.ท.นันทเดช กล่าวว่าเป็นไปไม่ได้ที่ พล.อ.ชวลิต รับข้อเสนอจากกลุ่มป่วนใต้ เพื่อต้องการให้เกิดความสมานฉันท์ในพื้นที่ เพราะกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ มีความหลากหลาย เนื่องจากแค้นตำรวจ ทหาร ซึ่งไม่ได้ตั้งเป็นกลุ่มกองโจรอย่างชัดเจน ดังนั้นการพูดของ พล.อ.ชวลิต จึงเป็นการสร้างราคาเสียมากกว่า ทั้งนี้เป็นที่น่าจับตา ว่า ในปัจจุบันเจ้าหน้าที่รัฐมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่แกนนำหัวรุนแรงเหล่านี้ ส่วนใหญ่กลับตัวกลับใจแล้ว ปัจจุบันคงเหลือไม่เกินร้อยคน ทำให้เห็นภาพนานๆ ถึงจะมีเหตุร้ายที แต่การก่อเหตุแต่ละครั้งมักรุนแรง และเป็นไปได้ว่า ในไม่ช้านี้เราอาจเห็นการลอบวางระเบิดขนาดใหญ่ เทียบเท่าผู้ก่อการร้ายสากล ถ้ายังถูกบีบบังคับจากเจ้าหน้าที่ และการจับยังไม่มีความยุติธรรมอยู่
กับคำถามที่ว่าเมื่อให้ความเป็นธรรมแล้ว คนร้ายยังคงป่วน เพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดน พล.ท.นันทเดช กล่าวว่า คนส่วนนี้มีนิดเดียว เมื่อเทียบกับคนในพื้นที่ทั้งหมด เมื่อชาวบ้านเขาได้รับความเป็นธรรม เขาก็ไม่เอาด้วยกับกลุ่มป่วนพวกนี้ ดูได้จากสมัยที่มี ศอ.บต. ส่งผลดีทำให้โจรเข้ามาในหมู่บ้านไม่ได้ เพราะชาวบ้านให้ความร่วมมือบอก ตำรวจ ทหาร ผศ.วรวิทย์ กล่าวเสริมให้เห็นความเป็นธรรม เมื่อครั้งมี ศอ.บต.ประชาชนในพื้นที่สามารถจับต้องเป็นรูปธรรม ถึงความเป็นธรรมได้ เพราะขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี รัฐทำผิดก็เกิดการโยกย้ายทันที ทำให้ประชาชนเห็นว่ารัฐสามารถพึ่งได้ แต่พอยุบ ศอ.บต.หากเกิดความไม่เป็นธรรมเข้าไม่รู้จะไปพึ่งใคร ทำให้หันหน้าไปพึ่งโจร
ผศ.วรวิทย์ กล่าวว่าชาวบ้านสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ได้เรียกร้องเกินเลยขอบเขตุ อย่างกฎหมายที่มีความจำเป็นในวิถีชีวิตของเขา เช่น กฎหมายครอบครัวและมรดก ถ้ารัฐบาลไม่ดำเนินการให้ เขาก็นำมาปฎิบัติเป็นปกติอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนปฏิบัติ แล้วยังไม่มีกฎหมายทำไมถึงไม่คิดจัดทำกฎหมายขึ้นมา ให้เขาตัดสินตามกระบวนการของเขาเอง พล.ท.นันทเดช กล่าวเสริมว่าออกกฎหมายให้เขาไปแบ่งมรดก ตัดสินกันเองก็ไม่น่าจะมีข้อเสียอะไร ขอเพียงแค่ดูว่า กฎหมายที่จะให้เขา ไม่กระทบกับความมั่นคง
ผศ.วรวิทย์ กล่าวว่าที่จริงแล้วในเรื่องของ เขตุวัฒนธรรมพิเศษ ความคิดนี้ได้มีการนำเสนอมาพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตาม มันก็มีปัญหาอยู่ว่า สิ่งที่เสนอไปนั้นทำได้ไม่เต็มที่ เช่น นโยบายการเมืองการนำทหาร ตรงนี้คนที่นำไปใช้บังคับ สามารถปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด พล.ท.นันทเดช กล่าวเสริมว่าเราคิดจะตั้งนิคมอุตสาหกรรมให้เขาประกอบอาชีพ แต่ปรากฎว่า นิคมอุตสาหกรรมถูกยิง สะท้อนให้เห็นว่าเราจะทำอะไรไม่ได้ หากยังไม่หาความสงบมาให้เขาก่อน ทั้งนี้สิ่งที่จะนำมาซึ่งความสงบ ตนเคยเสนอไปหลายอย่าง เช่น กำจัดการค้าของเถื่อน ยาเสพติด ติดกล้องวงจรปิด เพื่อขัดขวางการทำงาน แต่ก็ไม่มีใครสนใจที่จะทำ เพราะเท่าที่สืบทราบ มีหลายคนพร้อมที่จะเลิกป่วน แต่เขาไม่มีเงื่อนไขที่จะเลิก ทุกอย่างเป็นเหตุผลประกอบกัน อย่างตลาดที่ถูกวางระเบิดประจำก็เหมือนกัน ตนได้เสนอให้ทำที่จอดรถไว้ต่างหากให้ห่างจากตลาดพอสมควร เพราะคนร้ายมักจะวางระเบิดไว้ที่รถ หากไม่มีความรุนแรง เดี๋ยวคนพวกนี้ ก็จะหยุดไปเอง
ผศ.วรวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายถึงพรรคการเมือง ว่า อย่าเอาปัญหาภาคใต้เข้ามาเป็นเกมการเมือง และขอพี่น้องประชาชน เลือกบุคคลที่จะมาทำหน้าที่แทนเราจริงๆ เอาประชาชนเป็นตัวตั้ง อย่าให้เขาเข้ามาแสวงหาเงิน ตนเชื่อว่าพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต้องการความสงบสุข คืนให้เขาโดยเร็ว ถ้าสิ่งใดที่ให้ได้ก็ควรให้ ด้านพล.ท.นันทเดช กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้รัฐบาลเร่งคืนความยุติธรรม ให้พี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตราบใดที่คนมุสลิมไม่ได้รับความยุติธรรม คนไทยพุทธ ก็เดือดร้อนไปด้วย และถ้าให้ความยุติธรรมแต่คนไทยพุทธ คนมุสสิมก็เดือดร้อน ฉะนั้นต้องทำให้เกิดความเท่าเที่ยมกัน แล้วความสงบจะกลับคืนสู่ภาคใต้