นายกฯ ยืนยันรัฐบาลไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. แต่บางเรื่องพูดต่อสาธารณชนไม่ได้ ยินดีพูดคุยชี้แจงกับแกนนำทุกฝ่าย ยอมรับเป็นห่วงกระทบการเมืองระหว่างประเทศมากกว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา อ้างบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการคงสภาพพื้นที่ปี 43 อ้อมแอ้มเขมรรุกล้ำอธิปไตย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (20 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังสถานีโทรทัศน์โมเดิลไนน์ทีวี เพื่อออกรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” ประจำวันอาทิตย์ที่ 20 ก.ย. โดยภายหลังการออกรายการ นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุปะทะกันระหว่างกลุ่มชาวบ้านจังหวัดศรีสะเกษ และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประท้วงเขมรกรณีบุกรุกพื้นที่ทับซ้อนเขตปราสาทพระวิหารว่า วันนี้ยังไม่มีอะไรเพิ่มเติม แต่ต้องช่วยกันดูแลว่าที่มีข้อตกลงกันเมื่อวานนี้ ในแง่ของการที่จะมีตัวแทนของกลุ่มที่เดินทางไปเพื่อจะขึ้นไปและจะอ่านแถลงการณ์และยุติกิจกรรม โดยให้ทางเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกและไม่ให้ไปมีปัญหากับกลุ่มใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ตาม คิดว่าถ้าเป็นไปตามนี้ได้ก็น่าจะเรียบร้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีช่องว่างในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หรือไม่ จึงทำให้คนไทยมีการปะทะกัน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เมื่อคืนได้คุยกับรักษาการ ผบ.ตร. ทราบว่ามีข้อจำกัดตรงที่ว่าในสุดเจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างสองฝ่ายที่มีคนจำนวนมาก จึงไม่สามารถรักษาแนวตรงนั้นไว้ได้ในระหว่างที่การพูดคุยกัน ส่วนปัญหาใครทำผิดอะไรแล้ว เป็นเจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมหรือไม่อันนี้ต้องว่ากันตรงไปตรงมา
เมื่อถามว่า เหตุการณ์ลักษณะนี้จะตรวจสอบได้หรือไม่ เพราะค่อนข้างจะชุลมุน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เข้าใจว่ามีคนบันทึกภาพไว้เยอะพอสมควร ฉะนั้น น่าเป็นเรื่องที่ระหว่างสืบสวนสอบสวนให้ได้ เมื่อถามภาพที่ออกมาส่งผลกระทบอะไรหรือไม่ เพราะบริเวณดังกล่าวอยู่ระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชา นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จริงๆ ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ดังกล่าวมีผลกระทบ และคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ ไม่อยากเห็นภาพที่คนไทยมีปัญหากันเองอย่างนี้ เราต้องนึกว่าเวลาต่างชาติ เขามองเราเขาจะมองอย่างไร เป็นเรื่องที่อยากให้ทุกฝ่ายทบทวนต่อไป จะทำอย่างไร เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้
เมื่อถามว่าขณะที่รัฐบาลจะใช้วิธีการเจรจาแต่พื้นที่ตรงนั้น เขมรอยู่กันเต็มไปหมดแล้ว การเจรจาจะช่วยอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หลังจากที่เหตุการณ์ในกัมพูชาสงบลง พื้นที่ตรงนั้นเป็นลักษณะเปิดให้มีการท่องเที่ยว เกิดชุมชนขึ้นมา และทั้งไทยและกัมพูชาอยู่ตรงนั้น ต่อมาพอมีการจัดทำบันทึกความเข้าใจปี 43 บอกกันว่าให้คงสภาพนั้นไว้ อย่าไปทำอะไรเพิ่มเติม ระหว่างที่คณะกรรมการเขตแดนจะไปดูตามสนธิสัญญา แต่หลังจากนั้นมาประมาณปี 45-47 คนไทยออกมาจากพื้นที่จำนวนหนึ่ง ซึ่งตนได้พยายามถามว่าเกิดจากอะไร ทราบว่าเป็นเรื่องของสภาพความเป็นอยู่ ไม่เป็นที่พอใจก็ทิ้งตรงนั้นมา เมื่อเกิดเรื่องของมรดกโลกก็มีการปะทะกัน จึงเกิดแนวปฏิบัติในขณะนี้ที่ทั้งสองฝ่ายมีกำลังตรึงอยู่ในนั้น และมีการเสนอกรอบการเจรจา เพื่อถอนทุกฝ่ายออกมาเพื่อคืนให้กลับไปสู่สภาพ เหมือนตอนทำข้อตกลงในปี 43 ความจริงมีความคืบหน้าโดยลำดับ ฝ่ายเขาก็พร้อมเจรจา ฝ่ายเรารอกรอบเจรจาที่จะต้องผ่านสภาฯ เท่านั้นเอง ยืนยันมาตลอดเรื่องตรงนี้ไม่ได้มีปัญหา ซึ่งจริงๆบริเวณชายแดนไม่ได้มีจุดนี้จุดเดียว ตัวสันปันน้ำกับแผนที่ที่กัมพูชาใช้จะมีหลายจุดที่เหลื่อมกันอย่างนั้ ทุกจุดก็มีกองกำลังของทั้งสองฝ่ายตรึงอยู่ เราเพียงแต่บอกว่าจะทำอย่างไรให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนเขาทำงานได้ และระหว่างนี้หากค่อยๆถอนออกมาได้ก็เป็นเรื่องที่ดี
เมื่อถามว่า เรื่องเขตแดนการที่เรายึดสันปันน้ำ แต่ทางกัมพูชายึดแผนที่ ตรงนี้ทำให้เราเสียเปรียบหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เราถือว่าสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศให้ยึดสันปันน้ำ ในมุมมองของเราชัดเจนว่าสนธิสัญญาบอกสันปันน้ำ และแผนทีที่มาทำจริงมาทำว่าสันปันน้ำอยู่ที่ไหน ต้องมายึดตามข้อเท็จจริง เขาก็โต้แย้งและเรื่องนี้ยังไม่มีข้อยุติเป็นเรื่องที่ต้องกันในกรอบของคณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดน เมื่อถามว่าหากการเจรจาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทำไมทางกัมพูชายังมีการปรับสภาพในพื้นที่ทับซ้อนอีก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทุกครั้งที่มีการละเมิดข้อตกลงก็จะมีการประท้วง และขณะนี้ก็มีการส่งกำลังเข้าไป แต่เราไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกัน เพราะหากเกิดการปะทะกันจะส่งผลกระทบไปถึงเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ ไม่ใช่แค่กระทบความสัมพันธ์ แต่ต้องใช้คำว่าการเมืองระหว่างประเทศและเราไม่ต้องการ ที่จะให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้น
“ผมยืนยันเรากำลังทำทุกอย่างด้วยความรอบคอรบ ยืนยันว่าไม่มีการเสียสิทธิและไม่ต้องทำให้เกิดเหตุการณ์อะไรที่เพลี่ยงพล้ำหรือทำให้เกิดการเสียเปรียบ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่าการเจรจาขณะที่กัมพูชา ละเมิดข้อตกลงทำให้ไทยเสียเปรียบหรือเปล่า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กำลังดำเนินการและจะเห็นว่าจริงๆแล้ว สภาพชุมชนหลังเกิดเหตุการณ์เดือนเมษายนเรียกว่าหายไปเยอะ เมื่อถามว่า เหมือนกับว่าไทยรักษาสิทธิ์แต่กัมพูชาไม่ได้ยึดถือในหลักเดียวกันหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ก็พูดคุยกันอย่างต่อเนื่องและขณะนี้ก็สักดกั้นไม่ให้มีอะไรเพิ่มเติมและตรึงกำลังกันอยู่ เมื่อถามว่าปัญหานี้ทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกกันค่อนข้างมากและคงไม่จบ แค่การอ่านแถลงการณ์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า หากพยายามที่จะมาพูดคุยกันให้เข้าใจว่าการรักษาสิทธิ์ รักษาดินแดน วิธีการใดจะเป็นประโยชน์ที่สุดกับประเทศไทยตนว่า หากมาพูดคุยกันอาจจะเกิดความเข้าใจ
“ต้องบอกว่าหลายเรื่องจะให้พูดต่อที่สาธารณะก็ไม่ได้ หนึ่งต้องมีความละเอียดอ่อนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สองจะกระทบความได้เปรียบเสียเปรียบของเราเอง ฉะนั้นผมอยากจะขอว่าคนที่สนใจเรื่องนึ้ มาพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งบางครั้งมุมมองอาจจะแตกต่างกัน แต่ขอให้มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่า รัฐบาลไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝง ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้นอะไรเลยและมีเจตนาเดียวกับเหมือน กลุ่มคนที่เดินทางไปคือต้องการรักษาดินแดน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่าจะมีการนัดคุยกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ก็มีการมายื่นหนังสือไว้ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอยากจะมาพูดคุยกันก็มาได้ พูดทุกกลุ่มอยู่แล้ว เมื่อถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดระหว่างไทยกับไทยด้วยกันเองจะชี้แจงชาวโลกอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริงๆ แล้วเมื่อปีที่แล้วในเดือนกรกฎาคม ก็มีเหตุการณ์คล้ายอย่างนี้ ตนจึงได้พยายามให้มาพูดคุยกันมันจะง่ายขึ้น
เมื่อถามว่า ตอนนี้มีปัญหาด้านทัศนะของฝ่ายความมั่นคงหรือไม่ เพราะวันนี้กล่าวโทษว่าเป็นเพราะพันธมิตรฯ จึงทำให้เกิดปัญหา นาอยภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่มีการไปกล่าวโทษอะไรใคร เมื่อวานฝ่ายความมั่นคงก็เป็นผู้เจรจาและถูกต่อว่าทั้งสองฝ่าย ผู้สื่อข่าวก็มาถามว่าทำไมต้องอนุญาต ทำไมต้องอะไร ตรงนี้เห็นว่ามันแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน เมื่อถามว่าหลังเกิดเหตุการณ์ได้ประสานงานกับรัฐบาลกัมพูชาหรือยัง นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาในขณะนี้ แต่ก่อนที่จะเดินทางกันไปเราได้ประสานกับฝ่ายกัมพูชาอยู่แล้ว เ พราะเราไม่ต้องการให้เกิดการปะทะกัน เมื่อถามว่า นายกฯยังมั่นใจว่านโยบาย ที่ใช้ขณะนี้ไม่อ่อนแอเกินไป นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มั่นใจ