xs
xsm
sm
md
lg

ป.ป.ช.ฟัน “หมัก-เหล่” ผิดฐานฮั้วเขมรขึ้นทะเบียนพระวิหาร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ป.ป.ช.เสียงข้างมากมีมติฟัน “สมัคร-นพดล” ผิดทั้ง “อาญา-ถอดถอน” เหตุออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาหนุน “เขมร”ขึ้นทะเบียน“เขาพระวิหาร” เป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ส่อเอื้อประโยชน์การเมืองให้ “ฮุนเซน”ในการเลือกตั้ง ด้าน“สนั่น-ชวรัตน์-สุวิทย์-ประดิษฐ์-ระนองรักษ์” พร้อมอดีต รมต.- ขรก. รวม 42 ชีวิต รอดฉลุย เหตุไม่มีเจตนากระทำความผิด

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 29 ก.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช. และนายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. ร่วมแถลงมติ ป.ป.ช.กรณีชี้มูลความผิดคดีกล่าวหาคณะรัฐมนตรีชุดนายสมัคร สุนทรเวช ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีออกมติ ครม.สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ซึ่งภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า คดีนี้คณะกรรมการป.ป.ช.ได้รวบรวมคำร้องทั้งจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และ ส.ส.จำนวน 141 คน ขอให้ถอดถอน นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง คำร้องของ นายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตรพร้อมประชาชน 2 หมื่นรายชื่อ ยื่นถอดถอนครม.นายสมัครออกจากตำแหน่ง คำร้องขอให้ดำเนินคดีอาญากับ ครม.นายสมัครทั้งคณะ รวม 9 คำร้อง และคำร้องของนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ขอให้ดำเนินคดีอาญากับ ครม.นายสมัคร รวมผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 44 คน

อย่างไรก็ตาม พล.ท.แดน มีชูอรรถ เจ้ากรมแผ่นที่ทหารเสียชีวิตไป ทำให้คดีระงับ ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากการไต่สวนไม่ปรากฏว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมี ครม.บางคนที่ได้ลาออกพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว ประกอบด้วย นายจักรภพ เพ็ญแข รมต.ประจำสำนักนายกฯ นายสุธา ชันแสง รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ส่วนนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รมว.สาธารณสุข และนายวิชาญ มีนชัยนันท์ รมช.สาธารณสุข เพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ และอยู่ระหว่างรอเข้างาน ขณะที่มีรัฐมนตรีที่ไม่เข้าประชุม 3 คนและลาประชุม 5 คน จึงเห็นว่าให้คำร้องตกไป

ส่วนการพิจารณาข้อกล่าวหาบุคคลที่เหลือ ซึ่งเป็นนักการเมือง ในความผิดทางอาญา ป.ป.ช.เห็นว่ามีความผิด 6 เสียง โดย 1 เสียงเห็นว่าผิดทั้งคณะและไม่มีความผิด 3 เสียง เช่น เดียวกับการถอดถอนที่มีมติ 6 เสียง โดย 1 เสียงเห็นว่าผิดทั้งคณะ และไม่มีความผิด 3 เสียง ส่วนข้าราชการ ป.ป.ช.เห็นว่าไม่มีมูลความผิดให้คำร้องตกไปด้วยมติ 1 ต่อ 8 เสียง

ประเด็นที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เสียงข้างมากเห็นว่ามีความผิดนั้น สรุปได้ว่าแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา วันที่ 16 มิ.ย.2551 นายนพดลได้มีหนังสือเสนอให้ครม.ให้ความเห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมและแผนที่แนบท้ายและให้ รมว.ต่างประเทศลงนามในร่างคำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว โดยเสนอว่าเรื่องนี้มีความอ่อนไหวทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง หากจะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวชนก็ขอให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แถลงข่าว ต่อมาวันที่ 17 มิ.ย.มีการประชุม ครม.โดยมี นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งครม.ได้เห็นชอบตามที่นายนพดลเสนอมา และในวันที่ 18 มิ.ย.2551 นายนพดลได้ลงนามในร่างคำแถลงการณ์ดังกล่าว

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีคำวินิจฉัย 2 ศาล โดยศาลปกครองมีคำวินิจฉัยในคดีหมายเลขดำที่ 984/2551 วันที่ 27 มิ.ย.2551 กรณีที่นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ฟ้องขอให้ศาลปกครองเพิกถอนแถลงการณ์ร่วมและกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราว ในคำสั่งดังกล่าวศาลปกครองกลางได้วินิจฉัยว่าแผนที่แนบท้ายที่กัมพูชาจัดทำขึ้นมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารอย่างชัดเจน โดยระบุว่าเป็นพื้นที่เอ็น 1 ซึ่งอาจถือได้ว่าประเทศไทยยอมรับเขตแดนรอบพื้นที่ของปราสาทพระวิหารโดยปริยาย ศาลปกครองกลางยังระบุว่า เครื่องหมายเอ็น 3 ให้มีการจัดเตรียมพื้นที่ดังกล่าวระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาสำหรับการอนุรักษ์ ศาลปกครองกลางเห็นว่าข้อตกลงดังกล่าว อาจจะมีผลผูกพันกับประเทศไทย และอาจทำลายน้ำหนักอ้างอิงที่ประเทศไทยยึดถือสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนโดยตลอด คดีจึงมีมูลว่าการกระทำดังกล่าวอาจทำให้มีความเสียหายต่อประเทศชาติ ประชาชน รวมถึงผู้ฟ้องคดี ให้ได้รับความเสียหาย อันเป็นความเสียหายที่ยากต่อการเยียวยาภายหลัง ศาลปกครองกลางจึงมีคำสั่งห้ามมิให้ รมว.ต่างประเทศและ ครม.ดำเนินการใดๆที่เป็นการอ้าง หรือใช้ประโยชน์จากมติ ครม.ที่เห็นชอบกับคำแถลงการณ์ร่วม

สอง คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 6-7/2551 เมื่อวันที่ 8 ก.ค.2551 ซึ่งได้วินิจฉัยชี้ขาดคำแถลงร่วมไทย-กัมพูชา ว่าเป็นหนังสือที่ต้องได้รับคำเห็นชอบจากรัฐสภาหรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้ 1.คำแถลงการณ์ร่วมฉบับดังกล่าว เป็นหนังสือสัญญาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 2.คำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว เป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาตามมาตรา 190 หรือไม่ ประเด็นนี้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 2 ประการ หนึ่ง กรณีเป็นหนังสือสัญญามีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าแม้แถลงการณ์ร่วมฉบับนั้นไม่ปรากฏสาระสำคัญชัดเจนว่ามีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาเอกสาร รวมถึงแผนที่แนบท้ายที่จัดทำโดยกัมพูชาเพียงฝ่ายเดียว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแผนที่ดังกล่าว ได้อ้างถึงพื้นที่เอ็น 1 เอ็น 2 และเอ็น 3 โดยไม่กำหนดขอบเขตที่ชัดเจนว่าครอบคลุมพื้นที่เท่าใด ซึ่งเป็นการสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในอาณาเขตของประเทศไทย อันเป็นปัญหาที่ละเอียดอ่อน และอาจทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างประเทศในภายภาคหน้าได้ สอง มาตรา 190 วรรคสองก็เขียนไว้ว่าหนังสือสัญญาใดๆ มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการที่กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นข้อโต้เถียงเรื่องเส้นเขตแดน ทั้งเป็นประเด็นที่มีความแตกต่างด้านสังคมการเมืองมาโดยตลอด การที่ รมว.ต่างประเทศได้เจรจากับกัมพูชา ก่อนลงนามแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว พึงเล็งเห็นได้ว่า หากลงนามแถลงการณ์ร่วมไป อาจก่อให้เกิดการแตกแยกทางความคิดและเกิดวิกฤตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกัมพูชา อันมีผลกระทบต่อความมั่นคงและสังคมอย่างกว้างขวาง

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า ความเห็นในการวินิจฉัยของกรรมการเสียงข้างมากต่อกรณีนายนพดล การลงนามในแถลงการณ์ร่วมเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อไปคือผู้ถูกกล่าวหามีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ความเสียหายที่เกิดขึ้นมี 2 อย่าง 1.ความเสียหายต่อประเทศไทยอาจมีบทเปลี่ยนแปลงโดยคำแถลงการณ์ร่วมที่นายนพดลลงนาม และ 2.ความเสียหายต่อความมั่นคงประเทศที่ถูกกระทบอย่างกว้างขวางโดยแถลงการณ์ร่วมนี้ หลังศาลรัฐธรรมนูญตีความความมุ่งหมายของมาตรา 190 โดยให้รวมถึงหนังสือสัญญา “ที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต” ของประเทศ เนื่องจากสภาวะที่ศาลเรียกว่า “การสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย” นอกจากนี้นายนพดลยังดำเนินการลักษณะปิดบังอำพราง ทั้งที่เสนอเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา แต่กลับกำชับมิให้หน่วยงานอื่นยกเว้นกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แถลงข่าว

“และยังมีพยานหลักฐานแสดงว่านายนพดลมีมูลเหตุจูงใจอื่นแอบแฝงอยู่ ว่าจะให้ฝ่ายบริหารดำเนินการได้โดยปราศจากการตรวจสอบของรัฐสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่านายนพดลรู้อยู่แล้วถึงความเสียหายที่เกิดจากสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทย และผลกระทบทางสังคมที่จะเกิดขึ้นจากการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีเจ้าหน้าที่ชี้ให้เห็นถึงผลเสียเรื่องนี้แต่นายนพดลไม่ฟัง จึงมีการวิพากษ์กันอย่างกว้างขวางโดยนักวิชาการ นักการเมือง ตลอดจนสื่อมวลชน แต่คำวิพากษ์ดังกล่าวกลับถูกนายนพดลตอบโต้อย่างรุนแรง”

นายกล้านรงค์ กล่าวว่า พยานหลักฐานดังกล่าวมีดังนี้ 1.สำนักบันทึกกองเขตแดน กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ลงวันที่ 20 พ.ค.2551 ที่ให้ความเห็นว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกก่อนการเจรจา จะมีผลต่อน้ำหนักต่อรองของฝ่ายไทย 2.สำเนาหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ลงบทความของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล 3.สำเนาถอดเทปการประชุม สมช.ครั้งที่ 2/2551 ที่นายนพดลเสนอในที่ประชุมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อ่อนไหวต่อมวลชนทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะ จ.ศรีสะเกษและประเทศกัมพูชา อีกทั้งเรื่องนี้เกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปของกัมพูชาที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ค.2551 ทั้งนี้ นายนพดลยังรับทราบคำกล่าวของนายสมัครที่ขอให้นำผลประโยชน์ของประเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล 4.เทปการออกรายการโทรทัศน์วันที่ 16 มิ.ย. 2551 ของนายนพดล และ 5.เทปคำปราศรัยของ นายประพันธ์ คูณมี บทเวนทีพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2551 ซึ่งออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี

“จากสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตของประเทศไทยและผลกระทบทางสังคมของการลงนามในร่างคำแถลงการณ์ร่วมตลอดจนความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการลงนามดังกล่าวทำให้เห็นได้ชัดเจนว่า นายนพดลกระทำไปโดยรู้อยู่แล้วเป็นอย่างดีในความเสียหายดังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงถือว่าในการปฏิบัติหน้าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของนายนพดล กระทำไปเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศไทยและคนไทยทุกคน นายนพลดจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157”

ส่วนกรณีของนายสมัคร ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ต้องทราบดีถึงความอ่อนไหวของประเด็นซึ่งจะทำให้เกิดสภาวะสุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบในเรื่องอาณาเขตและวิกฤตการณ์ทางสังคม อนึ่ง นายสมัครยังเป็นฝ่ายขอให้นายนพดลดำเนินการเพื่อช่วยเหลือนายฮุน เซ็น ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ค. 2551 ซึ่งการนำผลประโยชน์ของประเทศชาติมาใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงของพรรคการเมืองต่างประเทศอย่างนี้ หากมองถึงสถานะของนายสมัครที่ได้รับความไว้พระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว เห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่จะมีนักการเมืองไทยคนใดจะมีความคิดเช่นนี้ นายสมัครจึงมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับนายนพดล โดยให้ถอดถอนบุคคลทั้ง 2 ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ด้วย

สำหรับผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นรัฐมนตรีซึ่งเข้าประชุม ครม. เนื่องจากการดำเนินการของนายนพดลเป็นลักษณะงานวิชาการและทางเทคนิค การรับรู้ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ ที่นายสมัครและนายนภดลแจ้งต่อที่ประชุม ครม.ในเวลาอันสั้นจึงไม่น่าจะรู้ถึงข้อเท็จจริง ผู้ถูกกล่าวหาเหล่านี้จึงไม่มีเจตนากระทำความผิดร่วมกับนายสมัครและนายนพดล และให้ยกคำร้องในส่วนของข้าราชการด้วย

ภายหลังการแกลง ผู้สื่อข่าวถามว่าผู้ที่ถูกชี้มูลมีโทษอย่างไรบ้าง นายวิชัย กล่าวว่า มีโทษทั้งคดีอาญาและถอดถอน นอกนั้นเห็นว่าให้คำร้องตกไป

ถามว่าจะดำเนินการส่งอัยการได้เมื่อใด นายกล้านรงค์ กล่าวว่า หลังจากนี้เราจะรับรองมติ เมื่อเสร็จแล้วจะนำสำนวนให้กรรมการป.ป.ช.ทั้ง 9 ลงนาม และจะต้องส่งไปยังประธานวุฒิสภา และอัยการสูงสุดด้วยในเรื่องของการดำเนินคดีอาญา ส่วนวุฒิสภา จะเป็นเรื่องของการถอดถอน รวมทั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยต้องส่งสำนวนไปทั้งหมด

เมื่อถามว่ามติของป.ป.ช.ยึดหลักของศาลรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายวิชัย กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญตีความคำว่า หนังสือสัญญาอาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขต ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเกิดจากภาวะซุ่มเสี่ยงต่อผลกระทบของอาณาเขต ฉะนั้นจึงเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต การวินิจฉัยว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 (นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี)และผู้ถูกกล่าวหาที่ 12 (นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ) มีเจตนาหรือไม่ เช่นว่าผู้ถูกล่าวหาทั้ง 2 รู้สถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงของอาณาเขตแดนไทยหรือไม่ และก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงหรือไม่

นายกล้านรงค์ ตอบในคำถามดังกล่าวว่า เราเอาคำวินิจฉัยของศาลปกครองมาพิจารณาประกอบ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผูกพันกับทุกองค์กร

ถามว่าการนำหลักฐานมาจากผู้กล่าวหาฝ่ายเดียวใช่หรือไม่ นายวิชัย กล่าวว่า เรานำหลักฐานทั้งของฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายเดียวกับนายนพดล โดยเฉพาะหลักฐานจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่นายนพดล ได้เคยแถลง และฟังคำกล่าวของนายสมัคร กรณีที่ขอนายนพดล ให้ความช่วยเหลือกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีการเลือกตั้ง

นายกล้านรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เอกสารหลักฐานทั้งหมดเอามาจากกระทรวงการต่างประเทศ สอบปากคำเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศทั้งหมด และเอาเอกสารที่เกี่ยวข้องมีดูแล้วจึงจะวินิจฉัย เราดูตามการดำเนินการว่ามีขั้นตอนอย่างไร

ส่วนที่พรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะทราบว่าป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช และนายนพดล ปัทมะ แต่ 26 รัฐมนตรีและข้าราชการพ้นผิดว่า ตนยังไม่รู้ผล แต่เมื่อคืนฝันดี ฝันว่าหลุด 6 ต่อ 3 จากนั้นได้เดินขึ้นลิฟต์เพื่อเข้าร่วมประชุมกับพรรค อย่างไรก็ตาม ภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยซึ่ง ป.ป.ช.ได้มีมติออกมาแล้วนั้น ร.ต.อ.เฉลิมปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ

ด้านนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ปฎิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทางโทรศัพท์ภายหลังทราบผลการชี้มูลของ ป.ป.ช. แต่จะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 30 ก.ย. เวลา 10.00 น.ที่พรรคเพื่อไทย
กำลังโหลดความคิดเห็น