ส.ว.สรรหาชี้ ปชป.ยุค “นายหัวชวน-สุขุมพันธุ์” เสียค่าโง่ครั้งที่ 2 ให้เขมร หลงลงนามเอ็มโอยู ปี 43 ต้นเหตุปัญหาปราสาทพระวิหาร ทำไทยเสียดินแดนให้เขมร เสนอตั้ง คกก.อิสระ ระดมสมองทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมแก้ปัญหา พร้อมยกระดับ คกก.ชายแดน เป็นปัญหาระดับชาติ เพิ่มประสิทธิภาพกรมสนธิสัญญา ก่อนสายเกินแก้ ด้าน“ปราโมทย์” เชื่อยังพอมีทางแก้ไข แนะยึดหลักก.ม.ระหว่างปท. อัดผู้นำปท.-ทหาร เขลา จนทำไทยเสียอธิปไตย
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “สภาท่าพระอาทิตย์”
วันนี้ (11 ต.ค.) นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการ ได้ร่วมสนทนาในรายการ “สภาท่าพระอาทิตย์” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน โดยมี นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยมีการกล่าวรัฐบาลไทยยอมรับแผนที่ 1:2 แสน เรียบร้อยแล้ว อันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชาทั้งหมด ทั้งนี้เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2551 ในขณะนั้นมีการประชุมร่วมสมัยสามัญนิติบัญญัติของ ส.ส.และส.ว. เกี่ยวกับกรอบการเจรจาปักปันเขตแดน ก่อนที่รัฐบาลจะนำข้อตกลงไทย-กัมพูชา เข้าสู่สภาในวันที่ 14 ต.ค.นี้
นายคำนูณกล่าวว่า คำพิพากษาศาลโลกที่ทำให้ไทยเสียปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2505 มี2 ฉบับ คือสนธิสัญญา คศ.1904 และ 1907 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้น โดยแผนที่ของฝรั่งเศสแอนเน็กซ์วัน เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ 1:2 แสน ซึ่งเป็นการกำหนดเขตแดนเขาพระวิหาร ยึดสันปันน้ำตลอดแนวชายแดน โดยแผนที่ทั้งหมดมี 11 แผ่น แต่ในขณะนั้นไทยมีความรู้เรื่องแผนที่น้อยจึงเป็นจุดอ่อน ข้อบกพร่องของไทย ที่ไม่เคยเห็นปัญหาและไม่เคยทักท้วง ก่อนขึ้นศาลโลกเมื่อปี 2505 จนศาลโลกตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ซึ่งถือเป็นความเจ็บปวดของคนไทยทั้งชาติมาถึงทุกวันนี้
นายคำนูณกล่าวต่อว่า จากนั้นมาจึงเริ่มมีการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ.2542 ในสมัยรัฐบาลของ นายชวน หลีกภัย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมี ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ โดยการเจรจามีการบรรลุข้อตกลง ที่เรียกว่า บักทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจจัดทำเขตแดนทางบกหรือMou ปี2000 มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการจัดทำเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC เพื่อพิสูจน์ซากเขตแดน ซึ่งทั้งหมด 73 หลัก ไม่รวมปราสาทพระวิหาร แต่เมื่อเหตุการณ์ตรึงเครียดมากขึ้นเมื่อปี 2550-2551 จึงมีการเสนอกรอบการเจรจาขึ้นมา 2 กรอบ โดยหนึ่งในกรอบนั้นมีแผนแม่บทหรือTOR ปี 2546 ซึ่งเป็นยุคของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จนมาถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และเรื่อยมาถึงรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช
“ผมคิดว่าทั้งหมดทั้งปวงต้นเหตุปัญหามาตั้งแต่ Mou ปี 2543 ยุคของนายชวน หลีกภัย เป็นรัฐบาล ที่ไปลงนาม Mou เรื่องนี้ผมได้สอบถามเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ข้อมูล Mou ปี 43 คือแผนที่ 1:2 แสน รวมแผนที่แอนเน็กซ์วัน และรวมถึงแผนที่ปี 2505 ที่ฝรั่งเศสทำขึ้น ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจง เป็นมติ ครม.ปี 43 ยอมรับการใช้แผนที่ดังกล่าว โดยให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ จึงเป็นที่มาของกฎหมายปิดปากครั้งที่ 2 หรือเสียค่าโง่ครั้งที่ 2” นายคำนูณกล่าว
ส.ว.สรรหากล่าวต่อว่า 28 ต.ค.51 รัฐสภาได้มีการประชุมและได้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นการประชุมลับและมีการลงมติเห็นด้วย 409 เสียง ไม่เห็นด้วย 7 เสียง งดออกเสียง 1 ส่วนกรอบที่ 2 คือ แผนที่ 1:2 แสน มีมติเห็นด้วย 406 เสียง ไม่เห็นด้วย 8 และงดออกเสียง 2 เสียง ทั้งนี้ เสียงที่เห็นด้วย คือ รัฐบาลประชาธิปัตย์และนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ อย่างไรก็ตามเมื่อสภาอนุมัติคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา ได้มีการประชุม 3 ครั้ง พร้อมกับแนบร่างข้อตกลงชั่วคราวมาด้วย ซึ่งไม่ใช่ร่างจริง จึงมีเสียงคัดค้านกันมากรวมทั้งตน เกรงว่าจะไปตกลงตามนี้ จึงมีการเสนอให้ตั้งกรรมาธิการของสภาพิจารณา ยังไม่มีการลงมติในข้อตกลงนี้ แต่ขณะนี้ไปไกลกว่าข้อตกลงดังกล่าวที่ทำให้ไทยเสียดินแดนโดยไม่ชอบ
ดังนั้น ตนคิดว่าควรจะมีการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมา โดยนำทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือกันเพื่อแก้ปัญหา รวมถึงยกระดับคณะกรรมการชายแดนขึ้นมาเป็นปัญหาระดับชาติ ให้พ้นมือกระทรวงการต่างประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพกรมสนธิสัญญา ยกระดับงานพระวิหารเป็นโต๊ะเจรจาขึ้นมา เพราะเรื่องนี้ตนเชื่อว่าจะเป็นปัญหาใหญ่มากในอนาคต ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศก็เชื่อว่ากัมพูชาจะต้องนำประเด็นเขตแดนพระวิหารเข้าสู่การเจรจาระดับพหุพาคี ของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งอาจจนำกลับขึ้นไปสู่ศาลโลกอีกครั้ง จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องเร่งแก้ไข
ด้าน นายปราโมทย์กล่าวว่า ตนคิดว่ายังมีทางแก้ไข โดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้รัฐสภาจะทำตามลำพังไม่ได้ ต้องให้ภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม ขณะเดียวกัน ตนก็มีความเป็นห่วงข้อเสนอของ ส.ว.คำนูณ โดยเกรงว่ากว่าถั่วจะสุกงาก็จะไหม้ เพราะไม่ทราบว่ารัฐบาลจะทำตามที่เสนอหรือไม่ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความเขลาของผู้นำและกลไกรัฐ รวมถึงผู้นำทางทหาร ฝ่ายปกครอง ผู้ว่าราชการจังหวัด ตลอดจนนักธุรกิจการค้าที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ซึ่งเป็นการทำลายอธิปไตยของไทย