"ผ่าประเด็นร้อน"
คำพูดที่กล่าวหาด่าทอเปิดศึกไปทั่วทิศของ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีทุจริตหลายคดีในเวลานี้ รับรองว่าไม่ใช่อารมณ์ของคนอ้างว่าให้อภัยกับทุกคน หรือคนที่มักอ้างว่ากำลัง “ปลง” และมุ่งมั่นสนใจแต่เรื่องธรรมะอย่างแน่นอน
เพราะคำพูดล่าสุดของ ทักษิณ ที่กล่าวพาดพิงด่ากราดไปหมดตั้งแต่ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษลงมา โทษคนนั้นคนนี้ เช่นอ้างว่าบ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย หาว่ารัฐธรรมนูญเผด็จการ ต้องนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ กล่าวหาว่าสื่อไม่เป็นอิสระ
กล่าวหาว่ารัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยื้อฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ เนื่องจากเกรงว่าตัวเองจะรับพระราชทานอภัยโทษแล้วจะได้กลับมา ซึ่งทุกคำพูดที่สะท้อนออกมาจากปากของนักโทษที่หนีคดีทุจริตคนนี้ ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยโมหะ โทสะ โลภะ
ที่สำคัญยังเต็มไปด้วยมุสาหรือโกหก อย่างหน้าด้านๆ ที่สุด
เช่น กล่าวหา พล.อ.เปรม ว่าเข้ามาแทรกแซงการเมือง แม้ว่าลึกๆ ภายในจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้าพิจารณาจากเกียรติประวัติ การสร้างคุณูปการให้กับการเมือง เป็นผู้นำที่ซื่อสัตย์สุจริต สังคมยอมรับ ทำงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมานานหลายสิบปี เป็นตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ตามพระราชอำนาจตามพระราชอัธยาศัย ไม่ใช่ใครนึกจะเป็นก็เป็นได้
และหากสมมุติว่า พล.อ.เปรม เข้ามาแทรกแซงจริงๆ ก็คงจะเป็นเพราะไปเห็นความไม่ชอบมาพากลที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง เกิดจากคนบางคนที่มีเจตนาชั่วร้ายทำลายบ้านเมือง ทำลายสถาบันฯ ก็ต้องขัดขวางเท่าที่จะทำได้
หากนำไปเปรียบกับพฤติกรรมของ ทักษิณ ย้อนไปในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน คนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารก็คงจะตัดสินใจไม่ยากว่า จะให้น้ำหนักกับใคร หรือเชื่อถือใครมากกว่า
หรือกล่าวหาว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือ ปี 2550 ไม่เป็นประชาธิปไตย ต้องนำเอาฉบับปี 2540 มาใช้ ซึ่งในข้อเท็จจริงก็คือ รัฐธรรมนูญปี 50 ก็ต่อยอดมาจากฉบับ 40 นั่นแหละมีทุกอย่างที่ฉบับเดิมมี แต่ที่มีมากกว่าก็คือ ความเข้มงวดทำให้พวกนักการเมืองขี้โกงทำงานยากขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับชาวบ้าน และที่สำคัญ แม้ว่ารัฐธรรมนูญปี 50 จะที่มาดั้งเดิมอย่างไรก็ตาม ก็ได้รับการลงประชามติมาถึง 14.7 ล้านเสียง
กล่าวหาสื่อมวลชนในยุคนี้ว่าไม่เป็นอิสระ ก็อาจจะจริงว่ามีสื่อมวลชนจำนวนหนึ่งยังรับใช้ซากเดนของ “ระบอบทักษิณ” แต่ถ้านำไปเทียบกับในยุครัฐบาล ทักษิณ รับรองว่าไม่ได้ถูกแทรกแซง ข่มขู่ คุกคาม หรือทุ่มซื้อ ด้วยงบประมาณเพื่อให้เข้ามาเป็นพวก
การกล่าวหาว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ ยื้อฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่น่าจะใช่ความจริงเช่นกัน เพราะถ้าใช้คำว่าฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ก็เป็นการบิดเบือนข้อมูลให้ชาวบ้านที่หลงเชื่อเข้าใจผิด เพราะขั้นตอนและเงื่อนไขทางกฎหมายของการถวายฎีกาหลักๆ ก็คือต้องเป็นบุคคลในครอบครัว เช่น พ่อแม่ ลูกเมียหรือตัวเองเท่านั้น ถึงจะสามารถถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ จะให้ล่าชื่อกันเป็นร้อยล้านชื่อ ก็ไม่มีผลทางกฎหมาย นอกเหนือจากมีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อกดดันพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น
อีกประการหนึ่งก็คือเจ้าตัวต้องรับโทษ และยอมรับคำพิพากษาสำนึกความผิดเสียก่อน หากยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นภาพ แม้ว่าจะคนละคดีคนละสถานะกันก็ตาม ก็คือ กรณี พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ที่เพิ่งถูกประหารชีวิตคดีถึงที่สุด ก็ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษภายใน 60 วัน
แต่กรณีของ ทักษิณ ถือว่าเป็นคนละเรื่อง เพราะนอกจากไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรม ยังใช้คำพูดกล่าวหาศาลว่าเป็นการยุติความเป็นธรรม แล้วยังเที่ยวพูดจาให้ร้ายต่างๆ นานา
พฤติกรรมของ ทักษิณ ชินวัตร ครั้งล่าสุดที่เริ่มออกมากล่าวโทษคนอื่นมั่วไปหมด ทำนองเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ไม่เคยมองดูตัวเองว่ามีปัญหาอะไรบ้าง
เจตนาล่าสุดที่ออกมาพูดทั้งในการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างประเทศ และกล่าวปลุกระดมบนเวทีคนเสื้อแดง มีเจตนาเหมือนสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อหวังให้เกิดเหตุการณ์ “บางอย่าง” ตามที่ตนต้องการหรือไม่
แต่ขณะเดียวกัน อีกมุมหนึ่งย่อมเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า เขากำลังยืนอยู่ในมุมอับ มีเวลาจำกัดทุกทีแล้ว อย่างที่ทราบกันก็คือ คดีความเริ่มงวดเข้ามา คดีอายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านกำลังจะสรุปในเร็วๆ นี้
และพฤติกรรมดังกล่าวย่อมไม่ใช่ลักษณะของคนที่ปลง หรือปล่อยวาง หรือให้อภัยกับคนอื่นตามที่ตัวเองกล่าวอ้าง เพราะที่แสดงออกมาทุกอย่าง ล้วนตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง