xs
xsm
sm
md
lg

‘นพเหล่’ตะแบง‘เพื่อชาติ’ชายแดนพระวิหารเครียด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน/ศรีสะเกษ – “นพดล” ไม่สำนึกออกแถลงการณ์ร่วมฯ ให้เขมรนำไปเป็นหลักฐานในการยื่นปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกส่งผล 4.6 ตร.กม.เป็นพื้นที่ทับซ้อน หน้าด้านบอกปกป้องดินแดนไทย อ้างไม่ได้ฝ่าฝืน ม.190 โวยป.ป.ช.อคติ ด้าน“สุริยะใส” ชี้คำวินิจฉัยสะท้อนการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ปกป้องผลประโยชน์ชาติ ไม่เหมือน นปช.
ขณะที่ทหารเขมรระดมพล-อาวุธหนักเสริมทัพเข้าใกล้ "เขาพระวิหาร" เตรียมพร้อมยกกำลังหนุนทันทีหากเปิดฉากปะทะทหารไทย

นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ แถลงถึงกรณีที่ คณะกรรมการป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ฐานกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 กรณีการออกมติ ครม.สนับสนุนประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาว่า ตนยืนยันว่าขณะเป็น รมว.ต่างประเทศได้ปกป้องดินแดนของไทยในพื้นที่ทับซ้อน 4.6
ตารางกิโลเมตรจนสำเร็จทำให้กัมพูชายอมขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทพระวิหาร แต่สิ่งที่ได้รับวันนี้คือถูกชี้มูล ซึ่งจะเป็นตำนานการทำคุณบูชาโทษ

นายนพดล อ้างว่า ก่อนหน้านี้มีความพยายามจากหน่วยงานต่างๆ ภายในประเทศที่จะเจรจามา ตลอดแต่มาสำเร็จในสมัยที่เป็นรมว.ต่างประเทศ โดยได้ทำ คำแถลงการณ์ร่วมขึ้น โดยข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ผบ.เหล่าทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ และครม.ก็เห็นชอบด้วยกันทั้งหมดตามลำดับ แต่ขณะนี้คำแถลงการณ์ร่วมจะสิ้นผลไปแล้วทั้งๆ
ที่เป็นเอกสารชิ้นเดียวที่กัมพูชายอมรับว่า มีพื้นที่ทับซ้อนทั้งๆ ที่ไม่เคยยอมรับมาก่อน

“นพดล”ยังกล้าอ้างทำเพื่อชาติ
ผมขอยกความดีให้กับทุกคน ขอรับผิดชอบและรับแรงกดดันไว้คนเดียว แต่ผมภูมิใจว่า ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ทำเพื่อชาติ ผมผิดหวังกับการตัดสินของป.ป.ช. ทั้งๆ ที่อยากเห็นมาตรฐาน ความเป็นกลาง และความเป็นธรรม แต่วันนี้ไม่ใช่วันของผม ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่าผู้ที่ทำงานกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะต้องประสบชะตากรรมแบบเดียวกับผม

สำหรับการชี้มูลของป.ป.ช.ถือเป็นการตัดสินที่ผิด เนื่องจาก อ้างคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 8 ก.ค. 2551 ที่ระบุว่าคำแถลงการณ์ร่วม เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินไม่ถูกต้อง เนื่องจากคำแถลงการณ์ร่วมไม่ใช่หนังสือสัญญา โดยกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย รวมทั้งกระทรวงการต่างประเทศก็เห็นว่าไม่ใช่หนังสือสัญญา
อีกทั้งกัมพูชาเองก็มีหนังสือยืนยันว่าไม่เป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันคำแถลงการณ์ร่วมก็ไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ไม่ใช่การยกแผ่นดินให้กับกัมพูชา แต่เป็นการห้ามไม่ให้ฮุบเอาแผ่นดินไทย แต่ศาลรัฐธรรมนูญกลับตัดสินว่า แม้แถลงการณ์ร่วมไม่มีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขตแต่อาจมีบทบัญญัติเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ซึ่งการเพิ่มคำว่า
อาจเข้าไปใน ม. 190 ถือว่าเป็น การเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยศาล พิพากษาเกินรัฐธรรมนูญ

ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้จงใจฝ่าฝืน ม. 190 เพราะมาตราดังกล่าวไม่ชัดเจน คลุมเครือ และไม่เคยมีมาก่อน จนเป็นปัญหาและมีการเสนอให้มีการแก้ไขในขณะนี้

เหน็บบ้านเมืองอยู่ในระบบอคติ
นายนพดล กล่าวว่า ส่วนข้อหากระทำผิด ม. 157 นั้น ยืนยันว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ ไม่มีเจตนาพิเศษ ทำไปเพื่อปกป้องพื้นแผ่นดินไทย ไม่มีเจตนา ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใด มีการทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ทุกฝ่ายก็เห็นชอบ ไม่มีการปิดบังอำพรางหรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง ดังนั้นการตัดสินของป.ป.ช. จึงไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริง และไม่ชอบด้วยกฎหมาย
อีกทั้งการรับฟังพยานก็มีข้อพิรุธ เพราะให้น้ำหนักกับพยานของผู้เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองมาปรักปรำอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น พยานจาก เอเอสทีวีและกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่วนที่ที่นายกล้านรงค์ จันทิก ป.ป.ช. ที่ระบุว่ามีเจตนาแอบแฝงนั้น ขอให้หัดพูดความจริงบ้าง แม้จะไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่ความ คนอื่นแบบไม่มีมูล

“หลังการรัฐประหารบ้านเมืองเราไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง รัฐธรรมนูญ 2550 ได้สร้างระบอบละม้ายประชาธิปไตย ใช้กฎหมายกับบุคคลต่างๆ ไม่เท่าเทียมกัน บ้านเมืองขณะนี้ไม่มีระบบนิติรัฐ มีแต่ระบบอคติรัฐ หลักนิติธรรมถูกแทนที่โดยหลักกูจะทำ การชี้มูลป.ป.ช.วันนี้เป็นแค่เพียงเบื้องต้น หลายคดีที่ส่งไปยังศาลก็ถูกยกฟ้อง
ดังนั้นตนจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ทุกกระบวนการ ไม่ว่าฟ้าจะถล่ม ดินจะทลาย และผมขออโหสิกรรมให้กับทุกคนที่ยัดเยียดข้อหาและความทุกข์ให้กับตน ขอแผ่เมตตาให้ท่านเหล่านั้น”

ผลคดีเขาพระวิหารสะท้อนพธม.ป้องชาติ
นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (กมม.) กล่าวว่า ผลการวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ที่มีมติชี้มูลความผิดและตั้งข้อกล่าวหา นายสมัคร สุนทรเวช และนายพลดล ปัทมะ เป็นบทพิสูจน์การต่อสู้ของพันธมิตรฯตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดีว่า ได้ทำหน้าที่ในฐานพลเมืองปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ
ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นหรือเป็นเรื่องส่วนตัวต่างกับการเคลื่อนไหวของ นปช.ที่เอาผลประโยชน์ของบุคคลอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม

นายสุริยะใส กล่าวว่าเจตนาของทั้งนายสมัครและนายนพดล ชัดเจนว่าจะทำให้ไทยเสียดินแดน และหวังผลช่วยสมเด็จฮุนเซน ให้ชนะการเลือกตั้ง คำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ถือว่าทำให้คนไทยได้รับทราบข้อเท็จจริง และเป็นบรรทัดฐานที่ดีกับผู้มีอำนาจ หาก ป.ป.ช.จะกลั่นแกล้งคนของระบอบทักษิณ ทำไมครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่โดนชี้มูล ความผิดไปด้วย

“จริงๆ แล้วก่อนที่ ครม.จะอนุมัติและลงนามในแถลงการณ์ร่วมทั้งพันธมิตรฯ และนักวิชาการออกมาทั้งท้วงว่ามีวาระซ่อนเร้นและขัดรัฐธรรมนูญ ม.190 ที่ต้องขอปรึกษาหารือจากทางรัฐสภาก่อน แต่นายนพดล และนายสมัคร ลุกลี้ลุกลน รวบรัดตัดตอน และมัดมือชกข้าราชการหลายฝ่ายจนผลต้องออกมาแบบนี้ และก็ยังเป็นเรื่องที่แปลกมากๆ ในตอนนั้นที่นายนพดล ลาออกทันทีหลังลงนามใน
แถลงการณ์ร่วม ทำให้ชวนสงสัยว่านายนพดลเข้ารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศเพื่อภารกิจเขาพระวิหารเป็นการเฉพาะ”

นายสุริยะใส กล่าวว่านายสมัครและนายนพดลต้องยอมรับว่า เป็นผลจากการ กระทำของตัวเองทั้งสิ้นจะโทษใครไม่ได้ แม้นายนพดลและนายสมัครจะมีสิทธิที่จะพิสูจน์ตัวเองในขั้นตอนของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แต่ปัญหาใหญ่ก็คือจะพิสูจน์ให้ศาลเชื่อได้อย่างไรว่าไม่มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงและไม่กระทำการขัดรัฐธรรมนูญที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไปแล้ว

จากนี้ไปรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศก็ต้องใส่ใจและจริงใจขยายผล ชี้แจงกับกัมพูชาและประชาคมโลกว่า ไทยเรามีอธิปไตยเหนือดินแดนพิพาทกับกัมพูชา ข้อตกลงทั้งในที่ลับและที่แจ้งที่รัฐบาลเก่าๆไปทำไว้กับรัฐบาลกัมพูชาไม่มีผลใดๆ ทั้งสิ้น เพราะกระบวนการทางกฎหมายของประเทศไทยทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และ ปปช. วินิจฉัยไปทางเดียวกันหมด

“มาร์ค” ย้ำทำเพื่อประโยชน์ชาติ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่ได้อ่านคำวินิจฉัยของ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวกับคดีเขาพระวิหารที่ระบุว่ารัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ออกแถลงการณ์ร่วมขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ต้องไปถาม ป.ป.ช.เอง

เมื่อถามว่า จะให้ความมั่นใจกับสังคมได้อย่างไรการที่ป.ป.ช. กล่าวอ้างว่า เอาผลประโยชน์ประเทศชาติไปช่วยการเมืองภายนอก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยืนยันว่า รัฐบาลนี้ทุกเรื่องที่เราทำ และแนวที่กำหนดอยู่ในขณะนี้ไม่มีประโยชน์ของคนอื่น นอกจากประโยชน์ของประเทศ และตนต้องขอเรียนว่า หลายเรื่องที่พยายามอธิบาย ก็ไม่สามารถ อธิบายได้ทั้งหมด
เพราะไม่อยากเสียเปรียบ เพราะว่าเรื่องนี้มีเทคนิค มีความสลับซับซ้อน ละเอียดอ่อนของมันอยู่ ยืนยันว่า ไม่มีประโยชน์อะไรที่รัฐบาลนี้จะไปแลก

“เทพเทือก” ชี้ป.ป.ช.ชี้มูลอย่างมีเหตุผล
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า การพิจารณา ของ ป.ป.ช. ทุกอย่างก็มีเหตุมีผลอยู่แล้ว ตนคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์อะไร ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ทวิสเตอร์บอกว่าป.ป.ช.ทำเกินไปนั้น พ.ต.ท.คุณทักษิณ เขาก็มีธรรมชาติของเขาอยู่แล้ว เขาไม่ยอมรับศาลไทย ไม่ยอมรับองค์กรอิสระใด ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีอยู่ก่อนแล้วทั้งสิ้นตั้งแต่สมัย
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ และวันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ใช้สิ่งเหล่านี้และยอมรับสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อองค์กรเหล่านี้ สถาบันเหล่านี้มี คำวินิจฉัยที่กระทบกระเทือนต่อเขา และบริวาร ก็มักจะออกมาแสดงอาการที่ไม่พอใจ ไม่ยอมรับ ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้ว

ส่วนเหตุผลที่ ป.ป.ช.ระบุว่าเพราะนายสมัครไปสนับสนุนเรื่องการเลือกตั้งในกัมพูชานั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้ติดตามรายละเอียด หรือข้อมูลหลักฐานที่เขาเอาไปใช้ในการพิจารณาวินิจฉัย

ผู้สื่อข่าวถามว่าถือว่า ป.ป.ช. ก้าวล่วงเรื่อง การเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน กรณีที่อ้างว่าไปช่วยให้สมเด็จฮุนเซนชนะการเลือกตั้งนั้นดูแล้วแปลก ๆ หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่าไม่ทราบ และไม่ขอวิจารณ์องค์กรกลางอยู่แล้ว ส่วนจะทำให้เกิดความขัดแย้งยิ่งขึ้นหรือไม่ ตนยังไม่มองไปถึงขนาดนั้น

ปชป.ซัด “ฮุนเซน” ไร้วุฒิภาวะผู้นำ
นายวัชระ เพ็ชรทอง ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่สมเด็นฮุนเซน ปราศรัยที่ประเทศกัมพูชาว่าจะยิงพี่น้องประชาชนชาวไทยที่รุกล้ำเข้าพื้นที่เขาพระวิหาร เป็นการแสดงถึงวุฒิภาวะของผู้นำประเทศที่ยังไม่พัฒนา และอยากให้ท่านใช้สมองและปัญญามากกว่าการใช้กำลัง และความรุนแรง ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสมเด็จฮุนเซน ไม่ทิ้งวิญญาณความเป็นเขมรแดง
ซึ่งนิยมความรุนแรงมาก่อนในประวัติศาสตร์ของ ประเทศกัมพูชา รวมถึงแสวงหาความนิยมและคะแนนเสียงของประชาชนภายในประเทศ ทำให้ประเทศกัมพูชาเสื่อมค่าลงในสายตาของชาวโลก

ผมอยากให้สมเด็จฮุนเซนนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมถึงให้เข้าใจ ว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของประเทศไทย ไม่ใช้ของเขมร อย่าคิดว่าคนไทย เป็นเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หมดทุกคน ถ้าผลประโยชน์ลงตัว วินวิน คือต่างฝ่าย ต่างได้ผลประโยชน์ ทุกอย่างก็จบกันไป แต่สำหรับรัฐบาลนี้ไม่ใช่ เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
เป็นรัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะไม่มีวันก้มหัวให้กับประเทศใดเด็ดขาด จะต้องรักษาอธิปไตยของชาติทุกตารางนิ้ว

เขมรเสริมทัพ-อาวุธพร้อมปะทะ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณด่านเก็บค่าธรรมเนียมอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นทางขึ้นไปสู่ปราสาทพระวิหาร ปรากฏว่า ทหารไทย พร้อมอาวุธปืนครบมือ ได้ตั้งด่านรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเข้มงวด และยังคงไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องขึ้นไปบริเวณผามออีแดง บนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารอย่างเด็ดขาด
แต่ยังไม่มีความเคลื่อนไหวในการเสริมกำลังทหารไทยตามแนวรอบเขาพระวิหารเพิ่มเติมจากเดิมแต่อย่างใด

ขณะเดียวกันที่บริเวณหมู่บ้านซะแอม อ.ตระเปรียงประสาท จ.พระวิหาร ประเทศกัมพูชา ห่างจากปราสาทพระวิหาร เข้าไปในเขตกัมพูชาประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งหมู่บ้านแห่งนี้มีค่ายทหารของทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชาตั้งอยู่ พบว่าได้มีการเคลื่อนกำลังทหารมารวมพลกันอยู่จำนวนมาก พร้อมนำอาวุธหนักมาเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่
โดยทหารกัมพูชาทั้งหมดที่มารวมพลอยู่ที่ค่ายทหารแห่งนี้พร้อมจะยกกำลังเข้าเสริมที่บริเวณเขาพระวิหารชายแดนไทย-กัมพูชา ได้ทันทีหากมีการปะทะกับทหารไทย

ส่วนสถานการณ์บริเวณเขาพระวิหารการตรึงกำลังระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชายังคงตึงเครียด โดยทหารทั้ง 2 ฝ่ายได้เฝ้าระวังกันอย่างเต็มที่เพราะไม่มั่นใจว่าจะมีการปะทะกันเกิดขึ้นเมื่อใด

มทภ.2คนใหม่ลั่นสานต่อนโยบาย
วันเดียวกันที่สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ท.วีร์วลิต จรสัมฤทธิ์ แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) คนใหม่ กล่าวภายหลังรับมอบภารกิจหน้าที่แม่ทัพภาคที่ 2 ต่อจาก พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล ที่เกษียณอายุราชการถึงนโยบายชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะกรณีพิพาทชานแดนด้านเขาพระวิหารว่า นโยบายการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา
ที่มีอยู่ในขณะนี้ก็ยังคงดำรงตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาที่ให้ไว้ต่อไป โดยเฉพาะต้องรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนให้อยู่ในสภาวะที่ควบคุมได้

ส่วนปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนนั้น ก็ดำเนินการเดินหน้าต่อไปเหมือนเดิม โดยเป็นเรื่องของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา แต่ขณะนี้ที่ต้องการทำมากที่สุดคือ การทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาที่มีอยู่ให้แน่นแฟ้น โดยใช้หลักการเจรจาแทนการใช้กำลัง และจะต้องมีการจัดระเบียบชายแดนขึ้นทั้ง 2 ฝ่ายในกรอบที่ทางกฎหมายได้อนุญาตไว้
หรือสิ่งใดที่จะเป็นการริเริ่มให้เกิดความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน คงต้องทำข้อเสนอให้พิจารณาตามลำดับเพื่อให้ได้รับอนุมัติ

อัด"สรยุทธ์"ช่อง3เต้าข่าวเขมรยิงปืน
พล.ท.วีร์วลิต กล่าวถึงกรณีที่สื่อโทรทัศน์ไทยบางแห่งโดยเฉพาะรายการของนายสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ช่วงเช้าวานนี้ (30 ก.ย.) ที่รายงานข่าวระบุว่าทหารกัมพูชายิงปืนเข้ามายังฝั่งไทยในวันนี้นั้นจากที่ได้รับรายงานยืนยันว่า ไม่มีการยิงปืนเข้ามาในพื้นที่ของไทยแต่อย่างใด
แต่เสียงปืนดังอยู่ทางฝั่งกัมพูชาและทหารไทยเราก็ได้ยินบ่อยเป็นเรื่องธรรมดา ฝ่ายเขาอาจมีการฝึกหรืออะไรก็แล้วแต่ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการรุกล้ำเข้ามาฝั่งไทยแต่อย่างใด

"ขอยืนยันว่าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านเขาพระวิหารขณะนี้ยังเป็นปกติดี ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสื่อมวลชนทำไมจึงนำเสนอข่าวออกมาเช่นนี้ และที่ผ่านมาก็มีแต่สื่อมวลชนสถานีนี้ที่พยายามนำเสนอเรื่องแบบนี้ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย" พล.ท.วีร์วลิต กล่าว และว่า จากนี้ไปทางกองทัพภาคที่ 2
จะรุกการประชาสัมพันธ์ให้มากกว่านี้ซึ่งจะมีการเปิดแถลงข่าวทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน และกรณีนี้จะชี้แจงข้อเท็จจริงให้ นายสรยุทธ์ ได้เข้าใจเพื่อจะได้สื่อสารออกไปยังประชาชนได้อย่างถูกต้องต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น