“บิ๊กบัง”ยัน 19 ก.ย.52 ไร้เงื่อนไขปฏิวัติ เหตุประชาชน-กองทัพไม่เอาด้วย ย้ำเหตุยึดอำนาจ “ทักษิณ” 3 ปีก่อน เพราะสร้างปัญหาวิกฤติชาติตามเหตุผล 4 ข้อ ไม่เกี่ยวโดนย้าย พร้อมยืนยันไม่เคยบอก “ธรรมรักษ์”ล่วงหน้า แย้มสนใจเล่นการเมือง อย่างน้อยได้ขัดขวางคนโกงชาติ เปิดเงื่อนไขนั่ง หน.มาตุภูมิ ต้องมีนโยบายสมานฉันท์ ซื่อสัตย์สุจริต
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ให้สัมภาษณ์รายการ News Hour ทาง เอเอสทีวี วันที่ 18 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึงความเป็นไปได้ของการเกิดรัฐประหารในช่วงวันที่ 19 ก.ย.ซ้อรอยกับเมื่อ 3 ปีที่แล้วว่า สถานการณ์ปัจจุบันไม่สอดคล้องกับคราวที่แล้ว ปัจจัยที่จะนำไปสู่ความมีเหตุผลก็ไม่เท่ากัน เมื่อก่อนมันมีฝ่ายเดียวประชาชนก็ก็มีฝ่ายเดียว แต่วันนี้ประชาชนมีหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายต่างก็ไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าทำ คนที่ทำนั่นแหละมีปัญหา การที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.บอกว่าจะไม่มีการปฏิวัติ เพราะถ้าทำแล้วจะทำให้เกิดความเสียหายนั้น หมายความว่ากองทัพจะเสียหาย
พล.อ.สนธิ กล่าวต่อว่า การที่นายกรัฐมนตรีไม่อยู่ ก็มีความแตกต่างกัน คราวนี้ไม่เกี่ยวกับผู้นำแล้ว แต่เกี่ยวข้องกับประชาชนที่มีความเป็นปึกแผ่น แม้จะมีหลายฝ่าย แต่ละฝ่ายก็มีความเหนียวแน่น การจำทำปฏิวัติได้จึงไม่เกี่ยวกับนายกฯ แล้ว เพราะฉะนั้นพื้นฐานมันแตกต่างกันสิ้นเชิง ความพร้อมของกองทัพก็แตกต่างกัน
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทยให้สัมภาษณ์ทางช่อง 11 ว่า คนคิดยึดอำนาจเมื่อปี 49 มีแค่ 3 คน คือ พล.อ.สนธิ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.อ.สพรั่ง กัลญาณมิตร เหตุผลเพราะหลัวถูกย้ายเข้ากรุ ส่วนเหตุผล 4 ข้อในการยึดอำนาจคิดขึ้นทีหลังนั้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า ไม่ทราบว่า พล.อ.ปฐมพงษ์เอาปัจจัยอะไรมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการคิด เรื่องนี้ท่านคงคิดผิด หรือได้รับข้อมูลที่ผิด ถ้าคิดว่าทำเพราะกลัวถูกย้ายไม่ใช่แน่นอน เพราะถ้าเขาจะย้าย เราไม่รู้หรอก พล.อ.อนุพงษ์ก็อยู่เฉยๆ ไม่รู้เรื่อง พล.อ.สพรั่งก็รู้ตอน 6 โมงเย็น
“ถ้าผมกลัวถูกย้ายแล้วทำ คงไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเรื่องของผมคนเดียวคนอื่นเขาคงไม่เอาด้วย ที่บอกว่าการถูกย้าย เป็นเหตุผลหรือเปล่า คนคิดคงมีอะไรอยู่ในใจมั้ง ไม่น่าจะใช่ ไม่รู้ว่าใครจะย้ายผม”
พล.อ.สนธิกล่าวต่อว่า ตามที่เคยให้สัมภาษณ์ว่า ตอนปฏิวัตินั้นคิดแค่จะกำจัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก่อน แล้วเหตุผล 4 ข้อ(การทุจริต,แทรกแซงองค์กรอิสระ,สร้างความแตกแยก,ล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูง) มาคิดทีหลังนั้น ที่จริงตอนทำก็รู้แล้วว่าทั้ง 4 เหตุผลเป็นข้อเท็จจริงที่ เกิดขึ้น แต่เรายังไม่ได้จัดระเบียบ แล้วเราเอาออกมาบอกชี้แจงสังคมทีหลัง
“ทีแรกมันเป็นเหตุผลรวม หลายๆ เรื่อง แต่เรายังไม่เอาออกมาเรียบเรียง 1 2 3 4 5 แต่เรามองว่าบ้านเมืองเราตอนนั้นเป็นประชาธิปไตยหรือเปล่า ปัญหามีอะไรบ้างที่เราเห็นอยู่ ถ้าเผื่อผมทำ ผมก็คิดว่าเราจะรักษาประชาธิปไตยไว้ได้ ที่เราทำเราคิดทุกเรื่อง รวมทั้งเรื่องที่จะเกิดวันที่ 20 ด้วย อันตรายของระบอบทักษิณ 4 ข้อ มันเป็นส่วนประกอบรวมอยู่แล้ว มันไม่ใช่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาทีหลัง”
กรณีที่ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหมบอกว่า พล.อ.สนธิได้ไปชวนให้ร่วมทำปฏิวัติและจะให้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติด้วยนั้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า ตนไม่แน่ใจ แต่ตามปกติตนเป็นรุ่นน้องของ พล.อ.ธรรมรักษ์ การจะไปพูดอย่างนั้นกับรุ่นพี่ไม่น่าจะใช่ ถ้าเป็นคนอื่นที่เป็นผู้ใหญ่พูดมาก่อน แล้วตนไปร่วมสนทนาด้วย ยังจะเป็นไปได้มากกว่า และเรื่องอย่างนี้คิดยากมาก จะคิดดังๆ ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะเรื่องการทำปฏิวัติ มันไม่ใช่เรื่องปกติ ส่วนที่เคยบอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่าจะปฏิวัตินั้น เป็นการพูดเล่นๆ บนโต๊ะอาหาร หลังจาก พ.ต.ท.ทักษิณถามตนว่า จะทำปฏิวัติไหม อย่างไรก็ตาม หาก พล.อ.ธรรมรักษ์จะรู้เรื่องการรัฐประหารล่วงหน้าก็อาจรู้จากคนอื่น ไม่ใช่จากตนแน่นอน
พล.อ.สนธิ ย้ำอีกว่า ถ้า ผบ.ทบ.บอกว่าไม่มีปฏิวัติแล้ว คนอื่นจะทำก็คงยาก เพราะกำลังที่จะทำปฏิวัติได้อยู่ที่กองทัพบก หรือส่วนอื่นจะทำโดยที่ ผบ.ทบ.ไม่รู้เรื่องก็คงยาก เพราะการทำปฏิวัติไม่ใช่ดูแค่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ มันอยู่ที่ประชาชนเห็นด้วยหรือเปล่า ต้องเอาภาคประชาชนเป็นหลัก
อดีตประธาน คมช.ระบุว่า เหตุที่ปัญหาต่างๆ ยังคงอยู่หลังจาก 3 ปีหลังการปฏิวัตินั้น เป็นเพราะสังคมไทยเรา โดยเฉพาะผู้ใหญ่ เวลามีความกังวลก็จะขาดความกล้าหาญ หรือกล้าหาญน้อยลง ทำให้ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ ปัญหาก็ทิ้งคาไว้ ทั้งนี้ตนมีภารกิจแค่ 14 หลังจากรัฐธรรมนูญชั่วคราวประกาศใช้ ก็เป็นแค่ประธาน คมช.ไม่มีอำนาจอะไรแล้ว
พล.อ.สนธิกล่าวถึงกระแสข่าวการถูกทาบทามไปเป็นหัวหน้าพรรคมาตุภูมิว่า การได้รับราชการมาจนป่านนี้ มันมีส่วนที่เราทำงานให้บ้านเมืองอย่างใหญ่หลวงหลายเรื่อง ผ่านวันที่ 19 ก.ย. 49 มา ถือว่าได้ทำให้สุดๆ แล้ว ถ้าไม่มีตนวันนั้นใครจะ แล้วถ้าทำพลาดใครจะรับผิดชอบกับความเป็นความตาย การที่ตนได้ตัดสินใจทำให้ ถือว่าทำสุดชีวิตแล้ว แต่สิ่งที่หลายคนบอกมันยังไม่เสร็จ ก็มีความรู้สึกบ้างเล็กๆ ว่า มันมีวีธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ ที่เราจะช่วยชาติบ้านเมือง เรายังรักชาติอยู่ ยังห่วงประเทศที่อาศัยเกิด มีอะไรขึ้นมาก็ยังกังวลและห่วงใยอยู่ ทั้งนี้ การลงมาทำงานการเมืองนั้น เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน แต่ว่าจะทำกันในแบบไหน แค่ไหน แล้วแต่โอกาสของแต่ละคน
พล.อ.สนธิกล่าวต่อว่า ถ้ามีการทาบทามก็ต้องดูก่อนว่า ถ้ามีเงื่อนไขให้เราสามารถทำงานได้อย่างดีและเป็นประโยชน์ก็น่าสนใจ บ้านเมืองขณะนี้มันมีความขัดแย้งแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ความซื่อสัตย์จริตไม่มี โกงก็ยังกลายเป็นความดี ดังนั้นจะต้องดูว่าพรรคมีนโยบายเรื่องความรักสามัคคี รวมทั้งเรื่องความซื่อสัตย์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม หากลงมาเล่นการเมืองก็คงไม่ใช่เรื่องแผนบันได 4 ขั้น เป็นการเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหาในอนาคตให้บ้านเมืองดีกว่า แต่คงไม่คิดว่าจะแก้ไขความคาราคาซังเมื่อ 3 ปีที่แล้วได้ทั้งหมด คิดว่าเป็นแค่คนหนึ่งที่ จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ใครที่ทำอะไรไว้ ทำให้บ้านเมืองมันไม่ดี มันเสียหาย เราอาจไปช่วยขัดขวางก็ได้ ถึงแม้ไม่มีกำลังพอ อย่างน้อยก็ทำช้าลง หรืออาจไม่กล้าทำ
พล.อ.สนธิ กล่าวในตอนท้ายว่า ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เมื่อถึงวันที่ 19 ก.ย.ก็ไม่เคยคิดอะไร เพิ่งจะมีคิดปีนี้ เพราะมีนักข่าวมาถามและมีอีกฝ่ายหนึ่งจะใช้วันนี้ให้เป็นประโยชน์ ที่ตนต้องคิด เพราะสงสารประเทศเรา เหตุการณ์ที่จะเกิดวันสองวันนี้ ห่วงประเทศไทยมาก ไมได้ห่วงเรื่องเหตุรุนแรง แต่กังวลความรู้สึกทางจิตใจของคนไทย เพราะอยากให้คนไทยรักกัน