xs
xsm
sm
md
lg

พ่อค้าอัดยับพณ.ไร้สมอง ปูดข้าวไทยปนแคดเมียม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-ผู้ส่งออกโวย “พาณิชย์” อ่อนหัด ปูดข่าวข้าวไทยปนเปื้อนแคดเมียม อัดยับมีปัญหาอะไรควรจะไปคุยกันเองภายในก่อน ไม่ใช่ให้ข่าวผ่านสื่อ เพราะจะส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อข้าวที่จะเกิดความไม่มั่นใจ และอาจมีมาตรการตรวจสอบเข้มเพิ่มขึ้น เหมือนกรณีญี่ปุ่นมีข่าวตรวจพบสารอัลฟาท๊อกซิน กว่าจะเคลียร์จบแทบตาย ด้าน “พาณิชย์” ปัดไม่มีเจตนาทุบราคาข้าวแต่ยอมรับอาจส่งผลกระทบต่อราคาบ้าง ระบุที่ทำไปแค่ต้องการให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหาที่ซุกใต้พรมมานาน

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยถึงกรณีที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาระบุว่าข้าวไทยมีปัญหาสารแคดเมียมปนเปื้อนว่า วันนี้จะยังไม่มีผลกระทบใดๆ แต่เชื่อว่าเร็วๆนี้ น่าจะมีการตรวจสอบการนำเข้าข้าวจากไทย โดยเฉพาะผู้นำเข้าจากตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น สหรัฐฯ และยุโรปที่จะมีความกังวลในส่วนของข้าวหอมมะลิ และญี่ปุ่นในส่วนข้าวเหนียวเพราะประเทศเหล่านี้มีความเป็นห่วงในเรื่องปัญหาสารตกค้างเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

“เห็นว่าหากมีปัญหาตรงจุดใด รัฐบาลก็ควรเข้าไปแก้ไขปัญหาให้กระจ่างก่อนที่จะนำเสนอสู่สาธารณะชน เพราะตลาดปลายทางที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงอาจเกิดความวิตกกังวล และนำเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขการนำเข้าข้าวจากไทยจนเป็นเหตุให้ต้องมีการตรวจสอบการนำเข้าที่เข้มงวดขึ้น และนำไปสู่การเพิ่มต้นทุนของผู้ส่งออก แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ภาพลักษณ์ข้าวไทยจะเสียหายจากการที่เกิดความเข้าใจผิด”นายชูเกียรติกล่าว

เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้ออกมาให้ข่าวผ่านสื่อมวลชนว่า ข้าวไทยที่ทำการเพาะปลูกในพื้นที่แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก พื้นที่ประมาณ 13,000 ไร่ มีการปนเปื้อนสารแคดเมียมเกินไปกว่ามาตรฐานที่กำหนด และจะเป็นอันตรายหากนำมาบริโภค โดยจะเสี่ยงที่จะเกิดโรคอิไตอิไต ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดปัญหาปวดกระดูกและกรวยไตอักเสบและหากหลุดรอดออกไปขายต่างประเทศ จะทำให้ชื่อเสียงข้าวไทยเสียหาย

นายชูเกียรติกล่าวว่า ปกติการส่งออกข้าวไทยไปต่างประเทศ จะมีขบวนการตรวจสอบที่เข้มงวด และสามารถยืนยันได้ว่าข้าวไทยมีความปลอดภัย และปลอดสารปนเปื้อนต่างๆ แต่การมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น น่าจะมีการคุยกันระหว่างหน่วยงานที่รับผิดชอบก่อน แทนที่จะออกมาให้ข่าว หรือถ้าจะเป็นข่าวที่สื่อไปหามาเองก็น่าจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่นี้รัฐเป็นฝ่ายออกมาให้ข่าวเองไม่น่าจะเป็นผลดี เพราะเรื่องนี้มีความอ่อนไหว และไม่น่าจะเป็นผลดีกับทางตลาดยุโรป ญี่ปุ่น สหรัฐฯ

ก่อนหน้านี้ มีข่าวว่าข้าวไทยที่ส่งไปตลาดญี่ปุ่นปนเปื้อนสารอัลฟาท๊อกซิน ทำให้ทั้งรัฐและเอกชนต้องดำเนินการสร้างความเชื่อมั่นผ่านการนำคณะจากญี่ปุ่นมาตรวจสอบการผลิตถึงในไทย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลานานกว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมาได้ ดังนั้นเมื่อข่าวการปนเปื้อนสารแคดเมียมถูกนำเสนอออกไปตลาดญี่ปุ่นจะต้องมีการสอบถามเข้ามาอีกอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนผลกระทบต่อตลาดภาพรวมขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ โดยเฉพาะผลกระทบด้านราคาเพราะปัจจัยที่จะกระทบต่อราคามีหลายส่วนต้องรอการประเมินอีกครั้ง แต่ในเบื้องต้นภาวะตลาดในขณะนี้ เชื่อว่าช่วง ก.ค.-ส.ค. ผู้ซื้อยังรอดูสถานการณ์หลังจากที่ภาวะราคารวมผันผวน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ในการประมูลข้าวขาว 25% ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ปริมาณ 7.5 หมื่นตันผู้ส่งออกไทย 4 รายชนะการประมูล หลังจากที่เวียดนามเสนอราคาสูงกว่าไทยมากถึงตันละ 100 เหรียญสหรัฐ ทำให้ราคา (ซีไอเอฟ) ของไทยที่ชนะประมูลอยู่ที่ตันละ 486 เหรียญสหรัฐ ขณะที่เวียดนามเสนอราคาตันละ 500 เหรียญสหรัฐ

นายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเปิดเผยข้อมูลสารแคดเมียมปนเปื้อนข้าว เพื่อต้องการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่ซุกไว้ใต้พรมมานานให้ลุล่วงโดยเร็ว ซึ่งพอผลตรวจสอบจากบริษัทห้องปฏิบัติการกลาง (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2552 ออกมา ก็จึงรีบนำข้อมูลเผยแพร่ โดยไม่มีเจตนาที่จะทำให้กระทบต่อราคาข้าวและไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องต่อธุรกิจข้าว

“ที่จริงราคาข้าวขึ้นหรือลงน่าจะมาจากสาเหตุอื่นมากกว่าเรื่องนี้ และถ้าราคาลงจริงก็น่าจะเป็นระยะสั้น แต่ระยะยาวน่าจะเป็นผลดีต่อประเทศ เพราะหากรอให้ต่างชาติตรวจเจอก่อน คงจะกระทบต่อภาพลักษณ์และการส่งออกไทยสูงกว่ามาก และขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ จะทำหนังสือเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติให้เข้ามาดูแลแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นด้วย”นายธนพรกล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ผ่านมากรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ตั้งงบประมาณ 24 ล้านบาท สำหรับใช้ตรวจสอบสาเหตุของการเกิดสารแคดเมียม ในต.แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก แต่ติดอุปสรรคในพื้นที่จนไม่สามารถดำเนินการได้ ประกอบกับนโยบายแก้ปัญหาในพื้นที่ขาดความต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านกลับไปขยายพื้นที่ปลูกข้าวกันมากขึ้น ดังนั้นหากรัฐบาลไม่เข้าไปแก้ไขอย่างเร่งด่วนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อวิถีชุมชน สุขภาพอนามัย และภาพลักษณ์การค้าของข้าวไทย และที่ผ่านมาในพื้นที่ ต.แม่ตาว อ.แม่สอด เคยเกิดกรณีพิพาทเกี่ยวกับสารเคมีปนเปื้อนมาแล้ว โดยรัฐบาลได้เข้าไปดำเนินการตรวจสอบการทำธุรกิจเหมืองแร่ ของบริษัท ผาแดง อินดัสทรี จำกัด (มหาชน)ว่าเป็นสาเหตุของการทำให้เกิดสารปนเปื้อนแคดเมียมหรือไม่

********ชง “อภิสิทธิ์”ตรวจคุณภาพข้าวนาปรังปี 51
วานนี้ (4 ส.ค.) นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบข้าว ว่า ที่ประชุมรับทราบที่จะเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพื่อพิจารณาผลการตรวจสอบคุณภาพข้าวนาปรัง ปี 51 ในสต๊อกของรัฐบาลหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งให้ตนและกระทรวงการคลังออกไปตรวจสอบข้อเท็จจริง

ทั้งนี้ พบว่าจากการตรวจสอบข้าวในจังหวัดนครสวรรค์และกำแพงเพชร ซึ่งมีกว่า 40 โกดังและคิดเป็นประมาณ 47% ของปริมาณสต๊อกข้าวที่มีอยู่ประมาณ 1.48 ล้านตัน เป็นข้าวที่มีคุณภาพดีเลิศทุกโกดังซึ่งตรงกับข้อมูลของผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว หรือเซอร์เวเยอร์ทั้งหมด ซึ่งจะส่งรายละเอียดทั้งหมดให้กระทรวงพาณิชย์เพื่อนำข้าวส่วนหนึ่งไปขายในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (ตลาดเอเฟท) จำนวน 3 แสนตันตาม มติ กขช.ครั้งล่าสุด ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถขายในราคาที่สูงกว่าข้าวขาว 5% แน่นอน

*******รอผลเทียบ ก.คลัง สอบข้าวนาปรัง 51
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า สำหรับการตรวจสอบคุณภาพข้าวพบว่าเป็นข้าวที่มีขนาดความยาวเกิน 7 มิลลิเมตร และแต่ละเมล็ดเป็นข้าวที่ผ่านการแปรสภาพแล้วยังอยู่ในสภาพที่ดีสมบูรณ์เต็มเมล็ดกว่า 80% ซึ่ง ถือว่าเป็นข้าวที่อยู่ในสภาพที่ดีมาก ดังนั้นจึงเชื่อว่าจะสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สูง

โดยก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ได้รายงานต่อที่ประชุม กขช.ว่าเป็นข้าวที่ เสื่อมคุณภาพมาก ทั้งที่เพิ่งรับจำนำและเก็บไว้ในสต๊อกของรัฐบาล จึงทำให้นายกฯต้องมอบหมายให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าไปตรวจสอบคุณภาพให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยรัฐบาลได้รับจำนำข้าวนาปรัง ปี 51 ประมาณ 2.2 ล้านตัน โดยได้เปิดประมูลไป 2 ครั้งในสมัยของรัฐบาลที่ผ่านมาและในปัจจุบัน จนปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 1.48 ล้านตัน
กำลังโหลดความคิดเห็น