xs
xsm
sm
md
lg

“กษิต-อลงกรณ์” จ้อไกลจากสหรัฐฯ ฟุ้ง “มาร์ค” เรียกความเชื่อมั่น ศก.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“กษิต-อลงกรณ์-ปณิธาน” จ้อภารกิจนายกฯ ในสหรัฐฯ วันแรก ผ่าน Web Conference ถึงไทย “อลงกรณ์” ฟุ้งนักธุรกิจ นักลงทุน คนสหรัฐฯ เชื่อมั่นนโยบายเศรษฐกิจ-การเมืองไทยมากขึ้นหลัง ได้ฟังเต็มหูจากปากนายกฯ เอง โวผ่าน 400 โครงการตามนโยบายไทยเข้มแข็ง ทำการค้าไทย-สหรัฐฯ ฟื้นตัว เอาใจสุดลิ่มอ้างนักธุรกิจชื่มชมนายกฯ ผู้นำรุ่นใหม่ ยันเจตนาแก้รัฐธรรมนูญชัดเจนหลังกลับถึงไทยเดินหน้าทันที ขณะที่ “กษิต” ปัดหารือนายกฯ หลังเหตุชาวบ้านปะทะ พธม.ปมเขาพระวิหาร บอกชี้แจงแล้วเป็นสิบ แต่หากยังข้องใจพร้อมตอบ



วันนี้ (22 ก.ย.) ที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐมนตรี เวลา 08.30 น. นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายปณิธาน วัฒนยากร ได้ร่วมกันแถลงข่าวผ่านการถ่ายทอดทาง Web Conference จากสหรัฐอเมริกา เวลาในประเทศ 21.30 น. ในภารกิจวันแรกของการเดินทางไปการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 64 ณ นครนิวยอร์ก และการประชุมผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ (G20) ที่เมืองพิตส์เบิร์ก ในระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นการออกรายการแทนนายกฯ ที่ติดภารกิจงานเลี้ยงรับรองผู้ค้าผู้ลงทุนรายใหญ่ในไทย

โดยนายปณิธานกล่าวว่า วันที่ 23 ก.ย.เวลา 10.00 น. นายอภิสิทธิ์จะคอนเฟอเรนซ์พบปะสื่อมวลชนอย่างแน่นอน ก่อนที่จะเดินทางไปเปิดงานการประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ และเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยโคลัมเบียต่อไป จากนั้นนายกฯ จะโทรศัพท์ให้สัมภาษณ์สดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ในเวลา 19.00 น. นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์จะให้สัมภาษณ์สถานีโทรทัศน์ FOX NEWS สถานีโทรทัศน์ทางสหรัฐอเมริกา ในเวลา 18.00 น.

นายอลงกรณ์แถลงว่า ทันทีที่นายกฯ ลงจากเครื่องบินไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ปฏิบัติภารกิจทันที คือพบปะนักลงทุน ผู้จัดการกองทุน และบริษัทหลักทรัพย์ และได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนรายใหญ่ระดับท็อปเทนของโลก โดยนายกฯ ได้สร้างความเชื่อมั่น เพราะอยู่ในภาวะการณ์ขาขึ้นทางเศรษฐกิจ และได้รับความสนใจโดยเฉพาะเอสพี 2 หรือแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง เพราะเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยจำนวน 1.4 แสนล้านล้านบาท เพราะนักลงทุนต้องการทราบทิศทางของรัฐบาลในการฟื้นฟูและสร้างความเข้มแข็งในการลงทุนของประเทศว่าเน้นอะไรบ้าง โดยนายกฯ ชี้แจงสถานการณ์ปัจจุบันด้านการลงทุนระยะยาว คือ 1.การลงทุนด้านการศึกษา 2.การลงทุนด้านสาธารณสุข 3.การลงทุนด้านคมนาคมขนส่งและลอจิสติกส์ 4.การลงทุนด้านชลประทานเพื่อการเกษตร 5.การลงทุนด้านการท่องเที่ยว 6.การลงทุนด้านเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยเรื่องนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ลงทุนในไทยลำดับต้นๆ

นายอลงกรณ์กล่าวว่า นายกฯ ได้ปราศรัยต่อ 40 บริษัทผู้นำเข้าของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะปีที่ผ่านมามีการนำเข้าสินค้าไทย 6 แสนกว่าล้านบาท ถือเป็นผู้ส่งออกสินค้ามายังไทยในลำดับที่ 3 ฉะนั้น สหรัฐอเมริกาคือคู่ค้าสำคัญของไทย แต่เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาได้รับผลกระทบ ตัวเลขการนำเข้าสินค้าไทยจึงลดลง 25 เปอร์เซ็นต์ใน 7 เดือนแรก หากเทียบกับตัวเลขในไตรมาสแรกของปีนี้ถือว่าดีขึ้น และสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวแล้ว และนายกฯ ได้กล่าวอีกว่า ไทยผ่านจุดต่ำสุดของวิกฤตเศรษฐกิจไทยแล้ว ตัวเลขดัชนี้ชี้วัดทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นทุกตัว เชื่อว่าสถานการณ์ขาขึ้นแบบนี้จะทำให้การค้าระหว่างไทย-สหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัว โดยในปีหน้าจะมีการนำเข้าสินค้าไทยเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่นายกฯ ได้สร้างความเชื่อมั่นและทำให้เกิดความชัดเจน

ย้ำนายกฯ กลับถึงไทยลุยแก้ รธน.
นายอลงกรณ์กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การเมืองที่มีข้อกังวลและมีคำถามว่ารัฐบาลมีแนวทางอย่างไร นายกฯ ชี้แจงว่า วันนี้สถานการณ์คลี่คลายดีขึ้น และหลังกลับจากสหรัฐอเมริกานายกฯ จะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลยังดำเนินนโยบายสมานฉันท์ปรองดองคู่กันไป รัฐบาลนี้ทำงาน 9 เดือน สถานการณ์ก็ดีขึ้น แม้จะมีการชุมนุมบ้างแต่สหรัฐอเมริกาก็เข้าใจว่าเป็นสิทธิของประชาชนในการชุมนุมแสดงความเห็นที่แตกต่าง โดยนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลใช้แนวทางสันติวิธีในการดูแล ทำให้สหรัฐอเมริกาพอใจเรื่องนี้

โอ่ชม “มาร์ค” ผู้นำรุ่นใหม่

นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ สอบถามว่า รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ประสบความสำเร็จในการเจรจามากน้อยเพียงใด นายอลงกรณ์กล่าวว่า คิดว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ คือ 1.นายกฯ เป็นที่ชื่นชมว่าเป็นผู้นำรุ่นใหม่ มีการศึกษาดี มีวิสัยทัศน์ เป็นคนเก่ง และเป็นนักประชาธิปไตย เพราะได้พิสูจน์ตัวเองในวิถีทางการเมืองมา 17 ปี สหรัฐอเมริกาเป็นสังคมข้อมูลข่าวสาร บริษัทการลงทุนต่างๆ วิเคราะห์ความเสี่ยงและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น จึงเชื่อมั่นในความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ จนเกิดความเชื่อมั่นประเทศไทย 2.ความเชื่อมั่นต่อการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้ นักลงทุนเห็นว่าไทยฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจเร็วกว่าที่คิด และตรงกับตัวเลขข้อเท็จจริงที่ปรากฏ เช่น ดัชนีการผลิตภาคอุตสาตกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค หรือการส่งออกนั้น ตัวเลขทุกส่วนเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทคู่ค้าของไทยมีความเชื่อมั่น และยิ่งทราบแผนลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการไทยเข้มแข็งแล้วจึงเห็นว่าเป็นการเดินมาถูกทางแล้ว โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ถือเป็นสิ่งที่ควรทำมานานแล้วและรู้สึกดีใจที่รัฐบาลเดินหน้าในโครงการนี้

โชว์ข้าวไทยขายสหรัฐฯ กิโลละ 340

นายวัชระถามว่า ตอนนี้มีการให้ความสนใจด้านการลงทุน หรือมีการลงนามที่จะมาลงทุนในไทยบ้างหรือไม่ นายอลงกรณ์กล่าวว่า ภารกิจของนายกฯ ในครั้งนี้ไม่มีการลงนามใดๆ เป็นเพียงโรดโชว์ที่สร้างความเชื่อมั่น เพื่อสร้างประเด็นข้อมูลข่าวสารและความมั่นใจด้านเศรษฐกิจ ส่วนภารกิจวันที่ 23 ก.ย.นั้น นายกฯ มอบให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการด้านนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ โดยจะพบดีไซเนอร์ชาวไทยที่ประสบความสำเร็จมากในระดับโลกและอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก นอกจากนั้นจะพบสถาบันแฟชั่นระดับโลกเพื่อต่อยอดความร่วมมือของนโยบายดังกล่าว

รมช.พาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะมีการพบปะกับผู้นำเข้ารายใหญ่ทางด้านอาหารที่มีอยู่ทั่วสหรัฐฯ และกลยุทธ์การเจาะตลาด ที่นอกเหนือจากการเข้าตามชายฝั่ง และสินค้าฮาลาล ส่วนสินค้าเกษตรฯ ร้านค้าที่ขายผลิตภัณฑ์ในสหรัฐฯ ตนได้ไปชอปปิ้งพบว่าข้าวของไทยจากสุรินทร์มีทั้งข้าวหอมมะลิ และข้าวขาวธรรมดา ซึ่งนายกฯและกระทรวงพาณิชย์ต้องการเพิ่มมูลค่าข้าวของเกษตรกรไทย ดังนั้น การเพิ่มมูลค่าให้กับส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ กระทรวงพาณิชย์ได้รับนโยบายนี้มา ทำให้ขายได้ถึงกิโลกรัมละ 340 บาท การพบปะกับผู้นำเข้ารายใหญ่ และการขายในรูปแบบของซูเปอร์มาร์เกตเป็นภารกิจหนึ่งที่จะพบ และการบริหารจัดการคลังสินค้าท่าเรือของผู้นำเข้ารายใหญ่ด้วย เราทำเรื่องของการเพิ่มมูลค่าตามนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งในเรื่องของการออกแบบ การจดลิขสิทธิ์เครื่องหมายการค้า เพิ่มมูลค่าทางการค้า โดยนายกฯ ได้พูดถึงเรื่องของยางพาราด้วย ได้พูดกับนักลงทุน และผู้นำเข้าว่า ยางพารางสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ 4 ถึง 5 เท่า จะทำให้มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย

“กษิต” ชี้นายกฯ เดินเศรษฐกิจ-การเมืองคู่ขนาน

ขณะที่ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้ปฏิบัติ 3 ภารกิจโดได้พบกับบริษัทตลาดหลักทรัพย์ บริษัทกองทุน และพบกับกลุ่มบริษัทที่นำเข้าสินค้าไทย ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มได้พบนายกฯ ได้ย้ำ คือ เรื่องของภาพลักษณ์ และความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย โดยแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยที่ได้ผ่านรัฐสภา และได้เริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจการค้าและการลงทุน และการท่องเที่ยวของไทย และสิ่งที่คู่ขนานกับเศรษฐกิจนายกฯ ได้ย้ำก็คือ เสถียรภาพทางการเมืองของไทย ผ่านตามครรลองของไทยคือ ผ่านรัฐสภา และประเด็นปัญหาความเห็นที่แตกต่าง ความขัดแย้งทางด้านการเมืองนั้นก็ได้มีคณะกรรมสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมือง ที่มีคณะทำงาน 40 ท่านที่รัฐสภาได้แต่งตั้ง และได้มีข้อเสนอมา 6 ประเด็น และเมื่อวันที่ 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมาก็ได้มีการอภิปรายอย่างกว่างขวางในสภา

นายกษิตกล่าวต่อว่า เมื่อนายกฯเดินทางกลับประเทศไทย จะให้พรรคการเมือง ส.ส. ส.ว.ได้เลือก คือจะพิจารณาข้อเสนอในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร จะเป็นสัมมัชชาแห่งชาติ จะเป็นพรรคการเมืองว่ากันในสภา หรือจะมีคณะกรรมการพิเศษ เป็นการตอกย้ำให้กับนักลงทุน นักธุรกิจต่างชาติเห็นว่า เราเพียรพยายามแก้ไขปัญหาการเมืองด้วยสันติวิธี ด้วยการเจรจา และเป็นการสะท้อนขีดความสามารถของรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ว่าสามารถดำเนินการ 2 อย่างควบคู่กันไปได้ คือ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ และเสถียรภาพทางการเมือง การแก้ไขปัญหาทางการเมือง ด้วยสันติวิธี ด้วยการเจรจา โดยทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม สุนทรพจน์หรือเป้าหมายการกล่าวต่างๆ ที่ผ่านมา กลุ่มนักธุรกิจ 3-4 กลุ่มได้ตระหนักดี และเชื่อว่าจะมีความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลและตัวประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

“มาร์ค” จ่อจ้อสุนทรพจน์ไทยหลังวิกฤต

รมว.ต่างประเทศ กล่าวต่อว่า ในวันที่ 23 ก.ย. นายกฯ จะมีภารกิจ 3 เรื่องด้วยกัน คือ 1.การประชุมสุดยอดผู้นำสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องโลกร้อน ที่สหประชาชาติ 2.การกล่าวต่อกลุ่มผู้ลงทุนหรือบริษัทที่ได้มีการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะนักลงทุนรายใหม่ที่จะไปลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการบริหารจัดการของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรมของไทย ส่วนที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา นายกฯ จะไปกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อประเทศไทยภายหลังวิกฤตการณ์ การที่จะเสริมสร้างสังคมประชาธิปไตยในประเทศไทย ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หลังจากนั้นจะสัมภาษณ์สื่อมวลชนสหรัฐอเมริกา 3 สำนัก และอีกหนึ่งภารกิจคือการพบผู้แทนชุมชนชาวไทย ประมาณ 300 คนที่จะมาจากนครนิวยอร์ก ชิคาโก ลอสแองเจลิส และกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อตอบข้อข้องใจของคนไทยเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นต่อคนไทยที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาถึงความเป็นไปของสังคมไทย และสิ่งที่เราจะเพียรพยายามในการสร้างความสามัคคี และความเจริญก้าวหน้า นอกจากนี้ นายกฯ จะออกรายการ “ที่นี่ไทยยูเอสเอ” พูดกับทางสื่อที่กรุงเทพฯ โดยตรง ในวันที่ 23 ก.ย.นี้

นายกฯ เตรียมพบเลขาฯ ยูเอ็น

นายกษิตกล่าวต่อว่า สำหรับการพูดที่วิทยาลัยโคลัมเบียก็จะหนักไปทางการเมือง ส่วนการพูดกับนักธุรกิจจะสอบถามเสถียรภาพทางการเมืองด้วย เพราะฉะนั้น เรื่องเศรษฐกิจ หรือการเมือง คล้ายเป็นคู่แฝดหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหลังจากนี้นักธุรกิจ หรือนักลงทุนได้ฟังนายกฯชี้แจงแล้วก็เข้าใจมากขึ้น เพราะได้มีการติดตามรัฐบาลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา และการที่นายกฯ ได้มาปรากฏตัวพูดกับนักธุรกิจโดยตรง เท่ากับเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นที่ได้เริ่มมีต่อประเทศไทยแล้ว และการที่เขาได้มาปรากฏตัวกันเป็นร้อยของนักธุรกิจและนักลงทุน เท่ากับว่าเขาสนใจเกี่ยวกัปประเทศไทย และนายกฯได้พูดถึงการร่วมตัวของอาเซียนด้วย โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา และในปีนี้ไทยเป็นประธานอาเซียน ได้ชี้ให้เห็นว่าอาเซียนจะแปรสภาพจากสมาคมเป็นประชาคม จะมีพลเมืองเกือบ 600 ล้านคน และเป็นตลาดเดียว ก็จะทำให้ศักยภาพการเป็นแหล่งตลาด การทำมาหากินให้กับต่างประเทศ โดยเฉพาะในวงการธุรกิจสหรัฐอเมริกานั้น ศักยภาพมหาศาล

รมว.ต่างประเทศ กล่าวต่อว่า สำหรับงานที่สำคัญในกรอบของสหประชาชาติ คือ พบเลขาธิการสหประชาชาติ ผู้นำของประเทศลิเบีย และพบกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในงานเลี้ยงรับรองในช่วงค่ำ และมีกำหนดการพบกับผู้นำหลายประเทศก็นัดหมายกันอยู่ แต่ยังไม่ลงตัว ทั้งญี่ปุ่น ออสเตรเลีย

“กษิต” ปัดพบ พธม. อ้างคุย มทภ.2 แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกษิตได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกรณีที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯกับชาวบ้านภูมิซรอลหรือไม่ นายกษิตกล่าวว่า ไม่มีการพูดคุย แต่หากมีอะไรตนก็มีหน้าที่ชี้แจง และกระทรวงการต่างประเทศ กรมสารนิเทศ กรมเอเชียแปซิฟิก หากมีประเด็นปัญหาอะไรก็สามารถให้ข้อมูลต่อสื่อหรือประชาชนทั่วไปได้ เมื่อถามว่า ได้มีการสอบถามหรือประสานกับกลุ่มพันธมิตรฯ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นายกษิตกล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรฯ ได้พบกับแม่ทัพภาคที่ 2 แล้ว ได้รับการชี้แจงหมดแล้ว นอกจากนี้หากมีประเด็นปัญหาอะไร กรมสารนิเทศ หรือโฆษกต่างประเทศนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝ่ายการเมือง ได้ให้สัมภาษณ์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นสิบๆครั้งแล้ว

เมื่อถามถึงมีความกังวลต่อกรณีที่ ป.ป.ช.จะชี้มูลกรณีปราสาทพระวิหาร เพราะอาจจะกระทบกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ในกระทรวง นายกษิตกล่าวว่า ในฐานะเพื่อนข้าราชการ ส่วนใหญ่เคยเป็นลูกน้องตน ในฐานะเคยอยู่บ้านเดี่ยวกันต้องมีความห่วงใยเพราะเคยเป็นลูกน้องมาทั้งนั้น ส่วนกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไรก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ก็ให้การตัดสินเกิดขึ้นก่อน ส่วนจะช่วยเหลืออย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

อ้าง 45 พันพันล้านเหรียญยืนยัน

ขณะที่ นายไชยา ยิ้มวิไล ที่ปรึกษาทีมโฆษกรัฐบาล ได้สอบถามว่า ความสนใจของนักลงทุน และผู้แทนประเทศต่างๆที่ร่วมประชุมยูเอ็นมีความห่วงใยมากแค่ไหนในสถานการณ์เมืองไทย และความเชื่อมั่นของบรรดานักลงทุน คนอเมริกัน ผู้ร่วมประชุมยูเอ็น มีความเชื่อมั่นต่อนายกฯอภิสิทธิ์มากน้อยขนาดไหน นายกษิตกล่าวว่า ระดับความสนใจ ความห่วงใยทางด้านการเมืองของไทยมีอยู่มาก เพราะว่ามันกระทบกระเทือนต่อการลงทุน แต่สิ่งที่รัฐบาลไทยดำเนินการตลอด และนายกฯ อภิสิทธิ์ชี้แจงกับสื่อต่างประเทศ และผู้แทนระดับสูงภาคธุรกิจของสหรัฐอเมริกา

“วันนี้ผมค่อนข้างมั่นใจว่าได้เสริมสร้างความเชื่อมั่นต่อทิศทางของประเทศ และเสถียรภาพที่เพิ่งจะมีทั้งเศรษฐกิจ และการเมือง อยากจะมาฟังจากปากนายกฯ ด้วยตัวเอง และวันนี้เขาได้ฟังเต็มหู ตอบคำถามชัดเจน โดยเฉพาะทิศทางจะไปทิศไหนอย่างไร เช่นการลงทุนใหญ่หลวงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเชื่อมต่อในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน พัฒนาคน โดยเฉพาะการศึกษา สุขภาพ คุณภาพชีวิต ทุกอย่างมีโครงการถึง 400 โครงการ เป็นเงิน 45 พันพันล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา ตัวเลขาก็ออกมาชัด ตรวจสอบได้ จับต้องได้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลลงทุน รัฐบาลมีเงิน ไม่ใช่พูดลอยๆ หาเงินทั่วประเทศ ความพร้อมมีแน่นอน และไม่ได้พูดปากเปล่า สถิติมีกระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ วันนี้มาฟังจากนายกฯ ข้อสงสัยพวกนี้” นายกษิตกล่าว





กำลังโหลดความคิดเห็น