xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” นำร่องยกเลิกกฎอัยการศึกในพื้นที่ จว.สงขลา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“อภิสิทธิ์” พบนักธุรกิจ 5 จังหวัดชายแดนใต้ รับแก้ทุกปัญหา โยนทุกภารกิจเข้าฝั่ง ปชป.เรียบ ลั่น ไม่หนุนสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ในพื้นที่ ชี้มีจุดขายอื่นน่าสนใจกว่า เตรียมนำร่องยกเลิกกฏอัยการศึก ในพื้นที่ 4 อำเภอจังหวัดสงขลา ระบุหากประเมินผลความรุนแรงลดลงจะขยายพื้นที่ใน 3 จว.ชายแดนใต้



วันนี้ (1 พ.ย.) ในช่วงที่สองของรายการเชื่อมั่นประเทศไทย กับนายกฯอภิสิทธิ์ เป็นการนำเทปบันทึกภาพที่นายกฯเดินทางลงไปพบปะประชาชนและนักธุรกิจ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่จังหวัดสงขลาเมื่อวานนี้ (31 ต.ค.) มาออกอากาศ ทั้งนี้ ในช่วงแรกพิธีกรภาคสนามได้ไปสัมภาษณ์ถึงความรู้สึกของประชาชนหลังจากรถไฟหยุดเดินรถฯ ที่สถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ โดยผู้โดยสารสุภาพสตรีรายหนึ่ง กล่าวว่า กำลังจะเดินทางไปทำงานที่จังหวัดปัตตานี ซึ่งรถไฟปิดมาหลายวัน พอมาเปิดแล้วดีขึ้น ขณะที่ผู้ชายคนหนึ่ง กล่าวว่า ช่วงที่รถไฟหยุดเดินทางลำบาก ส่วนแม่ค้าที่สถานีรถไฟรายหนึ่ง ระบุว่า ขณะนี้ก็พอขายได้ ก็ดีกว่าช่วงที่รถไฟหยุดวิ่ง และฝากขอบคุณนายกฯ ที่ทำให้รถไฟวิ่ง

จากนั้นเป็นช่วงที่นายกฯ พบกับภาคเอกชนของ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวตอนหนึ่งถึงเรื่องความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ ว่า ตนไม่ทราบว่าเป็นบรรยากาศที่ดีขึ้นหรือไม่ คิดว่าอันนี้ก็ตอบยาก ที่ว่าตอบยากก็คือคิดว่าท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ เผชิญกับปัญหานี้มานานแล้ว และก็คงจะเข้าใจว่าปัญหานี้คงไม่ใช่ปัญหาที่สามารถจะแก้ไขให้มันหายไปได้ภาย ในระยะเวลาสั้นๆ ต้องการการบริหารจัดการ ต้องการนโยบายที่มีความต่อเนื่อง มั่นคง แม่นยำ และที่สำคัญที่สุดอิงอยู่กับแนวพระราชดำริในเรื่องเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ฉะนั้นตรงนี้ก็ต้องเป็นจุดเริ่มต้นที่อยากจะเรียนว่า รัฐบาลเองทราบตั้งแต่ต้นจึงได้ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วน จึงได้พูดถึงการเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ และจึงได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย รวมทั้งกลไกในการบริหารจัดการต่างๆ คือ ถ้ามองตั้งแต่ภาพใหญ่ที่สุด ก็คือความมั่นคงของประเทศ แล้วก็ในความมั่นคงของประเทศนั้นก็แตกออกมา ทั้งที่เป็นปัญหาในเรื่องของความมั่นคงโดยแท้ หมายถึงเรื่องของความสงบเรียบร้อย มาจนถึงเรื่องเศรษฐกิจ เพราะว่าก็เป็นตัวทำลายภาพลักษณ์ความเชื่อมั่น แล้วก็มองลงมาถึงระดับของประชาชน ความสูญเสียชีวิตแต่ละชีวิตก็ประมาณค่าไม่ได้ เพราะฉะนั้นเรารู้ว่าเรื่องนี้เป็นความทุกข์ของพี่น้องประชาชนทั้ง 5 จังหวัด และความจริงก็เป็นความทุกข์ของพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ที่ยังจะต้องอยู่กับเหตุการณ์และสถานการณ์นี้

นายกฯ กล่าวว่า ในภาพรวมต้องบอกว่าจำนวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ลดลง แต่ว่าลดลงไม่มาก โดยเฉพาะถ้าเทียบปี 2552 กับ 2551 นี้ก็ยังลดลงไม่มาก และที่สำคัญก็คือว่า เมื่อเหตุการณ์เริ่มลดลง ลักษณะของเหตุการณ์คือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ จะเลือกใช้วิธีที่ให้ดูรุนแรงขึ้น อันนี้เป็นสิ่งที่ค่อนข้างชัด ก็อยากจะเรียนว่าในภาพรวมของนโยบายของรัฐบาล เราเชื่อในเรื่องของการเมืองเป็นตัวนำในการแก้ไขปัญหา และเราเชื่อว่า ปัญหานี้ที่สุดแก้ได้ด้วยกระบวนการพัฒนา และการอำนวยความยุติธรรม การที่บอกว่าการเมืองนำ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องการทหารก็ดี เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ก็ดี ไม่มีความสำคัญ ไม่ใช่ ต้องบอกว่าทางเจ้าหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร ก็ยังทำงานอย่างหนัก และบางครั้งก็ต้องทำงานในเชิงรุก ในการเข้าไปกดดันฝ่ายตรงกันข้าม ปิดล้อมเพื่อที่ป้องกัน สกัด และก็ปรามไม่ให้ปัญหานี้เกิดขึ้น

“ต้องพูดตรงนี้เพื่อให้เกิดความ เข้าใจตรงกัน ว่า การทำเช่นนี้ไม่ได้ขัดอะไรกับการที่บอกว่า นโยบายคือการเมืองนำการทหาร หรือการเมืองนำในเรื่องอื่น เพียงแต่ว่าปฏิบัติการทั้งหลายของเจ้าหน้าที่ รัฐบาลได้ทำความเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ต้องเป็นไปโดยเคารพสิทธิมนุษยชน และสิทธิตามหลักสากล สิทธิในรัฐธรรมนูญทุกประการ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมได้ย้ำไปในช่วงที่ผ่านมา และก็ได้รับการตอบสนองอย่างดีก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนอื่นๆ นี้ เมื่อใดก็ตามที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ์ของพี่น้องประชาชน ผมบอกว่าต้องให้ความสำคัญกับข้อร้องเรียน และเอาจริงเอาจังกับการหาข้อเท็จจริง รวมทั้งถ้าหากว่ามีการกระทำผิดจากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ต้องมีความรับผิดชอบเกิดขึ้น ซึ่งก็ย้ำว่าทางผู้นำของเหล่าทัพก็ดี ทางตำรวจก็ดี ก็ได้นำเอานโยบายนี้ไปทำอย่างชัดเจน” นายกฯ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ตนเห็นเวลามีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น แล้วมีกลุ่มประชาชนไม่ว่าจะกลุ่มใด อยากจะร้องเรียนติดต่อสื่อสาร ตนก็ให้ความสำคัญ มีการติดต่อสื่อสารกันตลอดเวลาเพื่อรับฟังข้อมูลทุกด้าน เหตุการณ์ที่ถือว่ามีผลกระทบมากที่สุดในช่วง 10 เดือนที่เราอยู่ คงหนีไม่พ้นในช่วงสั้นๆ ที่มีการเข้าไปยิงในส่วนของเจ้าหน้าที่ครู แล้วก็มีเรื่องของการเข้าไปยิงในมัสยิดไอย์ปาแย ซึ่งทั้งสองกรณีนี้สิ่งหนึ่ง ซึ่งตนยืนยันได้ แล้วเราได้พิสูจน์แล้วก็คือว่า เราก็ใช้กระบวนการในการสืบสวนสอบสวนทำคดีตรงไปตรงมา จริงอยู่ขณะนี้การออกหมายจับ ผู้ถูกออกหมายจับอาจจะหลบหนีอยู่ แต่ว่าเราไม่ได้หยุด และที่สำคัญก็คือว่า ตนว่าเราได้พิสูจน์ว่าเราทำตรงไปตรงมา เพราะจากการที่สดับตรับฟังข้อมูลจากพื้นที่เองก็ยอมรับว่าการสืบสวนสอบสวน และการออกหมายจับนั้น เป็นไปอย่างค่อนข้างที่จะเที่ยงตรง เที่ยงธรรม และตรงกับความเข้าใจของพี่น้องประชาชนในแง่ของข้อมูลในพื้นที่ด้วย ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่อยากจะยืนยัน

“ที่สุดแล้วการทำงานเรื่องนี้จะวัดผลด้วยจำนวนเหตุการณ์ที่ลดลง และเราก็ต้องการที่จะใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษลดลง แม้กระทั่งการมีจำนวนเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็ต้องลดลง ที่จริงแล้วสำหรับปีงบประมาณ 2553 นี้ ในส่วนของ กอ.รมน.ก็ได้สามารถปรับลดกำลังลงได้ส่วนหนึ่ง เพราะว่ามีหลายฟื้นที่ซึ่งเราสามารถที่จะเข้าไปดูแลสถานการณ์ได้ค่อนข้างที่ จะดีขึ้น และเพื่อเป็นการเดินหน้าไปตามแนวทางนี้ ภายในเดือนหน้านี้ เราจะเริ่มทดลองในการที่จะเลิกกฎอัยการศึกใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา แล้วก็นำเอากฎหมายความมั่นคงมาใช้แทน หากตรงนี้ดำเนินการไปแล้วประสบความสำเร็จ เป้าหมายต่อไปก็คือใน 3 จังหวัดเอง ก็จะเริ่มมีการถอน ไม่ว่าจะเป็นกฎอัยการศึกหรือ พ.ร.ก.แล้วก็นำกฎหมายความมั่นคงไปใช้ จนกระทั่งในที่สุดเราก็ต้องการที่จะสามารถใช้กฎหมายปกติได้เหมือนกับพื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทยนะครับ อันนี้คือสิ่งที่เราเดินหน้าทำในภาพรวม” นายกฯ กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกัน ในแง่ของกลไกการแก้ไขปัญหา ทราบดีว่าช่วงที่มารณรงค์ในช่วงของการเลือกตั้งนี้ เราพูดถึงการปรับปรุงกลไกหรือองค์กร คือ ศอ.บต.แต่ว่าช่วงที่เข้ามานี้ เป็นช่วงสถานการณ์ซึ่งต้องยอมรับว่ามีวิกฤตการเมืองด้วย เพราะฉะนั้นเราก็รู้ว่าการผลักดันกฎหมายนี้อาจจะต้องใช้เวลา ตนก็เลยได้เลือกใช้วิธีในการจัดตั้งสิ่งที่เรียกว่าคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ภาคใต้ หรือดูแลจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาก่อน เพื่อยกระดับให้ฝ่ายนโยบายเข้ามาดูแลปัญหานี้อย่างจริงจัง ซึ่งก็ได้มีการประชุมจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจอย่างที่ท่านทราบดีอยู่แล้ว รวมไปถึงการมีทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย ที่คอยเข้ามาติดตามเกาะติดสถานการณ์ในพื้นที่อยู่ตลอดเวลา แต่ว่าบัดนี้คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติกฎหมายที่จะปรับปรุงในเรื่องของการบริหาร จัดการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนำเสนอต่อสภาฯ เพราะฉะนั้นกฎหมายนี้จะถึงสภา สมัยประชุมนี้ คาดว่าก็คงจะไปเสร็จเอาสมัยประชุมหน้า เพราะว่ากระบวนการของสภาก็ค่อนข้างที่จะยาวนานพอสมควร

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า หลักก็คือว่าการบริหารจัดการนี้จะมี เรื่องของสภาความมั่นคง ซึ่งความจริงแล้วตนก็เป็นประธานในฐานะนายกรัฐมนตรี และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาทำงานนี้ครบถ้วน แล้วก็จะมีคณะกรรมการในเรื่องของยุทธศาสตร์ แล้วก็จะมีตัว ศอ.บต.และก็จะมีในส่วนของสภาที่จะประกอบไปด้วย ผู้แทนของภาคต่างๆ ภาคส่วนต่างๆ นี้เข้ามาช่วยให้คำปรึกษาด้วย โดยมีการยกระดับในส่วนของ ศอ.บต.ว่า ตัวผู้บริหารสูงสุดฝ่ายประจำนั้นจะขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นแนวทางที่เราได้มีการเดินหน้าอย่างชัดเจน เพื่อให้การบริหารจัดการทั้งหลายมีกลไกที่มีความเข้มแข็ง และฝ่ายนโยบายจะต้องเข้ามารับผิดชอบอย่างชัดเจนมากขึ้น

“ผมเรียนว่ากฎหมายนี้เมื่อสักครู่มีข้อเสนอว่าอยากจะปรับอยู่ 2 มาตรา ก็ขอเรียนในชั้นการพิจารณาของสภาฯ นี้เรายินดีรับทุกข้อเสนอ แล้วก็จะมีการนำไปถกเถียงอภิปรายและได้ข้อยุติในชั้นสภาฯ อีกทีหนึ่ง ประเด็นที่ยกขึ้นมาอย่างเช่นเรื่องขององค์ประกอบของคณะกรรมการ คงไม่ค่อยมีปัญหาครับ จริงๆ แล้วก็โดยเจตนาที่เขียนเอาไว้ ก็เข้าใจว่าผู้แทนขององค์กรภาคเอกชนก็คงจะได้เลือกคนจากท้องถิ่นอยู่ แต่ว่าจะไปเขียนอย่างไรก็จะไปดูกันในสภาฯ ส่วนว่าจะรวม 3 จังหวัด 3 จังหวัดบวก 4 อำเภอ หรือ 5 จังหวัดนี้มันก็มีทั้ง 2 แง่มุม ถกเถียงกันไปกันมา ก็คงจะไปดูในชั้นกรรมาธิการเช่นเดียวกัน นั่นคือในแง่ของภาพรวมของนโยบายนะครับที่อยากจะเน้นย้ำ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นนายกฯ ก็ได้พูดถึงถึงประเด็นปัญหามิติด้านเศรษฐกิจซึ่งมีข้อเสนอจำนวนมากในการพบปะกันครั้งนี้และนายกฯได้ตอบชี้แจงทีละประเด็นว่า โดยในเรื่องที่น่าสนใจอย่างเรื่องของกล้องวงจรปิดที่มีปัญหาอยู่ขณะนี้ นายกฯ กล่าวว่า วงจรปิดเกิดปัญหาจากการที่โครงการติดตั้งวงจรปิดของกระทรวงมหาดไทยเกิดการยกเลิกสัญญาบอกเลิกสัญญา ตนได้ให้นโยบายและขณะนี้ก็กำลังการแล้วว่าระหว่างที่ยกเลิกสัญญาหรืออาจจะมีการฟ้องร้องบวกกับคงจะต้องมีการสอบ ว่า มีการทุจริตในโครงการนี้ขอให้ทำโครงการต่อหรือเพิ่มโครงการใหม่ คืออย่าไปให้ปัญหาการฟ้องร้องกัน หรือการสอบทุจริตมาชะลอการติดตั้งวงจรปิด เพราะฉะนั้นขณะนี้กระทรวงมหาดไทยก็เดินหน้าในการที่จะทำการจัดซื้อจัดจ้างใหม่ทันที แต่ว่ากระบวนการนี้ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ตนเองก็เป็นทุกข์เรื่องนี้ก็ต้องการที่จะให้เรื่องของการติดตั้งวงจรปิดเป็น ไปอย่างรวดเร็ว และอาจจะมีการปรับปรุงโครงการให้มีความเป็นไปได้มากขึ้น เช่น ในเชิงของระบบที่จะติดเป็น Wireless และถ้าหากว่าในระยะเฉพาะหน้าอาจจะไม่จำเป็นต้องเชื่อมโยงกันทั้งหมดก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น ก็จะได้ให้นโยบายไปเพื่อทำให้ได้รวดเร็วมากขึ้น

ส่วน เรื่องประเด็นเรื่องของการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ นายกฯ กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งกับข้อเสนอของประธานหอการค้ายะลา คือ ขณะนี้เรามีมาตรการผ่อนปรนในเรื่องของภาษี และเราก็มีมาตรการของบีโอไอ แต่ว่าสิ่งที่เราจะต้องเติมเข้าไปเพื่อจะให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษก็คือสิทธิ ประโยชน์เพิ่มเติม ตนได้ให้นโยบายตรงกับที่เสนอว่า สิทธิประโยชน์ที่จะให้เพิ่มเติมต้องไม่เหมือนกันในพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ต้องให้ 3 จังหวัดก่อน หมายความว่าสิทธิประโยชน์ที่จะให้ต้องสูงสุดที่ 3 จังหวัด และถัดลงมาอาจจะเป็น 4 อำเภอ แล้วถึงจะเป็นพื้นที่ที่เหลือของจังหวัดสงขลากับจังหวัดสตูล อันนี้ตนเป็นคนให้ข้อสังเกตกับผู้ที่กำลังไปศึกษาเรื่องนี้ คือสภาพัฒน์ฯเอง มิฉะนั้นแล้วก็ไปไม่ถึง 3 จังหวัดพูดง่ายๆ แต่ว่าถ้าเรามีลักษณะของระดับของสิทธิประโยชน์ก็จะมีส่วนในการที่จะกระจาย ให้เกิดความทั่วถึง

สำหรับเรื่องของขนส่งระบบราง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็ขอเรียนว่า เรื่องระบบรางเป็นส่วนสำคัญของไทยเข้มแข็ง ซึ่งตนจะใช้แนวทางซึ่งจะไปขอความร่วมมือจากต่างประเทศด้วย หรือเป็นเอกชน เพราะฉะนั้น อาจจะยังไม่ปรากฏอยู่ในตัว พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.ซึ่งเคยมีการพูดกัน คือตรงนั้นจะเอาจากแผนของรถไฟที่มีอยู่เดิม แต่เรากำลังเร่ง อย่างเช่น เรื่องหัวรถจักร คิดว่าน่าจะเดินหน้าในการที่จะไปเจรจากับประเทศจีน ซึ่งดูจะมีความพร้อมในการที่จะขาย ส่วนรางคู่ก็ดี รางที่จะเชื่อมโยงเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก เชื่อมโยงประเทศเพื่อนบ้าน ภายใน 2 สัปดาห์เขาจะเสนอแผนทั้งหมดให้ ครม.แล้วจะได้มีการจัดว่าจะทำตรงไหนก่อนหลัง และใช้เงินทุนจากไหนอย่างไร ซึ่งในส่วนที่จะเป็นรางคู่ลงมาทางใต้ ถ้าบอกว่าถึงสุราษฎร์ฯ ก่อนก็ยังดี ก็ถูกต้องเพราะว่าจริงๆ แล้วการทำรางคู่ในระหว่างที่เรายังไม่มีเงินที่จะทำตลอดทั้งสาย แนวที่เราจะใช้คือว่า เราจะทำในจุดที่ขณะนี้มีความจำเป็นจะต้องสับหลีก ซึ่งมันไม่ใช่ตลอดทั้งสายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าบริหารจัดการตารางการเดินรถ เราทำเป็นรางคู่บางส่วนก็จะสามารถได้ในสิ่งที่เราต้องการ คือ ร่นเวลาของการเดินรถที่เสียไปกับการสับหลีก ตรงนี้ก็ขอเรียนว่าจะเดินหน้าทำ

ส่วนข้อเสนอเรื่องการสนับสนุนกีฬาในพื้นที่ นายกฯ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ ได้ถ่ายทอดฟุตบอลนราธิวาส และฤดูกาลต่อไปจะมีการจัดระบบในเรื่องของการถ่ายทอดฟุตบอลไทย เพราะว่าขณะนี้ตนคิดว่าเราน่าจะสามารถส่งเสริมให้ลีกของไทย ทั้งพรีเมียร์ลีก ลีกภูมิภาค เป็นที่นิยม และทำให้ประชาชนชุมชนในท้องถิ่นมีความผูกพันกับกระแสของกีฬา กระแสของฟุตบอลมากขึ้นเหมือนต่างชาติมากขึ้น ทีวีก็จะเป็นตัวหนึ่งที่จะเป็นตัวกระตุ้น พร้อมๆ กันนั้น ขณะนี้ก็มีการกันเงินจากกองทุนกีฬาส่วนหนึ่งที่เหลืออยู่ออกมา เพื่อมาทำเรื่องนี้เป็นการเฉพาะในการส่งเสริมให้เกิดทีมฟุตบอลในแต่ละ จังหวัด ในแต่ละสโมสร เพื่อที่จะให้สามารถดึงดูดความสนใจและดึงให้คนของเราเข้ามาใกล้ชิดในเรื่อง ของกีฬามากขึ้น

สำหรับในเรื่องของการประมง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนก็เป็นคนหยิบเรื่องนี้ขึ้นมากับทางอินโดนีเซีย เพราะทราบว่าเป็นปัญหามา 2-3 ปีแล้ว นับตั้งแต่เขาจัดระเบียบใหม่ในส่วนของเขา ตนก็เข้าใจวัตถุประสงค์ของทางอินโดนีเซียว่าเขาก็มีความรู้สึกว่าอยู่ดี ๆ จะให้เราไปเอาทรัพยากรของเขามาเฉย ๆ เขาคิดว่าเขาอยากจะได้อะไรมากกว่านั้น จึงมีเงื่อนไขในเรื่องของการที่จะต้องไปเพิ่มมูลค่าแปรรูปอยู่ ซึ่งตนบอกว่าไม่ขัดข้องในหลักการ แต่ว่าได้ขอไว้แล้วว่า การจะไปบอกว่าแปรรูปอะไรในลักษณะที่สลับซับซ้อนขณะนี้มันเกิดขึ้นได้ยาก เอาง่ายๆ ก่อน ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องห้องเย็น การเอาขึ้นท่าและมีการทำอะไรเล็กน้อยและก็ส่งออกมา และที่สำคัญคือว่าจำเป็นจะต้องหาการจับคู่ภาคเอกชน ไม่อย่างนั้นมันเกิดขึ้นไม่ได้ ซึ่งอันนี้จะได้ไปติดตามกับทางกระทรวงเกษตรฯ ซึ่งจะรับไปดูเรื่องนี้ และอาจให้ประสานมาทาง ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนร่องน้ำนั้นเช่นเดียวกัน ขณะนี้มีการศึกษาอยู่และเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ ก็จะดำเนินการต่อไป

ส่วนข้อเสนอของจังหวัดสตูลในเรื่องของเมกะโปรเจกต์ นายกฯ กล่าวว่า จะรับไปดูเรื่องมอเตอร์เวย์ที่บอกว่าตกหล่นไป แล้วก็ในส่วนของสะพานเศรษฐกิจ คือสะพานเศรษฐกิจพูดกันมานาน หลักคิดเดิมก็บอกว่ามีท่าเรือ 2 ฝั่ง หัวเชื่อมก็มีถนน มีรถไฟ มีท่อน้ำมัน ท่อก๊าซ แล้วก็จะเกิดอุตสาหกรรมขึ้น 2 ฝั่ง ข้อเท็จจริงก็คือแนวคิดนี้มีตั้งแต่เสนอว่าทำตั้งแต่ตอนบน ตั้งแต่ ระนอง ชุมพร และร่นลงมาเป็นกระบี่ ขนอม ไล่ลงมา ตนเรียนได้เลยว่าขณะนี้ทางตอนบนของภาคใต้ไล่ลงมาไม่เกิดสะพาน เศรษฐกิจ แนวสุดท้ายที่มาศึกษากันอยู่ก็คือปากบารา แล้วก็อาจจะแถวสิงหนคร อาจจะจะนะ บัดนี้ต้องยอมรับว่าก็เริ่มมีบุคคลที่ไม่เห็นด้วย ฝั่งสตูลนั้นยังมีลักษณะที่อาจจะต้องไปดูว่าจะทำความเข้าใจหรือจะคลายความ กังวลของคนที่เขาไม่เห็นด้วยอย่างไร แต่ฝั่งนี้เริ่มมีความรู้สึกว่าอาจจะต้องไปถึงปัตตานีแล้ว แม้กระทั่งสงขลาก็ดูว่าจะยาก อันนี้พูดตรงๆ

นายกฯ กล่าวอีกว่า โครงการท่าเทียบเรือที่ปากบาราก็เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แล้วสุดท้ายคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมฯ ก็บอกว่า ในส่วนของตัวการศึกษาเรื่องสิ่งแวดล้อมก็คงไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่ประเด็นที่ใหญ่กว่านั้นคือว่า ทำท่าเทียบเรือ สมมติว่าทำสำเร็จเฉพาะท่าเทียบเรือ ก็ไม่มีประโยชน์ ถ้ารถไฟไม่เชื่อมโยง และถ้าไม่คุ้มค่าในทางเศรษฐกิจ เพราะว่าการจะให้ใช้ท่าเทียบเรือให้คุ้มค่าก็ต้องมีทั้งสินค้า และอาจจะต้องอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ประเด็นก็จึงมีอยู่ว่าพี่น้องในพื้นที่ต้องตัดสินใจ ร่วมตัดสินใจกับรัฐบาลว่าตกลงจะมีการพัฒนาอุตสาหกรรมหรือไม่ ถ้ามีมีประเภทใด ถ้ามีแล้วทำอย่างไรไม่ให้กระทบกระเทือนเรื่องการท่องเที่ยว เพราะว่าสิ่งที่ไม่ต้องการก็คือเราบอกว่าอะไรมาก็ดี คือเห็นว่าเป็นการลงทุน เอาเข้าจริง ๆ ปรากฏว่ามาแล้วเกิดการต่อต้าน เกิดความขัดแย้ง โครงการเกิดขึ้นไม่ได้ทำลายภาพลักษณ์ เสียความเชื่อมั่น ไม่มีประโยชน์

“เพราะฉะนั้น ขณะนี้ผมได้ให้ทางสภาพัฒน์ไปประเมินดูว่าที่พูดถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ รวมทั้งสะพานเศรษฐกิจ หน้าตามันครบทั้งวงจรคืออะไร เพื่อที่จะมาถามความคิดเห็นให้ประชาชนในพื้นที่ได้ดูว่าจะเอากันอย่างนี้ใช่ หรือไม่ คือถ้ามองในภาพรวมนี่เข้าแบบมาตรา 67 วรรคสอง ว่ามีผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรง เพราะกำลังจะเปลี่ยนวิถีชีวิต ถ้ามีเรื่องเหล่านี้เข้ามาทั้งหมด เพราะฉะนั้น พูดง่ายๆ คือว่า จากเดิมซึ่งคิดว่าน่าจะมาลุยทำกันเลย ผมคิดว่ามันคงเป็นไปได้ยาก แต่ว่าไม่ได้แปลว่าจะชะลอซื้อเวลาไปเรื่อยๆ ผมบอกเอาคำตอบมาเลย จะทำก็ทำ ถ้าบอกจะไม่ทำก็ไม่ทำ แล้วเราจะได้มาดูว่ายุทธศาสตร์การพัฒนาจะหมุนไปสู่เรื่องท่องเที่ยวหรือ เรื่องอะไร หรือ Creative Economy หรืออะไรมากขึ้นก็ว่ากันไป ตรงนี้สภาพัฒน์ฯ ก็ขอเวลาอีกไม่นานครับ แล้วกลับมา แล้วคณะรัฐมนตรีก็ดูในส่วนนี้” นายกฯ กล่าว

สำหรับข้อเสนอเรื่องการสร้างศูนย์กลางท่องเที่ยวที่หาดใหญ่ ในการสร้างEntertainment Complex ซึ่งอาจจะมีเรื่องของคาสิโนเข้าไปด้วย นายกฯ กล่าวว่า ตนก็จะเอาไปดูสำหรับเรื่องดังกล่าว แต่ว่าตนด้วยความเห็นใจที่ท่านบอกว่ามันอยากจะมีบางอย่างที่เป็นจุดขาย แต่ว่าถ้าให้ตนเลือกได้ ยังไม่อยากให้ตรงนี้เป็นจุดขายของพื้นที่นี้ ยังอยากให้เป็นเรื่องอื่น และก็คิดว่ามันจะเป็นตัวที่ส่งสัญญาณที่สับสนเกี่ยวกับเรื่องของวิถีชีวิต ของพี่น้องประชาชนด้วย เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะเห็นใจแล้วก็เข้าใจมุมมอง แต่ก็มีอีกมุมหนึ่งซึ่งคิดว่าจำเป็นจะต้องนำมา และก็ช่างน้ำหนักดูให้ดี แล้วก็อย่างที่เรียนว่า ตนยังเชื่อว่า มีจุดขายจุดอื่นอยู่ที่สามารถจะ ทำได้ แต่ก็พร้อมที่จะเอารายงานการศึกษาไปดู เพราะเห็นท่านบอกทำนองว่า ศึกษาทั้งความเป็นไปได้ แล้วก็ทัศนคติของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ด้วย ก็ยินดีที่จะไปดู
กำลังโหลดความคิดเห็น