xs
xsm
sm
md
lg

“นพเหล่” ดิ้นโต้ ป.ป.ช.ทำตัวเป็นปฏิปักษ์ ฟุ้งฟ้อง “พ่อแม้ว”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นพดล ปัทมะ
“นพดล” แถลงปัดความรับผิดชอบ ขายแผ่นดินให้เขมร อ้างคำแถลงการณ์ร่วมเป็นหลักฐานเดียวที่เขมรยอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อน โวยทำคุณบูชาโทษ อ้างใครทำงานให้ “แม้ว” ต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกัน แถได้อีกไม่จงใจฝ่าฝืนมาตรา 190 อ้างให้น้ำหนักพยานผู้เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองมาปรักปรำ ขณะที่ “เด็จพี่” ยังตั้งข้อสงสัย 9 ป.ป.ช.มีอำนาจตามกฎหมายหรือไม่



วันนี้ (30 ก.ย.) ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อเวลา 10.15 น. นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงกรณีที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ฐานกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 กรณีการออกมติ ครม.สนับสนุนประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาว่า ขอแสดงความยินดีต่อข้าราชการและรัฐมนตรีที่ ป.ป.ช.ยกคำร้องทุกคน แม้ว่าได้ร่วมคิดร่วมทำเรื่องนี้ด้วยกันมาตลอด ยืนยันว่าในขณะที่เป็น รมว.ต่างประเทศนั้น ตนได้ปกป้องดินแดนไทยในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร จนประสบความสำเร็จ ทำให้กัมพูชายอมขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร แต่สิ่งที่ได้รับวันนี้คือถูกชี้มูล ซึ่งจะเป็นตำนานการทำคุณบูชาโทษ ก่อนหน้านี้มีความพยายามจากหน่วยงานต่างๆภายในประเทศที่จะเจรจามาตลอด แต่มาสำเร็จในสมัยที่ตนเป็นรมว.ต่างประเทศ โดยได้ทำคำแถลงการณ์ร่วมขึ้น โดยข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ผบ.เหล่าทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และครม.ก็เห็นชอบด้วยกันทั้งหมดตามลำดับ แต่ขณะนี้คำแถลงการณ์ร่วมจะสิ้นผลไปแล้วทั้งๆ ที่เป็นเอกสารชิ้นเดียวที่กัมพูชายอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อนทั้งๆ ที่ไม่เคยยอมรับมาก่อน

“ผมขอยกความดีให้กับทุกคน ขอรับผิดชอบและรับแรงกดดันไว้คนเดียว แต่ผมภูมิใจว่าครั้งหนึ่งในชีวิตได้ทำเพื่อชาติ ผมผิดหวังกับการตัดสินของ ป.ป.ช. ทั้งๆ ที่อยากเห็นมาตรฐาน ความเป็นกลาง และความเป็นธรรม แต่วันนี้ไม่ใช่วันของผม ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่าผู้ที่ทำงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมตี จะต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกับผม” นายนพดลกล่าว

นายนพดลกล่าวอีกว่า การชี้มูลของ ป.ป.ช.ถือเป็นการตัดสินที่ผิด เนื่องจากอ้างคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 8 ก.ค.2551 ที่ระบุว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำแถลงการณ์ร่วมไม่ใช่หนังสือสัญญา โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศก็เห็นว่าไม่ใช่หนังสือสัญญา อีกทั้งกัมพูชาเองก็มีหนังสือยืนยันว่าไม่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน คำแถลงการณ์ร่วมก็ไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ไม่ใช่การยกแผ่นดินให้กับกัมพูชา แต่เป็นการห้ามไม่ให้ฮุบเอาแผ่นดินไทย แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับตัดสินว่า แม้แถลงการณ์ร่วมไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขตแต่อาจมีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ซึ่งการเพิ่มคำว่า “อาจ” เข้าไปในมาตรา 190 ถือว่าเป็นการเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยศาล พิพากษาเกินรัฐธรรมนูญ ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้จงใจฝ่าฝืนมาตรา 190 เพราะมาตราดังกล่าวไม่ชัดเจน คลุมเครือ และไม่เคยมีมาก่อน จนเป็นปัญหาและมีการเสนอให้มีการแก้ไขในขณะนี้

นายนพดลกล่าวด้วยว่า ส่วนข้อหากระทำผิดมาตรา 157 นั้น ยืนยันว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ ไม่มีเจตนาพิเศษ ทำไปเพื่อปกป้องพื้นแผ่นดินไทย ไม่มีเจตนาทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด มีการทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทุกฝ่ายก็เห็นชอบ ไม่มีการปิดบังอำพรางหรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง ดังนั้น การตัดสินของ ป.ป.ช.จึงไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริง และไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งการรับฟังพยานก็มีข้อพิรุธ เพราะให้น้ำหนักกับพยานของผู้เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองมาปรักปรำอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น พยานจากเอเอสทีวีและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สำหรับกรณีที่นายกล้านรงค์ จันทิก ป.ป.ช.ที่ระบุว่ามีแจตนาแอบแฝงนั้น ขอให้หัดพูดความจริงบ้าง แม้จะไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ความคนอื่นแบบไม่มีมูล

“หลังการรัฐประหารบ้านเมืองเราไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง รัฐธรรมนูญ 2550 ได้สร้างระบอบละม้ายประชาธิปไตย ใช้กฎหมายกับบุคคลต่างๆ ไม่เท่าเทียมกัน บ้านเมืองขณะนี้ไม่มีระบบนิติรัฐ มีแต่ระบบอคติรัฐ หลักนิติธรรมถูกแทนที่โดยหลักกูจะทำ การชี้มูล ป.ป.ช.วันนี้เป็นแค่เพียงเบื้องต้น หลายคดีที่ส่งไปยังศาลก็ถูกยกฟ้อง ดังนั้นผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมในทุกกระบวนการ ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย ผมก็จะหาความยุติธรรมให้เจอ และผมขออโหสิกรรมให้กับทุกคนที่ยัดเยียดข้อหาและความทุกข์ให้กับผม ขอแผ่เมตตาให้ท่านเหล่านั้น แม้วันนี้จะเป็นคืนเดือนมืดแต่อรุณรุ่งแห่งความจริงและพลังแห่งความเป็นธรรมจะมาเยือน ผมจะขอทำงานเป็นข้าพระบาทและข้าแผ่นดินจนกว่าชีวิตจะหาไม่” นายนพดลกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้มีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้วหรือไม่ นายนพดลกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณโทรศัพท์มาหาตนเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อสอบถามว่าผลการตัดสินเป็นอย่างไร ซึ่งตนก็ได้เรียนท่านไปว่าผลออกมาเป็นอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ให้กำลังใจและบอกด้วยว่าบ้านเมืองเรายังไม่มีความเป็นธรรม รวมทั้งให้กำลังใจว่าให้ต่อสู้ต่อไป ตนจึงเรียนกลับไปว่า ข้อหาของตนเมื่อเทียบกับของท่านแล้วถือว่ายังน้อยและจะต่อสู้ต่อไป ทั้งนี้ เชื่อว่านายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้ไม่มีทางแก้ไขปัญหาอะไรได้ถ้ายังไม่หยุดบิดเบือนเพื่อเอาชนะทางการเมืองหรือจุดกระแสคลั่งชาติมาทำลายล้างทางการเมือง ต้องนำเรื่องนี้มาทำเป็นวาระแห่งชาติ ระดมความเห็นจากทุกฝ่ายอย่างจริงจัง สำหรับการตัดสินของ ป.ป.ช.นั้นตนคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าผลจะออกมาแบบนี้ ถ้าแทงหวยก็รวยไปแล้ว ดังนั้นตนจึงเขียนคำแถลงการณ์ไว้ตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และในเร็วๆ นี้ตนจะจัดรายการ “Temple Talk Show” ให้คนมาร่วมเสวนา 3,000-4,000 คน รวมทั้งจะจัดทำเป็นหนังสือเปิดโปงข้อมูล หลักฐาน ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ รวมทั้งรายงานการประชุมของสภาความมั่นคงแห่งชาติอย่างละเอียดด้วย

ด้าน นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ส.ส.พรรคเพื่อไทยใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 249 ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยผ่านประธานวุฒิสภาเพื่อให้ดำเนินคดีอาญาต่อ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ซึ่งประธานวุฒิสภาก็ได้ส่งเรื่องไปยังศาลฎีกาแล้วเมื่อวันที่ 25 ก.ย. ดังนั้น ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้ ดังนั้น การที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลเมื่อวันที่ 29 ก.ย.จึงเป็นการกระทำที่มีอำนาจตามกฎหมายหรือไม่ นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 171 นั้นคณะรัฐมนตรีต้องบริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน รัฐมนตรีแต่ละคนไม่ต้องรับผิดชอบเป็นการส่วนตัว ดังนั้น เหตุใด ป.ป.ช.จึงเลือกชี้มูลความผิดเฉพาะนายสมัครและนายนพดล เพราะเมื่อรัฐมนตรีคนอื่นไม่มีความผิดทั้งนายสมัครและนายนพดลก็ต้องไม่มีความผิดด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น