"ภาพจาก www.manager.co.th/vdo""ผ่าประเด็นร้อน"
“วันนั้นก่อนที่ จิ๋ว จะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยผมก็ให้คน ไปบอกเขาว่า จะทำอะไรก็ขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ซึ่งผมใช้คำว่า ไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ”
นั่นเป็นคำพูดของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่ต้องการสื่อไปถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ตักเตือนในฐานะเพื่อนก่อนที่จะไปเขียนใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย
แต่ พล.อ.ชวลิต ก็ไม่ฟัง และในที่สุดก็ไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของ ทักษิณ ชินวัตร เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดีก่อนอื่นต้องตั้งข้อสังเกตก่อนว่า สำหรับ พล.อ.เปรม ตามปกติโดยทั่วไปจะไม่ค่อยให้สัมภาษณ์มากนัก ประเภทพูดน้อยแทบจะนับคำได้ ยิ่งในฐานะประธานองคมนตรีก็ยิ่งต้องงดแสดงความเห็นทางการเมือง แต่ในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดสังเกต เพราะได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวอยู่เป็นเวลานาน และตอบคำถามหลายคำถาม
เหมือนกับ “ตั้งใจพูด” หรือตั้งใจชี้แจงในสิ่งที่ถูกพาดพิงจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่ก่อนหน้านี้อ้างว่า พล.อ.เปรม ไม่ให้เข้าพบเพื่อขอขมาลาโทษก่อนที่จะไปบวช หลังเหตุการณ์ 7 ตุลา 2551 พร้อมกับอ้างในทำนองว่าด้วยสาเหตุดังกล่าวทำให้ต้องเลือกข้างมาอยู่กับ ทักษิณ ชินวัตร
ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากลักษณะท่าทีการตอบโต้จาก พล.อ.เปรม คราวนี้ถือว่าไม่ธรรมดา และที่สำคัญไม่ยอมตกเป็นเป้านิ่งให้ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
โดยเฉพาะการโจมตีให้ร้ายกล่าวหาว่า พล.อ.เปรม ไม่ยอมประนีประนอมไกล่เกลี่ยกับ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่มันเป็นเรื่องของความถูกและผิดกฎหมาย ใครทำผิดก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ ถ้ามีคนไป “สั่ง” อะไรได้ จากดำให้เป็นขาวจากขาวให้เป็นดำบ้านเมืองก็ถึงคราววิบัติเป็นแน่แท้
เมื่อพิจารณาแบบคำต่อคำและบรรทัดต่อบรรทัดของ พล.อ.เปรม ที่ตักเตือนให้ไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนที่ทรยศต่อชาติ ก็ย่อมมีความหมายชัดเจนอยู่แล้ว
เพราะเมื่อเวลานี้ พล.อ.ชวลิต ก็ได้นำขบวนไปเข้าคอกของ ทักษิณ อีกรอบ และคราวนี้ยังพิเศษไปกว่าเดิมอีกก็คือ มีการเปิดตัว พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตนายทหาร “ยังเติร์ก” ที่เคยก่อกบฏยึดอำนาจ พล.อ.เปรม เมื่อครั้ง “กบฏ 1 เมษา” และ “9 กันยา” มาแล้ว
เมื่อเตือนแล้วไม่ฟังความหมายก็ไม่ต่างจาก “คนทรยศชาติ” ดีๆ นี่เอง !!
ขณะเดียวกันเมื่อย้อนดูพฤติกรรมของ ทักษิณ และทีมงานเครือข่ายที่อยู่รอบตัวได้กระทำย่ำยีต่อชาติบ้านเมืองอย่างไรบ้าง นอกเหนือจากมีคดีทุจริตติดตัวมากมาย และยังหลบหนีไม่ยอมรับโทษ อ้างว่าไม่ได้รับความยุติธรรม กล่าวหาทำนองว่าศาลไทยไม่ได้มาตรฐาน ทำให้ “ยุติความเป็นธรรม”
ที่สำคัญยังเคยมีคำพูดและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศยังกล่าวหาพาดพิงพระเจ้าอยู่หัวในทำนองว่าทรงล่วงรู้การรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549
นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่หลายครั้งมีการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา นอกเหนือไปจากการโจมตีสถาบันองคมนตรี และตัว พล.อ.เปรม อย่างรุนแรงมาอย่างต่อเนื่อง
พฤติกรรมดังกล่าวไม่ต่างอะไรกับการทรยศชาติหรือไม่ และเมื่อ พล.อ.ชวลิต ไปเข้าร่วมก็ต้องหมายรวมถึงเป็นพวกเดียวกับ “ขบวนการทรยศชาติ” ด้วยหรือไม่
คำพูดของ พล.อ.เปรม ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับการที่กลุ่มคนเสื้อแดงของทักษิณ กำลังนัดชุมนุมประเภทแดงทั้งเดือนต่อเนื่องไปจนถึงปลายปี และเมื่อมี พล.อ.ชวลิต พล.อ.พัลลภ และ พล.ต.มนูญกฤตเข้าไปร่วมมันก็ยิ่งทำให้หลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าอาจจะมีเหตุการณ์ “ไม่ธรรมดา” เกิดขึ้นมาก็เป็นได้
เพราะย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของแต่ละคนล้วนแต่ชวนให้คิดถึงเกมใต้ดินและมวลชนนอกรูปแบบอยู่ตลอดเวลา
การส่งสัญญาณเตือนแรงๆไปถึง พล.อ.ชวลิต ที่ตัดสินใจตอนแก่เลือกข้างไปร่วมกับคนทรยศชาติก็ย่อมหมายรวมไปถึงเป็นคนทรยศไปด้วย การที่ออกมาพูดแบบตรงไปตรงมาถือว่าไม่ต้องเกรงใจกันอีกต่อไป
ที่สำคัญยังเป็นการส่งสัญญาณสื่อให้สังคมได้เห็นอย่างชัดเจนว่าสมควรจะเลือกเดินในแนวทางไหน ถูกหรือผิด ดีกับชั่ว ขาวกับดำ และทรยศชาติหรือไม่ ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเดินทางไหน !!