“อ.สมเกียรติ” ประเดิมจัดรายการ “แผ่นดินนี้มีความหวัง” เทปแรก เผย ต้องการใช้เป็นสื่อเติมเต็มความรู้ให้คนยากจน สร้างภูมิคุ้มกันให้รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมนักการเมืองชั่ว ที่หว่านเงินหวังหลอกมวลชนไปจัดตั้งกองทัพ เพื่อปะทุสงคราม “เบื้องสูง-รากแก้ว” ย้ำ ประเทศไทยกำลังเผชิญ 3 ภาวะสงคราม ต้องฝากความหวัง “พันธมิตรฯ-ชนชั้นกลาง” ช่วยพาประเทศรอดพ้นภัย
คลิกที่จอภาพเพื่อรับชม
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “แผ่นดินนี้มีความหวัง”
รายการ “แผ่นดินนี้มีความหวัง” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 22.00-23.00 น.วันที่ 3 กันยายน โดยมี นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ฉายเดี่ยวเป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่รายการดังกล่าวออกอากาศ
โดย นายสมเกียรติ กล่าวว่า ก่อนหน้าที่ตนจะมาทำรายการนี้ ได้วิเคราะห์แล้วว่า ความรู้และความสามารถ ตลอดจนประสบการณ์ของตนจะสามารถนำมาตกผลึกช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้หรือไม่ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนทำประโยชน์เพื่อสังคมและส่วนรวมมาโดยตลอด สมัยก่อนเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่น้องชาวเกษตรกรที่ยากจนและไม่ได้รับความเป็นธรรม เพื่อบอกกล่าวความทุกข์ยากให้ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองช่วยเหลือ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยถูกแบ่งชนชั้นออกเป็น 3 ระดับอย่างชัดเจน โดยชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุด คือ คนชั้นล่าง หรือคนยากจน ต่อมาเป็นคนชั้นกลาง หรือรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และองคมนตรี ต่อมาเป็นคนชั้นสูง หรือสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งนี้ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้ตนทราบว่า ชนชั้นที่พบปัญหาและได้รับความทุกข์แสนสาหัสมากที่สุด คือ คนชั้นล่างหรือคนจน ที่ไม่รับความเหลียวแลจากรัฐบาลและสังคม
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า ปัญหาของชนชั้นล่างส่วนใหญ่ที่พบมีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่อง คือ 1.ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสังคม เกิดการเหลื่อมล้ำเรื่องสิทธิประโยชน์ที่ควรจะได้รับเท่าเทียมกับผู้อื่น อาทิ กรณี สวัสดิการทางสังคม ชนชั้นล่างในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 20 ล้านคน แต่ถูกซ้ำทำให้จนดักดานและถูกทอดทิ้ง ซึ่งชนชั้นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเกษตรกรที่ยากจนและไม่มีที่ดินทำกิน ทำให้ขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทั้งที่ ภาครัฐมีนโยบายช่วยบรรเทาความทุกข์ยากเรื่องนี้ด้วยการแจกที่ดินทำกินให้เกษตรกร แต่ก็สามารถช่วยเหลือได้จำนวนไม่มากนัก หรือเรียกได้ว่า ไม่เพียงพอต่อความต้องการของปัญหาที่แท้จริง
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ปัญหาที่ 2 คือ หนี้สิน สมัยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีเกษตรกรไปขึ้นทะเบียนให้รัฐช่วยแก้ไขปัญหาความยากจนจำนวน 6 ล้านกว่าคน ซึ่งคนจนพวกนี้ จะถูกผูกติดกับอยู่บ่วงหนี้สินตลอด ทำให้พอมีนักการเมืองนำนโยบายประชานิยมมามอมเมา จึงชักจูงคนกลุ่มนี้เป็นพวกได้ง่าย ดังนั้น วิธีแก้ไขปัญหาความยากจนที่ถูกต้องที่สุด คือ ไม่หว่านเงินลงพื้นที่อย่างเดียว แต่ควรมีข้อแลกเปลี่ยนที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่ใช้เงินซื้อหรือหยิบยื่นเงินให้อย่างไม่รู้ค่าของเงิน และ3 ปัญหาสุดท้าย ที่ชนชั้นล่างทุกข์ยากมากที่สุด คือ เรื่องราคาผลผลิตที่ตกต่ำ หลายรัฐบาลไม่มีปัญญาหาวิธีจัดการแก้ไขราคาพืชผลทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นลำใย มันสำปะหลัง ข้าว ยางพารา และ อ้อย ซึ่งต่อให้มีการสนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลผลิตสูงเพียงใด แต่ถ้าหากไม่มีทางระบายผลผลิตออกสู่ตลาด ก็เป็นเรื่องยากที่จะทำให้เกษตรกรลืมตาอ้าปากได้ กลับช่วยพอกพูนหนี้สินให้เพิ่มมากขึ้น
“โครงสร้างส่วนล่างถือว่าลำบากมาก ทำให้นักการเมืองที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองนำคนพวกนี้มาจัดตั้งเป็นกองทัพ ชักจูงไปทำสิ่งไม่เหมาะสม มีการใช้คนเหล่านี้โค่นล้มระบอบอำมาตย์ ที่นับเป็นอันตรายของชาติอย่างใหญ่หลวง” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ตนจำได้สมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นเวทีปราศรัยที่ จ.ขอนแก่น และพูดมอมเมาชาวบ้านว่า อีก 6 ปีคนจนในประเทศไทยจะหมดไป ซึ่งพอผ่านไป 6 ปี คนจนหมดจริง มีแต่คนยากไร้มาแทนที่ ดังนั้น จะเห็นได้ว่า คนจนเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวมากที่สุด นักการเมืองจึงใช้คนกลุ่มนี้ขับเคลื่อนทะลุทะลวงและจาบจ้วงเบื้องสูง พร้อมทั้ง ยังยกระดับการต่อสู้เป็นสงครามระหว่างระบอบมหาอำมาตย์กับมหาประชาชน โดยตนยืนยันได้เลยว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ และบรรดาลิ้วล้อเคลื่อนไหวทางการเมือง มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงมากที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมา มีกระบวนการมุ่งโค่นล้มอำนาจส่วนบนตลอดเวลา ในขณะที่ ทางรัฐบาลก็ทำอะไรได้ไม่ถนัด เพราะมีปัญหาขัดแย้งกันภายใน ทำให้ประเทศไทยเหลือเพียงแต่สถาบันศาลเท่านั้น ที่จะผดุงความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
“เมื่อโครงสร้างส่วนล่างอ่อนแอ นักการเมืองที่มักใหญ่ใฝ่สูง ก็จะออกแบบสงครามโดยใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ ซึ่งคิดว่าน่าจะใช้เวลานานและยืดยื้อ เพราะมีการแอบอ้างเสียงของประชาชนตลอด โดยอ้างตัวเลขว่าได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก ดังนั้น ต้องฝากความหวังไว้ที่โครงสร้างส่วนกลาง หรือชนชั้นกลาง คือ เหล่าข้าราชการที่จงรักภักดีต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ออกมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้องในบ้านเมือง” นายสมเกียรติ กล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า อีกภาคส่วนของสังคม ที่มีบทบาทสำคัญ ในการช่วยขับเคลื่อนความถูกต้องในบ้านเมืองได้ คือ การรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลที่มีเจตนาปกป้องชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ และขับไล่รัฐบาลทรราช ที่โกงชาติบ้านเมือง ซึ่งหมายถึง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นกลุ่มคนที่ช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นบนและชนชั้นกลางไว้ ไม่ให้สถาบันเบื้องสูงต้องตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่ออันตราย ที่กลุ่มบุคคลมาทำการจาบจ้วงหรือดูหมิ่น นับว่าเป็นอันตรายรูปแบบใหม่ของชาติและกองทัพ
นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอีกสงครามที่ประเทศไทย กำลังเผชิญหน้าอยู่ คือ การกอบกู้ศักดิ์ศรีและแผ่นดินไทยคืนจากกรณี ประสาทเขาพระวิหาร ที่ขณะนี้ทางกัมพูชากำลังคิดฮุบพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ของไทย ด้วยการไปสร้างวัด สร้างถนน และนำกำลังทหารขึ้นไปประจำการยังบริเวณดังกล่าว ตนอยากถามว่า หากเป็นเช่นนี้ประเทศไทย จะมีรัฐบาล มีกองทัพ มีกระทรวงกลาโหม หรือมีกระทรวงการต่างประเทศไว้ทำไม ประเทศไทยเคยเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชามาแล้ว และกำลังจะเสียพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.อีก ตนจึงรู้สึกเศร้าใจ ที่ตอนนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้าอยู่ใน 3 สมรภูมิสงครามที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
“ตอนนี้ โครงสร้างส่วนบนยังคงเป็นเสาหลัก และเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้แก่ทุกชนชั้นอยู่ ดังนั้น ทางออกของเรื่องนี้จึงควรแก้ที่การเติมความรู้ และสร้างความเข้าใจให้แก่ชนชั้นล่างที่กำลังหลงผิดอยู่ ส่วนชนชั้นกลาง ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถร่วมขับเคลื่อนการเมืองใหม่ให้เป็นความจริงได้ ซึ่งไม่ยากจนเกินไป หากเราร่วมกันทำจริง” นายสมเกียรติ กล่าว