“ผ่าประเด็นร้อน”
แม้ตลอดทั้งเดือนกันยายนต่อเนื่องมาจนถึงตุลาคมจะเป็นช่วงที่หนักหนาสาหัสของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ที่จะต้องเจอกับแรงกระหน่ำเข้ามาทั้ง ภายในและภายนอก แค่เรื่องแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ที่เวลานี้ยังหาตัวคนที่มานั่งถาวรไม่ได้ ต้องใช้อำนาจนายกฯตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการลากยาวไปก่อน
ถือว่าซื้อเวลาปัญหา “หิน” ไปได้อีกระยะ อย่างน้อยก็ทำให้เกมเริ่มเปลี่ยนและกำลังต่อรองเริ่มหมุนกลับมาที่นายกฯมากขึ้น
อีกเรื่องก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังถูกกดดันจากนักการเมืองทุกฝ่าย แต่ก็ใช้วิธีหลังพิงเชือกยืนกรานให้ประชามติถามประชาชนก่อน ก็ยื้อไปได้อีก เพราะถึงอย่างไรฝ่ายที่อยากจะแก้ไขก็ต้องดิ้นรนจนตัวสั่น ยิ่งดิ้นมากคนก็ยิ่งธาตุแท้ เห็นความเห็นแก่ตัวทุกเรศทุรังมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่กำลังวิ่งเหมือนหนูติดจั่นอยู่ก็คือ นักโทษชาย ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะมีการตัดสินคดีอายัดทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านบาท รวมไปถึงคดีทุจริตอื่นๆอีกเป็นพรวนอันเป็นผลมาจากการเข้มงวดของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะค่อยแผ่วลง เพราะชาวบ้านทั่วไปเริ่มรำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าลุ้นมากที่สุดสำหรับรัฐบาล และนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็คือ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ที่ชะอำและหัวหินในปลายเดือนนี้ และถือเป็นงานแก้ตัว หลังจากครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ถูกพวกเสื้อแดงป่วนจนวงประชุมล่ม ผู้นำต่างประเทศต้องหนีกระกันกระเจิง สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองจนประเมินไม่ได้
แต่เท่าที่ประเมินดูแล้วคราวนี้ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบรรยากาศได้เปลี่ยนไปแล้ว อีกทั้งมีการเตรียมการรับมือกันตั้งแต่เนิ่นๆ มีการสรุปบทเรียนนำมาป้องกันอย่างเข้มงวด
จะด้วยเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่าทำให้นายกรัฐมนตรีได้มีเวลารุกเข้าหามวลชนมากขึ้น สามารถเดินออกจากที่ตั้งในกรุงเทพฯไปพบปะกับชาวบ้านมากขึ้น
เริ่มตั้งแต่การเยี่ยมผู้ประสบภัย ทั้งที่เกิดจากอุบัติเหตุรถไฟตกรางในเขตอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และไปเยี่ยมผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมที่จังหวัดอยุธยา พบปะ ชาวบ้าน พร้อมทั้งอาศัยสำนวนโวหารออกมาจากปากไม่ติดขัด
จากนั้นทิ้งระยะห่างกันไม่กี่ชั่วโมงก็เดินสายไปถิ่นอีสานอีกรอบ คราวนี้ไปรวดเดียว 3 จังหวัดคือ อุบลราชธานี อำนาจเจริญและยโสธร
ที่ได้ใจก็คือไปเยี่ยม “ยายไฮ” จ่ายเงินชดเชยกรณีที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อน มีการพบปะปรับทุกข์กับสมัชชาคนจน มีการย้อนกลับไปเยี่ยมครอบครัวของ “ยายเนียม” ที่อำเภอม่วงสามสิบ สามารถสร้างเครือข่ายต่อยอดมวลชนได้เป็นกอบเป็นกำ เคลิบเคลิ้มน้ำหูน้ำตาไหลกันท่วมจอ
น่าสังเกตก็คือ แต่ละที่แต่ละแห่งมีชาวบ้านมาต้อนรับจำนวนมาก แน่นขนัดจนน่าพอใจ แม้ว่าอาจจะมีการรายการเกณฑ์มาบ้างก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้ามีคนมาต้อนรับด้วยความยินดี มีการหอมแก้มกันจนช้ำมันก็น่าชื่นใจ
คราวนี้ถือว่าเป็นการลงพื้นที่ภาคอีสานแบบไม่ต้องพึ่งพาบารมี “ระบอบเนวิน” เท่าใดนัก ที่สำคัญเป็นการใช้อำนาจจากฝ่ายตำรวจที่ปลัดเปลี่ยนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเป็น รักษาราชการ ผบ.ตร.คนใหม่ ที่มีการสั่งการเอาจริงเอาจัง ทำให้เสื้อแดงที่ตั้งท่ารอป่วนให้เป็นข่าวเข้าไม่ถึงตัว
ภาพโดยรวมถือว่าโอเค ในเรื่องการสร้างฐานมวลชนในภาคอีสานเพิ่มเติม
จะเป็นด้วยความสำเร็จดังกล่าวหรือเปล่าไม่ทราบ ทำให้มีการกำหนดคิวเดินสายในจังหวัดอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งในภาคอีสาน เช่นที่อุดรธานี หรือขึ้นเหนือไปที่เชียงใหม่ เชียงราย ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นเสื้อแดงจ๋า
การที่มีกำหนดการล่วงหน้าแบบนี้ก็ย่อมหมายความว่า ได้เวลารุกคืบออกนอกเมืองแล้ว อย่างน้อยดีกว่าตั้งรับอยู่ข้างในอย่างเดียว และที่สำคัญคงไม่อาจยืมจมูกเนวินหายใจไปตลอด
วันนี้ต้องพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด อย่างน้อยเมื่อเข็ญนโยบายออกไปแล้วก็ต้องสร้างความประทับใจและสร้างความทรงจำให้เกิดขึ้นให้ได้ เพราะหลายโครงการหากรู้จักโปรโมตถือว่ายังขายได้ เช่น เรียนฟรี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ค่าตอบแทน อสม.
เห็นได้ชัดจากการเดินทางไป 3 จังหวัดในภาคอีสานดังกล่าวดำลังสำคัญที่มาต้อนรับก็มีกลุ่ม อสม.เป็นกำลังสำคัญ
ดังนั้น เมื่อได้จังหวะก็ต้องเริ่มเปิดเกมรุกกลับบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อเตรียมการหากมีเหตุไม่คาดฝันเจอแรงกดดันจนเอาไม่อยู่ต้องยุบสภากะทันหัน
แต่นั่นก็หมายความว่าต้องเตรียมการ และดำเนินการประชุมสุดยอดอาเซียนให้ผ่านพ้นไปด้วยดี ถ้าผลออกมาตรงกันข้าม หรือถูก ทักษิณ ป่วนเหมือนช่วงเดือนเมษายนอีกทุกอย่างก็จบเห่!!