xs
xsm
sm
md
lg

โปรดฟังอีกครั้ง - 3 ปีของรัฐประหาร 19 ก.ย. 49

เผยแพร่:   โดย: สำราญ รอดเพชร

....ฯลฯ....

แม่ทัพ 1 (พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา –ยศขณะนั้น) รู้จากท่านเมื่อไหร่ว่าจะปฏิบัติการยึดอำนาจ

3-4 วัน
ก่อน 19 ก.ย.

แล้วแม่ทัพ 3 (พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร) รู้ตอนไหน

สพรั่งผมได้พูดสอบถามความเห็น เป็นยังไงถ้าเกิดมียังงี้จะทำยังไง เหมือนบอกกับทัพ 4 ยูจะต้องรู้ว่าชุมพรมีถนนเส้นเดียวจากทางใต้ขึ้นมานี่ ยูต้องพยายามสกัด สพรั่งมีกำลังเท่าไหร่อยู่ที่ไหน อ้าว...กำลังเหลือมากที่สุด เตรียมกำลังไว้น่ะ เอามาฝึกเผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นมาอาจจะต้องใช้ทัพ 2 เตรียมอะไรต่างๆ ก็เหมือนกันหมด พอถึงเวลา ถามว่าสพรั่งรู้ไหม รู้...ประมาณหกโมงเย็น

6 โมงเย็นของวันที่ 19 ก.ย.

(พยักหน้า) บอกให้สพรั่งเดินทางเข้ากรุงเทพฯ

ท่านคิดไหมครับว่า พอวันที่ 19 เสร็จปั๊บ เราจะอยู่สักกี่เดือนหรือมีแผนอะไรต่อ

ไม่ๆ ไม่ได้คิดเลยจริงๆ ผมไม่ได้คิดอะไรพวกนี้ เพราะผมถือว่า คนที่คิดให้ผมก็คือ นักกฎหมาย

นักกฎหมายก็เพิ่งมารู้ตอน วันที่ 19 ก.ย. แล้วใช่ไหม

รู้ตอน 19 แล้ว

อย่างนี้ไม่สุ่มเสี่ยงไปหน่อยเหรอ

ผมมองว่า เจตนาผมนี่ นิดเดียวจริงๆ เลย ก็คือว่า การบริหารประเทศโดยบุคคลคนเดียว การที่ปรับเปลี่ยนบุคคลคนเดียวนี่มันก็ไปได้

การมาคิดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ 2550 รวมถึงการมี พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกลาโหม วันนั้นยังไม่คิดว่าเนื้อหาจะต้องออกมายังไง ใช่หรือเปล่า

ผมไม่ได้คิดอะไรเลย ผมคิดแค่ ผมจัดระเบียบแค่ตรงนี้อย่างอื่นผมให้นักกฎหมายที่ทำงานอยู่ ท่านก็รู้แหละว่าใครทำ

คือแค่เราแก้ปัญหาแค่บุคคลที่เป็นต้นเหตุว่างั้นเถอะ

จบ ผมถือว่างานผมจบแล้ว

นี่คือคิดตรงนั้น

คิดแค่นั้นอย่างเดียว

ส่วน พ.ร.บ.โน้น พ.ร.บ.นี้

ผมให้พวกนี้ในฐานะที่มีประสบการณ์

แต่ก็พยายามตอบโจทย์ 4 ข้อสาเหตุของการยึดอำนาจอยู่บ้าง

ก็ 4 ข้อนี่ไง เรามาคิดกันวันรุ่งขึ้นว่า เราจะเอาโจทย์อะไรมาชี้แจงให้ประชาชน เราไม่ได้ทำโจทย์มาแต่ต้น เพราะความคิดของคนเพียงสี่ซ้าห้าคนไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้

จะเป็นอย่างนี้ได้หรือไม่ว่า ท่านเป็นคนที่เปิดประตูแห่งโอกาสแล้วให้นักวิชาการนักกฎหมายเข้ามาแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมาย ที่ทำให้มีการฟื้นระบบราชการหรือภาษาวิชาการว่า ฟื้นระบบอำมาตยาธิปไตย

ไม่น่าใช่...เพราะจริงๆ เราใช้นักวิชาการ นักกฎหมาย คิดเรื่องของ 12 วัน 14 วัน เราใช้นักกฎหมาย นักวิชาการ ตามสถาบันต่างๆ มานั่งสุมหัวคุยกันคิดให้ผม

แต่ต้องการตอบโจทย์ 4 ข้อสาเหตุการยึดอำนาจ

คือ 4 ข้อเราคิดขึ้นชั้นต้นเฉยๆ น่ะ ก็คิดดูแล้วกันวันที่ 19 แล้วก็วันที่ 20 เหตุผล 4ข้อนี้ก็ออกมา เสร็จแล้ว ตรงนี้ 4 ข้อถือว่าเราคิดขึ้นมาฉุกเฉินก็แล้วกัน ว่างั้นเถอะ ที่มันสมเหตุสมผลแต่มันก็สมเหตุสมผล คือ พอหลังจากนั้นเราก็เชิญนักวิชาการในสถาบันการศึกษาทั้งหมดเข้ามาแล้วมานั่งคุยกันว่า เราจะนำพาประเทศไปยังไง

ท่านมาซึมซับความคิดจากนักวิชาการเหล่านี้ทีหลังใช่ไหม ที่ท่านพูดเรื่องประชาธิปไตยแบบไทย ที่ต้องมีเนื้อหาสอดคล้องบุคลิกลักษณะนิสัยคนไทย

เอ่อ...อันนี้ไม่เกี่ยวกัน อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว ในฐานะที่เป็นคนไทยมองเห็นว่า การจะเป็นประชาธิปไตยในบ้านเราก็จะต้องเป็นแบบไทยๆ จะไปคิดเลียนแบบเอาของใครมามันคงไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องที่ส่วนใหญ่ผมไปพูด ไปบรรยาย ให้สัมภาษณ์ นั่นเป็นความรู้สึกส่วนตัว

เพราะงั้น ถ้าข้อเสนอจากนักวิชาการในเรื่องต่างๆ ถ้ามาสอดรับกับความคิดพื้นฐานของท่าน ก็จะเห็นด้วย

ก็คิดว่า นักวิชาการ นักกฎหมายทุกคนที่เราคัดเลือกมา ทุกคนมีความรักห่วงใยประเทศชาติก็ให้เขาช่วยทำ แล้วก็ฟังดูสิว่าเป็นยังไง สมมติว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวท่านทำเสร็จแล้วก็มาพูด มาพรีเซนต์ให้เราฟัง เราก็คงรู้ในกรอบของเรา

มองในเชิงประวัติศาสตร์ก็ต้องบอกว่ากองทัพเป็นเสาหลักที่ค้ำสถาบันตลอดมา ประเด็นนี้มีอิทธิพลขนาดไหนที่ทำให้ท่านตัดสินใจวันที่ 19 ก.ย. โดยเฉพาะท่านใช้คำว่า ทหารของในหลวง

คืออย่างที่พูดกันว่า ทหารจะมีความรู้ดีที่สุดว่า ความจงรักภักดีต่อสถาบัน มีใครจงรักภักดีอย่างไรนี่เราจะรู้ ทุกคนองค์กรที่มีความจงรักภักดีมากน้อยแค่ไหนนี่เราจะรู้ เพราะเรามีความจงรักภักดีด้วยจิตวิญญาณของเราแล้วนี่ ถามว่า ใครจงรักภักดีมากน้อยแค่ไหน เรารู้ เพราะเรามีงานข่าวอยู่ ใครคิดที่จะทำให้สถาบันที่เป็นที่เคารพ เราศรัทธา หรือเป็นสถาบันที่ดูแลประเทศชาติมาเป็นเวลา 7-800 ปีจะต้องเกิดความเสียหาย เราจะต้องติดตาม งั้นเรารู้ทั้งหมด นี่ก็เป็นมูลเหตุอันหนึ่ง เราไม่อยากจะพูด แต่ว่า เราก็จำเป็นต้องทำโดยที่ไม่ต้องพูด

ท่านเห็นด้วยกับคำพูดนี่ไหมว่า ยุคใดสมัยใดที่กองทัพอ่อนแอก็จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์คลอนแคลนไปด้วย

มันเหมือนกันทั้งโลก ประเทศใดก็ตาม เราต้องถอยไปในอดีต เมื่อใดก็ตามที่กองทัพอ่อนแอ กษัตริย์ในยุคนั้นสมัยนั้นก็เหมือนกันเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้นอยู่ ประเทศเรายังเป็นประเทศที่ยังคู่กันอยู่ เพราะกองทัพกับสถาบันติดกันอยู่ อันนี้เป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะบ้านเรา….

………ฯลฯ..........

ทั้งหมดข้างต้นเป็นบางส่วนของบทสัมภาษณ์ยาว พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผบ.ทบ.อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ผู้นำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.49

ผมสัมภาษณ์พล.อ.สนธิเมื่อ 5 ก.พ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการทำเอกสารวิชาการ ส่งอาจารย์ตอนที่ศึกษาหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) รุ่นที่ 11 ของสถาบันพระปกเกล้า...

ในตอนท้ายเมื่อถามว่า ถ้าย้อนเวลาไปอีกครั้ง ยังยืนยันจะทำรัฐประหารอีกหรือไม่ เจ้าของฉายา “บิ๊กบัง” ตอบยืนยันทันทีว่า “จะทำ” แต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง รวมทั้งการเลือกตัวนายกรัฐมนตรี...

รัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ถูกเรียกว่าเป็นการที่ “เยี่ยวไม่สุด” เป็น 1 ใน 22 ครั้งของการปฏิวัติรัฐประหารและกบฏในบ้านเมืองของเรานับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ด้วยความที่ “เยี่ยวไม่สุด” วันนี้รัฐประหาร 19 ก.ย.กลายเป็นบูมเมอแรงในสังคมการเมืองไทย โดยขบวนการทักษิณหยิบมาเป็นข้อโจมตีทั้งต่อกองทัพและฝ่ายต่างๆ รวมทั้งสถาบันสำคัญของชาติ รวมทั้งนำมาเป็นข้ออ้างที่จะขอกลับบ้าน ขอพระราชทานอภัยโทษ..

อีก 3 วันจะครบรอบ 3 ปีของรัฐประหาร 19 ก.ย. ซึ่งจะกลายเป็นวันที่คนเสื้อแดงนัดชุมนุมเปิดแนวรบรอบใหม่ ท่ามกลางการปล่อยข่าวลือเรื่องการรัฐประหารครั้งใหม่ ..ที่ใครต่อใครรวมทั้งผมด้วยคนหนึ่งไม่เชื่อว่ากองทัพภายใต้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะหาญกล้า..

ขนาดตำรวจฆ่าประชาชนกลางบ้านกลางเมืองเมื่อ 7 ตุลา 51 ยังเฉยๆ ขนาดคนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมืองในห้วงสงกรานต์เลือด 52 ก็บ่เป็นหยัง...ขอนั่งดูยืนดูเป็นแนวร่วมมุมกลับให้กับพวกเผาบ้านผลาญเมือง พวกทำลายสถาบันโดยไม่รู้ตัวต่อไปดีกว่า....

เมื่อเหลียวหลังแลหน้ากรณี 19 ก.ย. 49 แม้จะไม่เห็นด้วยกับหนทางการรัฐประหาร แต่ผมก็สงสารและเข้าใจนายทหารคนหนึ่งที่ชื่อ พล.อ.สนธิ....“บิ๊กบัง” ผู้ลับ ลวง พรางและเดียวดายใต้เงามาตุภูมิ...อยู่ในเวลานี้.

                                                         samr_rod@hotmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น