xs
xsm
sm
md
lg

ตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ล่มรอบสอง สะท้อนผู้นำไร้อำนาจ !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


"ผ่าประเด็นร้อน"

ในที่สุดก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะต้องมีรักษาราชการตำแห่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อไปเรื่อยๆ หลังจากที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่ในปัจจุบัน จะต้องเกษียณอายุราชการหลังจากวันที่ 30 กันยายนนี้ เชื่อว่าหลังจากนั้นในเดือนตุลาคม ก็มีแนวโน้มว่าจะต้องมีรักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่ต่อไปเรื่อยๆ

หลังจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.) ที่มีนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นประธาน ได้นัดประชุมกันที่รัฐสภา เมื่อตอนบ่ายวานนี้ (16 ก.ย. ) ยังไม่สามารถหาข้อสรุป ไม่สามารถมีการโหวตเลือกผู้บัญชาการตำรวจคนใหม่ได้

ทั้งนี้ ตามรายงานข่าวล่าสุด ยังมีรายชื่อ 2 ราย ชื่อที่ชิงกันอยู่ก็คือ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ กับ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยคนแรกได้รับการสนับสนุนจากนายกรัฐมนตรี แต่ก็พ่ายแพ้ในการโหวตครั้งก่อน

ขณะที่ฝ่ายหลัง ได้รับการสนับสนุนจาก“กลุ่มอำนาจใหม่” ในพรรคร่วมรัฐบาล รวมไปถึง“กลุ่มอำนาจใหม่ในพรรคประชาธิปัตย์” อย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค และนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ยัง ผนึกกำลังขัดขวางนายกรัฐมนตรีของตัวเองอย่างเหนียวแน่น

โดยอ้าง “ข้อมูลพิเศษ” มาเป็นเหตุผลสำคัญ


อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี ยังยืนยันหลักการเดิมอย่างเหนียวแน่นเหมือนกัน ในเรื่องของความเหมาะสม ความเป็นกลาง และไม่เกี่ยวข้องทางการเมือง สำหรับการสนับสนุน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ

มีรายงานหลายกระแสตรงกันว่า กลุ่มอำนาจในรัฐบาลที่นำโดย สุเทพ-นิพนธ์ ยังแยกย้ายกันเดินสายล็อบบี้ กดดันให้ ก.ต.ช.แต่ละคน ให้การสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล จนนาทีสุดท้าย

หากใครที่เคยให้การสนับสนุน พล.ต.อ.ปทีป ในการประชุมครั้งที่แล้ว ก็จะถูกล็อบบี้ให้เปลี่ยนท่าทีหันมาสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล ให้ได้ ทำให้นายกรัฐมนตรี มีลักษณะ “หัวเดียวกระเทียมลีบ” เข้าไปทุกที เพราะแม้แต่เลขาธิการพรรคของตัวเอง และ เลขาธิการนายกฯ ยังหันไปสนับสนุนเห็นดีเห็นงามกับฝ่ายตรงกันข้าม มิหนำซ้ำยังออกแรงวิ่งล็อบบี้ให้เสร็จสรรพเสียอีก

ส่วนรัฐมนตรีคนอื่นจากพรรคร่วมรัฐบาลที่เป็นกรรมการ ก.ต.ช.โดยตำแหน่ง อย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ชวรัตน์ ชาญวีรกุล จากพรรคภูมิใจไทย รวมไปถึง ปลัดกระทรวงมหาดไทยอย่าง วิชัย ศรีขวัญ แม้ว่าจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายกฯโดยตรง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หากดูจากท่าทีของลูกพรรคตัวเองที่ยังอยู่ตรงกันข้าม

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก็ถือว่าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง !!


สิ่งที่คนพวกนี้หยิบยกมาเป็นข้ออ้างก็คือ “เหตุผลพิเศษ” ระดับสูงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่นั่นมันเป็นความจริงแค่ไหน มีการตรวจสอบกันได้หรือไม่ หรือว่านี่คือ “เทคนิคพิเศษ” ที่จะทำให้คนที่ตัวเองสนับสนุนได้เข้าวิน

เพราะหากพิจารณากันไปถึงผลประโยชน์ทางการเมือง และผลประโยชน์อื่นๆที่คนเหล่านี้ได้รับ หากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ไม่ใช่ พล.ต.อ.ปทีป มันก็น่าจะคุ้มค่า เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจมีส่วนสำคัญ ต่อคดีความหรือเรื่องอื่นๆ สามารถเบี่ยงไปซ้าย หรือขวา หรือให้หยุดอยู่กับที่ก็ได้

และถ้าจับคู่กันแต่ละกลุ่มกันไปดังนี้ เริ่มจาก สุเทพ-นิพนธ์ ที่มีสถานะเป็น “น้องเขย-พี่เมีย” ต้องไปด้วยกัน ขณะเดียวกันยังมีประเด็นแยกย่อยในเรื่องคดีสำคัญที่ สุเทพ ยังค้างคาอยู่ไม่น้อย มันก็น่าคิด

ส่วนพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อย่างเช่นพรรคภูมิใจไทย นั้นไม่ต้องพูดถึงและปฏิเสธไม่ได้ก็คือ การขยายฐานทางการเมืองในอนาคตเพื่อรับศึกเลือกตั้งครั้งหน้า หากเป็น พล.ต.อ.จุมพล ก็น่าจะคุยกันได้ถูกคอกว่าใช่หรือไม่ และยังไม่นับในเรื่องคดีที่แกนนำหลายคนยังสุ่มเสี่ยง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเชื่อมโยงไปถึง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน ที่กำลังรอการพิจารณาโทษ ปลดออก หรือไล่ออก หลังจากจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดอาญา และวินัยร้ายแรง กรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาคม ที่ต่อเนื่องพันไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชาย ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็อยู่ในกลุ่มเดียวกันในพรรคภูมิใจไทย

ขณะเดียวกันยังมีอานิสงส์ ผลบุญส่งไปถึง ทักษิณ ชินวัตร ที่มีความผูกพันกันมานานกับ จุมพล มั่นหมาย อีกด้วย

นอกเหนือจากนี้มองข้ามไม่ได้ก็คือ คดีลอบสังหาร สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่กำลังเดินมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ หากหวยออกที่ พล.ต.อ.ปทีป แล้วจับมือกับ พล.ต.อ.ธานี ใช้เวลาที่เหลืออีกไม่ถึงสัปดาห์อาจทำให้คดีมีความคืบหน้าหรืออาจได้เค้า “ซูเปอร์ไอ้โม่ง” ผู้บงการ ที่สังคมรู้ๆ กันอยู่ว่ามีใครกันบ้าง มันก็จะยุ่ง และนี่แหละอาจเป็นเหตุผลพิเศษที่แท้จริงที่ขัดขวางอยู่เวลานี้ก็เป็นได้

เพราะถ้าเป็นเหตุผลพิเศษที่ปฏิเสธไม่ได้มีจริง ก็ย่อมต้องส่งผ่านมาถึงนายกฯโดยตรง ทำไมต้องผ่านมาทาง สุเทพ-นิพนธ์ หรือคนอื่นให้มั่วไปหมด

อย่างไรก็ตามไม่ว่าเหตุผลพิเศษที่ว่าจะมีจริง หรือถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างเพื่อหาประโยชน์บางอย่าง แต่ก็สะท้อนภาพได้ชัดเจนที่สุดว่า นายกรัฐมนตรี ไร้อำนาจในการบริหาร ยังอยู่ในความควบคุมของกลุ่มอำนาจในรัฐบาล

เพียงแต่ว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ พยายามขัดขืน ฮึดสู้ ไม่ยอมให้เป็นหุ่นเชิดจนไร้ความสามารถจนสิ้นเชิง ดังนั้นต้องพิจารณากันต่อไปว่า ยืนหยัดอยู่ได้สักกี่น้ำ !!

กำลังโหลดความคิดเห็น